แอปเปิ้ลจากต้นแอปเปิ้ล คุณแม่ฮอลลีวูดผู้โด่งดังและลูกสาวดาราของพวกเขา
“ปารากวัยเป็นบ้านเกิดแห่งที่สองของเรา และต้องการความช่วยเหลือจากเรา” เป็นคำกล่าวที่คาดไม่ถึงเมื่อมองแวบแรกโดยเจ้าหน้าที่ White Guard ของรัสเซียในประเทศลาตินอเมริกาอันห่างไกลในช่วงทศวรรษ 1930 ก่อนเริ่มสงครามชากา ในบรรดาผู้ที่สมัครใจลุกขึ้นต่อสู้เพื่อปกป้อง ปารากวัยกลายเป็นว่า สเตฟาน วีโซโคลียานซึ่งเป็นทหารในตำนานที่เวลานั้นได้ผ่านสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและปกป้องมาแล้ว วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกในวิชาคณิตศาสตร์ขั้นสูง...
ไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับสงครามชักในรัสเซีย แต่ในปารากวัย ความทรงจำของทหารรัสเซียยังคงได้รับการเคารพ บางครั้งความผันผวนของโชคชะตาก็ดูเหลือเชื่อ แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าประเทศโพ้นทะเลได้กลายเป็นบ้านหลังที่สองสำหรับผู้อพยพทหารหลายสิบคน ทหารยามขาวซึ่งถูกบังคับให้หนีจากรัสเซียไปยุโรป พบว่าตนเองตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากทางการอีกครั้งทันทีที่ประเทศในยุโรปตะวันตกยอมรับ สหภาพโซเวียต- ทางการปารากวัยให้คำมั่นสัญญาว่าจะสนับสนุนผู้อพยพทุกคน รักษาความปลอดภัยขั้นต่ำ และให้โอกาสได้รับสัญชาติเพื่อรับราชการทหารในปารากวัย
นายพล Ivan Belyaev เป็นคนแรกในบรรดาเจ้าหน้าที่รัสเซียที่ตัดสินใจย้าย เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ทำตามตัวอย่างของเขาและอพยพไปยังปารากวัยด้วย Belyaev นี้ ประเทศที่แปลกใหม่เขาชอบมันมากจนจากหน้าหนังสือพิมพ์ "Novoe Vremya" เขาเรียกร้องให้ทุกคนมาที่นี่เพื่อสร้างแวดวงที่วัฒนธรรมรัสเซียจะยังคงอยู่ต่อไป
Stepan Vysokolyan หนึ่งในทหารและนักวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่น ตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องให้เคลื่อนไหว ชาวหมู่บ้านนาลิไวโกในยูเครน เขาเป็นอาสาสมัครแนวหน้าเมื่ออายุ 19 ปี ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเขาได้รับบาดเจ็บห้าครั้ง แต่กลับมาปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่อง ในช่วงหลังสงคราม Stepan Vysokolyan อุทิศตนเพื่อการสอนที่มหาวิทยาลัย เขามีความสามารถที่โดดเด่นในสาขาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เขาปกป้องวิทยานิพนธ์ของเขา บรรยายในมหาวิทยาลัย ถ่ายทอดความรู้ของเขาให้กับคนหนุ่มสาว
ในปี 1933 Stepan Vysokolyan มาที่ปารากวัยและได้รับการยอมรับเข้าสู่กองทัพแห่งชาติ หลังจากเริ่มต้นอาชีพด้วยยศร้อยเอก ในไม่ช้าเขาก็ได้รับยศพันตรี จากนั้นก็เป็นเสนาธิการ และต่อมาก็เป็นผู้บัญชาการกองพล พระองค์ได้รับยศอันสูงส่งจากวีรกรรมที่แสดงออกในสงครามจักก การสู้รบในดินแดน Gran Chaco กลายเป็นหนึ่งในความขัดแย้งที่นองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์ละตินอเมริกาในศตวรรษที่ 20 ในขั้นต้น หลังจากได้รับเอกราชแล้ว ทั้งปารากวัยและโบลิเวียก็อ้างสิทธิ์ในดินแดนนี้ แต่ก็ไม่ได้แสดงความกระตือรือร้นมากนัก เนื่องจากภูมิประเทศที่แห้งแล้งนี้แทบไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับ เกษตรกรรม.
ทุกอย่างเปลี่ยนไปทันทีที่มีการพิสูจน์แล้วว่ามีแหล่งน้ำมันจำนวนมากในดินแดนนี้ ประเทศที่เมืองใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ก็พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ บริษัทน้ำมันและพวกเขาให้ทุนสนับสนุนทั้งสองฝ่ายอย่างไม่เห็นแก่ตัวเพื่อเตรียมการทำสงคราม ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นจากโบลิเวียในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2475 การต่อสู้นองเลือด สงครามดำเนินต่อไปจนถึงปี พ.ศ. 2478 จนกระทั่งมีการลงนามข้อตกลงสันติภาพระหว่างทั้งสองฝ่ายในความขัดแย้งผ่านการไกล่เกลี่ยของอาร์เจนตินา
ในปี 1936 Stepan Vysokolyan ได้รับรางวัลพลเมืองกิตติมศักดิ์ของปารากวัย เขากลายเป็นชาวต่างชาติคนแรกในประเทศนี้ที่ได้รับยศทหาร - เขาขึ้นสู่ตำแหน่งนายพลกองทัพ อย่างไรก็ตาม เขามีความโดดเด่นไม่เพียงแต่ในด้านการทหารเท่านั้น เป็นเวลาหลายปีที่เขาเป็นหัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ คณิตศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยอะซุนซิออง นักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียยังลงไปในประวัติศาสตร์ด้วยความจริงที่ว่าเขาสามารถแก้ทฤษฎีบทของแฟร์มาต์ได้ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านคณิตศาสตร์ต้องต่อสู้ดิ้นรนมานานกว่าสามศตวรรษ
Vysokolyan มีอายุยืนยาวเขาเสียชีวิตเมื่ออายุ 90 ปีถูกฝังอย่างมีเกียรติและมีการประกาศไว้ทุกข์ในประเทศในวันงานศพของเขา ปัจจุบันในอาซุนซิออน นามสกุล Vysokolyan ยังคงเป็นเรื่องธรรมดา และนี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ สเตฟานเป็นพ่อของลูกทั้งเก้าคน...
ชะตากรรมของหลาย ๆ คนเป็นเรื่องน่าเศร้า รีวิวรูปภาพของเราจะเตือนคุณถึงชื่อของพวกเขา...
28.01.2008จนถึงต้นทศวรรษที่ 90 ของศตวรรษที่ 20 ผู้คนในรัสเซียแทบไม่รู้จักปารากวัยเลย ประเทศลาตินอเมริกาอันห่างไกล เผด็จการฟาสซิสต์ของอัลเฟรโด สโตรเอสเนอร์ การข่มเหงคอมมิวนิสต์ ระบอบการปกครองที่สนับสนุนอเมริกา ฯลฯ ฯลฯ - นั่นคือสิ่งที่อยู่ในใจ ถึงชายชาวโซเวียตเมื่อได้ยินคำว่าปารากวัย ดูเหมือนว่าทั้งสองประเทศไม่มีอะไรที่เหมือนกัน ไม่มีและไม่สามารถเป็นหลักการได้ แต่นี่ยังห่างไกลจากความจริง
ประวัติศาสตร์ของปารากวัยก็เหมือนกับรัสเซียที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและเต็มไปด้วยความขึ้นๆ ลงๆ "ปารากวัย" แปลมาจากภาษาของชาวอินเดียนแดงกวารานีในท้องถิ่น แปลว่า "จาก แม่น้ำอันยิ่งใหญ่" - แม่น้ำปารานา ดินแดนปารากวัยสมัยใหม่ถูกค้นพบและยึดครองโดยผู้พิชิตชาวสเปนเมื่อต้นศตวรรษที่ 16 และในปี ค.ศ. 1542 ปารากวัยก็รวมอยู่ในอุปราชแห่งเปรู ในปี ค.ศ. 1617 ปารากวัยตกอยู่ภายใต้การปกครองของนิกายเยซูอิต ซึ่งเป็นเวลาครึ่งศตวรรษครึ่งได้สร้างแบบจำลองของรัฐตามระบอบประชาธิปไตยของตนเองขึ้นที่นี่ โดยมีระบบการปกครองดั้งเดิมและ กองทัพที่ทรงพลัง- แต่ในปี พ.ศ. 2310 คณะเยสุอิตถูกขับออกจากปารากวัยเนื่องจากต้องสงสัยว่ามีการแบ่งแยกดินแดน และอีกครึ่งศตวรรษต่อมาในปี พ.ศ. 2353 ประเทศได้รับเอกราช
จนถึงทศวรรษที่ 1870 ปารากวัยเป็นหนึ่งในประเทศที่ก้าวหน้าที่สุดในละตินอเมริกา ในปี พ.ศ. 2385 (เร็วกว่าในสหรัฐอเมริกา 23 ปี) มีการประกาศยกเลิกการเป็นทาสที่นี่ ในปี พ.ศ. 2391 ชาวอินเดียได้รับสิทธิเท่าเทียมกับลูกหลานของผู้ตั้งถิ่นฐานผิวขาว - ชาวครีโอล อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ทางรถไฟโทรเลขก็ปรากฏขึ้น ปารากวัยเข้าครอบครอง กองทัพที่ดีที่สุดบนทวีป แต่ในปี พ.ศ. 2407 ปัญหาเกิดขึ้นกับดินปารากวัยหรือที่เรียกว่า สงครามปารากวัย (พ.ศ. 2407-2413) สาม ประเทศที่ใหญ่ที่สุดละตินอเมริกา - บราซิล อาร์เจนตินา และอุรุกวัย ซึ่งรวมกันเป็นสามพันธมิตร ปลดปล่อยกองกำลังทั้งหมดของพวกเขาในปารากวัยที่โดดเดี่ยว และบดขยี้ประเทศปารากวัยให้กลายเป็นผง ผลจากสงครามซึ่งกลายเป็นภัยพิบัติระดับชาติอย่างแท้จริง ปารากวัยสูญเสียประชากรไปเกือบ 80% (!) และเป็นส่วนสำคัญของดินแดนทางตะวันออกของปารานา ในการพัฒนาประเทศถูกโยนกลับไป 100 ปีซึ่งยังคงอยู่จนกระทั่งการมาถึงของอาณานิคมใหม่จากยุโรปในช่วงทศวรรษที่ 20 ของศตวรรษที่ 20 ในบรรดาผู้อพยพชาวยุโรปมีผู้คนจำนวนมากจากรัสเซียและพวกเขาถูกกำหนดโดยโชคชะตาให้มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์ปารากวัย
คนแรกที่มาถึงปารากวัยคือนายพลอีวานเบลยาเยฟ หลังจากหลบหนีในปี 1921 พร้อมกับกองทัพที่เหลือของ Wrangel ไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิล ในไม่ช้า Belyaev ก็ย้ายไปอาร์เจนตินา และในปี 1924 เขาก็ย้ายไปปารากวัย ที่นี่เขาสร้างศูนย์เตารัสเซีย แนวคิดหลักเป้าหมายของ Belyaev คือการรักษาทุกสิ่งเชิงบวกที่สถาบันกษัตริย์รัสเซียสร้างขึ้นจนกว่าจะถึงเวลาที่ดีขึ้น ในเวลาเดียวกันหลักการสำคัญของการจัดอาณานิคมรัสเซียคือความไม่ทางการเมืองและการศึกษาในจิตวิญญาณของค่านิยมดั้งเดิมของวัฒนธรรมรัสเซียด้วยความหวังว่าจะมีการฟื้นฟูรัสเซียในอนาคต ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1920 Belyaev เรียกร้องให้ผู้ลี้ภัยชาวรัสเซียทั้งหมดย้ายไปปารากวัยผ่านหนังสือพิมพ์ผู้อพยพ "Novoye Vremya" ที่ตีพิมพ์ในกรุงเบลเกรด
ตามที่ L. Gramatchikova ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์รัสเซียในปารากวัยมานานกว่าสิบปีหนึ่งในคนแรกที่ตอบสนองต่อการโทรคือนายพล Nikolai Ern วิศวกร Boris Makovsky, Georgy Shmagailov, Alexander Pyatnitsky, Evgeny Avramenko, Vadim Sakharov, แพทย์ทหาร Evgeny Timchenko, ทหารปืนใหญ่ Igor และ Orange Lion ในปี 1925 ตามคำเชิญพิเศษของรัฐบาลปารากวัย Sergei Bobrovsky อดีตศาสตราจารย์ของสถาบันวิศวกรรมศาสตร์แห่งเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กมาที่อะซุนซิออง ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม "ช่างเทคนิค" ชาวรัสเซียผู้ก่อตั้ง "สหภาพช่างเทคนิครัสเซียในปารากวัย" ในทันที ในทางกลับกันสหภาพแรงงานนี้ได้กระตุ้นให้วิศวกร Alexei Kashirsky, Alexander Bogomolets, Boris Vorobyov, Vladimir Bashmakov และคนอื่น ๆ ย้ายไปที่ปารากวัย ซึ่งต่อมาได้ก่อตั้งกรมแห่งชาติของกระทรวงโยธาธิการ
เกือบจะในทันที การอพยพของรัสเซียเริ่มกำหนดทิศทางในชีวิตทางสังคมและการเมืองของปารากวัย การฝึกอบรมทางทหารด้านเทคนิคและวิทยาศาสตร์ที่ยอดเยี่ยม ระดับสูงวัฒนธรรมกำหนดไว้อย่างนั้น บทบาทที่สำคัญซึ่งชาวรัสเซียพลัดถิ่นเล่นในประวัติศาสตร์ปารากวัย
การมีส่วนร่วมของรัสเซียในประวัติศาสตร์ปารากวัยเริ่มต้นด้วย กิจกรรมการวิจัย- ในช่วงปลายทศวรรษ 1920 - ต้นทศวรรษ 1930 กลุ่มนักสำรวจภูมิประเทศและนักสำรวจที่นำโดย Belyaev ออกเดินทางสำรวจพื้นที่ห่างไกลที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ - ภูมิภาค Chaco ซึ่งเชื่อกันว่าอุดมไปด้วยน้ำมัน ในเวลาเพียงไม่กี่ปี ดินแดนเหล่านี้ได้รับการสำรวจอย่างสมบูรณ์ และด้วยการติดต่ออันเป็นเอกลักษณ์ของนายพลชาวรัสเซีย ชาวอินเดียในท้องถิ่นซึ่งก่อนหน้านี้ระมัดระวังและเป็นศัตรูกับผู้มาใหม่ผิวขาว จึงกลายเป็นพันธมิตรที่ภักดีของอะซุนซิอองอย่างเป็นทางการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานของการสำรวจของ Belyaev และกิจกรรมที่มีพลังของผู้พลัดถิ่นชาวรัสเซียโดยทั่วไปนั้นมีประโยชน์สำหรับปารากวัยอย่างรวดเร็ว เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2475 กองทหารโบลิเวียเปิดฉากโจมตีกองทัพปารากวัยอย่างไม่คาดคิด ความขัดแย้งทางการทหารที่นองเลือดที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 จึงเริ่มต้นขึ้น ละตินอเมริกา- ที่เรียกว่า สงครามชาโก สงครามโบลิเวีย-ปารากวัยสำหรับภูมิภาคชาโกที่เป็นข้อพิพาท (พ.ศ. 2475-2478) ซึ่งกลายเป็นสงครามเพื่อ บูรณภาพแห่งดินแดนปารากวัย
จากการสู้รบที่ปะทุขึ้น ทางการปารากวัยได้เชิญเจ้าหน้าที่ผู้อพยพชาวรัสเซียให้รับสัญชาติและเข้ารับราชการทหาร ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2475 เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งรวมตัวกันเพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศ ข้อสรุปนั้นชัดเจน: “เกือบสิบสองปีที่แล้วเราสูญเสียจักรวรรดิรัสเซียอันเป็นที่รักของเราซึ่งถูกยึดครองโดยกองกำลังบอลเชวิค ทุกวันนี้ ปารากวัย ประเทศที่ปกป้องเราด้วยความรัก กำลังประสบอยู่ ช่วงเวลาที่ยากลำบาก- แล้วเราจะรออะไรล่ะท่านสุภาพบุรุษ? นี่คือบ้านเกิดแห่งที่สองของเรา และต้องการความช่วยเหลือจากเรา ท้ายที่สุดเราเป็นเจ้าหน้าที่!” - “ คู่รักทหารรัสเซียที่โหยหากลิ่นดินปืนจึงยอมรับข้อเสนอและนำพวกเขาไปรับใช้ บ้านเกิดใหม่ความรู้และประสบการณ์ทางทหารอันยาวนานของพวกเขา” นักประวัติศาสตร์ชาวปารากวัยคนหนึ่งเขียนเกี่ยวกับพวกเขา ตามแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เจ้าหน้าที่รัสเซีย 70 ถึง 100 นายต่อสู้ในกองทัพปารากวัยในฐานะอาสาสมัครสองคน - I. T. Belyaev และ N. F. Ern - ในตำแหน่งนายพลแปดคนเป็นพันเอกสี่คนเป็นพันโท 13 - สาขาวิชาเอกและ 23 - กัปตัน นายพล Belyaev เข้าร่วมการรบเป็นการส่วนตัวหลายครั้งและขึ้นสู่ตำแหน่งเสนาธิการทหารสูงสุดของกองทัพปารากวัย
เป็นที่น่าแปลกใจที่ศัตรูล่าสุดของชาวรัสเซียมากกว่าร้อยคนในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง - เจ้าหน้าที่ผู้อพยพชาวเยอรมัน - ต่อสู้ในกองทัพโบลิเวีย ผู้บัญชาการกองทัพโบลิเวียคือพลตรีฮันส์ คุนด์ต์ ผู้ต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แนวรบด้านตะวันออก.
แม้ว่าโบลิเวียจะมีความเหนือกว่าอย่างมากในด้านรถถัง เครื่องบิน ปืนใหญ่ และกำลังคน แต่ต้องขอบคุณทักษะทางการทหารและความเฉลียวฉลาดของสองกองพันรัสเซียที่ทำให้ปารากวัยได้รับชัยชนะในสงคราม นอกจากนี้ ผู้รุกรานชาวโบลิเวียซึ่งไม่รู้จักพื้นที่นั้นดีนักก็พบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างยิ่ง และชาวอินเดียนแดงในท้องถิ่นก็ทักทายพวกเขาด้วยความเกลียดชัง กองทัพปารากวัยต่างจากผู้รุกราน แผนที่โดยละเอียด Belyaev และชาวอินเดียกลุ่มเดียวกันนี้ช่วยเหลือเธอ ทำหน้าที่เป็นไกด์ และจัดหาเสบียงให้เธอ
หลังจากพ่ายแพ้อย่างหนักหลายครั้งจากกองทัพปารากวัย โบลิเวียสูญเสียผู้เสียชีวิตไป 60,000 คนและนักโทษมากกว่า 20,000 คน (ปารากวัยสูญเสียผู้เสียชีวิตไปครึ่งหนึ่งหรือมากกว่านักโทษสิบเท่า) ตกลงสงบศึกในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2478 สนธิสัญญาขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับชายแดนระหว่างปารากวัยและโบลิเวียลงนามเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2481 ในบัวโนสไอเรสตามที่ดินแดนส่วนใหญ่ของ Gran Chaco ไปที่ปารากวัย
การมีส่วนร่วมของบุคลากรทางทหาร วิศวกร และนักวิทยาศาสตร์ของรัสเซียต่อชัยชนะเหนือกองทหารโบลิเวียในสงครามชากานั้นไม่สามารถประเมินค่าสูงเกินไปได้อย่างแท้จริง “ภายใต้การบังคับบัญชาของพวกเขา กองทหารราบ และ แบตเตอรี่ปืนใหญ่ในทุกด้าน พวกเขาสอนให้เพื่อนร่วมงานปารากวัยทราบถึงศิลปะของป้อมปราการ การวางระเบิด ยุทธวิธีการต่อสู้สมัยใหม่ ด้วยตัวอย่างและความกล้าหาญของพวกเขา พวกเขายกทหารให้โจมตีมากกว่าหนึ่งครั้ง และการตายของพวกเขาก็คู่ควรกับความรุ่งโรจน์ของเจ้าหน้าที่รัสเซียเสมอ” ผู้ค้นพบคนหนึ่งเขียน ของปารากวัยสมัยใหม่สำหรับผู้อ่านในประเทศ A. Carmen
ต้องขอบคุณความกล้าหาญของเจ้าหน้าที่รัสเซียในสงครามชักที่ทำให้ถนนที่มีชื่อผิดปรกติสำหรับภาษาสเปนปรากฏในปารากวัย: พันเอก Butlerov, กัปตัน Blinov, วิศวกร Krivoshein, ศาสตราจารย์ Sispanov ฯลฯ ชื่อของเจ้าหน้าที่รัสเซียที่เสียชีวิตสามารถอ่านได้บนแผ่นจารึกใน Pantheon of Heroes ทหารรัสเซียได้รับรางวัลทางทหารสูงสุดในปารากวัย มีการสร้างอนุสาวรีย์ให้กับผู้คนมากมาย โบสถ์รัสเซียแห่งพระแม่มารีผู้ศักดิ์สิทธิ์ และสุสานของเมือง "ทุ่งศักดิ์สิทธิ์" ปรากฏขึ้น
อย่างไรก็ตาม การมีส่วนร่วมของรัสเซียในประวัติศาสตร์ปารากวัยไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่นั้น ตาม Belyaev นักสำรวจชาวรัสเซียเดินไปรอบ ๆ ดินแดนทั้งหมดของสาธารณรัฐและรวบรวมแผนที่ภูมิประเทศที่มีรายละเอียดมากที่สุด ผู้อพยพชาวรัสเซียและนักเรียนศึกษาแหล่งพลังงานของปารากวัยและสร้างพื้นฐานของระบบการจัดหาพลังงานทั้งหมด วิศวกรชาวรัสเซียได้ออกแบบเครือข่ายทางหลวงปารากวัยที่ทันสมัย สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการป้องกันจำนวนมากถูกสร้างขึ้นหรือสร้างขึ้นใหม่ตามการออกแบบของสถาปนิกชาวรัสเซีย ในกระทรวง งานสาธารณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในแผนกก่อสร้างถนน ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่ใช้มานานหลายปี ด้วยการมีส่วนร่วมโดยตรงของชาวรัสเซีย คณะฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยอะซุนซิอองจึงถูกสร้างขึ้น และศาสตราจารย์ Sergei Bobrovsky กลายเป็นคณบดีคนแรก ในที่สุด ต้องขอบคุณชาวรัสเซีย โรงเรียนสอนเต้นรำคลาสสิกแห่งแรกจึงก่อตั้งขึ้นในเมืองอะซุนซิออง และบัลเล่ต์ก็ปรากฏตัวในปารากวัย เป็นเวลาหลายปีที่ "ชาวปารากวัย" ชาวรัสเซียดำรงตำแหน่งสูงในฝ่ายบริหารของรัฐบาล บางคนทำงานเป็นรองและที่ปรึกษารัฐมนตรี หัวหน้าแผนกใหญ่ หัวหน้า สถาบันของรัฐ.
แม้จะได้รับการยอมรับในระดับชาติ แต่ชาวรัสเซียในปารากวัยก็ไม่รีบร้อนที่จะซึมซับและพยายามรักษาวัฒนธรรมและภาษาของตนไว้ โดยพยายามไม่สูญเสีย "ความเป็นรัสเซีย" ของตนไป ย้อนกลับไปในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2475 ไม่กี่เดือนก่อนการโจมตีอย่างทรยศโดยโบลิเวีย องค์กรของรัสเซียพลัดถิ่นได้จดทะเบียนในปารากวัย: "สังคมวัฒนธรรม - หอสมุดรัสเซีย" เป้าหมายของสังคมตามที่ระบุไว้ในกฎบัตรคือ "การสร้างห้องสมุดที่มีความโดดเด่นของหนังสือในภาษารัสเซียเพื่อส่งเสริมวรรณกรรมรัสเซีย ภาษารัสเซีย ศิลปะแห่งชาติจัดนิทรรศการ บรรยาย ทัศนศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์ ประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีการพัฒนาองค์กรของชุมชนรัสเซียในปารากวัยอีกต่อไป ในช่วงปลายทศวรรษที่ 30 ของศตวรรษที่ 20 สถานการณ์ในโลกเริ่มตึงเครียดมากขึ้น ในปี 1939 สงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น และในเดือนมิถุนายน 1941 นาซีเยอรมนีโจมตีสหภาพโซเวียต จนกระทั่งปี พ.ศ. 2485 อาซุนซิอองอย่างเป็นทางการเป็นผู้นำ " เล่นสองครั้ง" โดยรักษาความสัมพันธ์กับทั้งแนวร่วมต่อต้านฮิตเลอร์และฝ่ายอักษะ ชาวรัสเซียพลัดถิ่นในปารากวัยมีจุดยืนที่ชัดเจนมาก แม้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าเนื่องจากระบอบคอมมิวนิสต์ ผู้อพยพผิวขาวจึงถูกบังคับให้ออกจากรัสเซียในช่วงมหาราช สงครามรักชาติส่วนใหญ่พวกเขาสนับสนุนสงครามที่ยุติธรรมของรัฐโซเวียตเพื่อต่อต้านผู้รุกรานจากต่างประเทศ และยังมีส่วนร่วมในขบวนการสมานฉันท์กับสหภาพโซเวียตอีกด้วย
ในปีพ. ศ. 2492 อาณานิคมรัสเซียในปารากวัยได้รับการเติมเต็มด้วยผู้อพยพจากประเทศจีนซึ่งกองกำลังคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะอันเป็นผลมาจากสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ สมาชิกของคลื่นการอพยพนี้กลายเป็นคนงานในโรงงาน พนักงานออฟฟิศ และครู ดูเหมือนว่าชุมชนรัสเซียกำลังจะพบกับลมครั้งที่สอง แต่เหตุการณ์ในชีวิตภายในของปารากวัยทำลายแผนการทั้งหมด
ในปี 1954 การปกครองแบบเผด็จการของ Alfredo Stroessner ก่อตั้งขึ้นในปารากวัยเป็นเวลานานสามสิบห้าปี กลุ่มคอดิลโลปารากวัยดำเนินนโยบายในประเทศที่กดขี่ (เขาถูกตราหน้าว่าเป็นฟาสซิสต์โดยตรงในสหภาพโซเวียต) ขณะเดียวกันก็นำปารากวัยประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจอย่างน่าประทับใจ ปัญหาก็คือในช่วงหลายปีที่ผ่านมา” สงครามเย็น“ทุกสิ่งที่รัสเซียมักเกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์และกลายเป็นศัตรูกันโดยอัตโนมัติ ช่วงเวลาที่ยากลำบากมาถึงแล้วสำหรับชาวรัสเซียพลัดถิ่นในปารากวัย
ที่น่าสนใจคือเผด็จการเองก็ปฏิบัติต่อ "ชาวรัสเซียผิวขาว" (นี่คือสิ่งที่ชาวปารากวัยเริ่มเรียกว่าผู้อพยพจากรัสเซีย) ด้วยความเคารพอย่างสูง แม้กระทั่งในช่วงสงครามกับโบลิเวีย กัปตันปืนใหญ่หนุ่ม สโตรสเนอร์ ยังได้เป็นเพื่อนกับเจ้าหน้าที่รัสเซียหลายคน และยังคงซื่อสัตย์ต่อมิตรภาพแนวหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ระบอบการปกครองต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่เข้มงวดที่เขาสร้างขึ้นได้สร้างบรรยากาศปากน้ำพิเศษเกี่ยวกับผู้อพยพชาวรัสเซียและลูกหลานของพวกเขา การสร้างองค์กรใดๆ ก็ตามของผู้พลัดถิ่นชาวรัสเซียนั้นไม่เป็นปัญหา “แม้จะมีข้อได้เปรียบทั้งหมดของเรา แต่เราก็ยังไม่สามารถประกาศตัวเองว่าเป็น “ชุมชนรัสเซีย” ดังๆ ได้เหมือนกับที่ชาวเยอรมัน สวิส หรือญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่ที่นี่ทำอย่างนั้น” A. ยอมรับกับชาวรัสเซีย ผู้สื่อข่าว Carmenu เป็นหนึ่งในนักเคลื่อนไหวของชุมชนรัสเซียในปารากวัยในปัจจุบัน - ทำไม? คุณรู้ไหมว่าในปารากวัยพวกเขาปฏิบัติต่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับลัทธิคอมมิวนิสต์และสหภาพโซเวียตได้อย่างไร เราไม่ได้มีส่วนร่วมในการเมือง มันเป็นกฎแห่งชีวิตของเรา แต่เป็นไปได้ว่าการระบุตัวตนใด ๆ กับรัสเซียย่อมได้รับ "สีแดง" นั่นคือสีคอมมิวนิสต์และนี่เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง "
ในช่วงหลายปีแห่งการปกครองของสโตรสเนอร์ ชาวรัสเซียในปารากวัยสูญเสียภาษาและวัฒนธรรมของตนมากขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากการล่มสลายของระบอบเผด็จการในปี 1989 เท่านั้น ชาวรัสเซียพลัดถิ่นก็ตอบรับความปรารถนาที่จะรวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง ถูกสร้างขึ้นในอาซุนซิออน กลุ่มความคิดริเริ่มซึ่งรวมถึง N. Ermakov (สถาปนิกผู้สืบเชื้อสายของคอสแซค), S. Kanonnikov (เจ้าของเรือชาวรัสเซียโดยพันธุกรรม), R. Sispanov (ครูสอนคณิตศาสตร์, หลานชายของนักคณิตศาสตร์ที่โดดเด่น Sergei Sispanov ผู้เสียชีวิตในอะซุนซิออง), I. Fleischer (วิศวกร ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนอุตสาหกรรมและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมของปารากวัยเป็นเวลาสิบปี)
ครอบครัวชาวรัสเซียมากกว่าร้อยครอบครัวตอบสนองต่อการเรียกร้องให้รวมตัวกันเหมือนครั้งหนึ่งในช่วงกลางทศวรรษ 1920 นี่คือวิธีการก่อตั้งสมาคมรัสเซียและลูกหลานของพวกเขาในปารากวัย (ARIDEP) ซึ่งนำโดย Nicholas Ermakov ในไม่ช้า ARIDEP ก็ได้รับหนังสือ โปสเตอร์ แผ่นเสียง ตุ๊กตาแม่ลูกดก เสื้อผ้าประจำชาติรัสเซียแบบโฮมเมด "วงกลม" อาหารรัสเซีย และการศึกษาภาษารัสเซียก็เริ่มขึ้น ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2534 Ermakov, Kanonnikov และแพทย์ O. Kalinnikova ไปสหภาพโซเวียต ดังนั้นนับเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปีของการถูกบังคับให้แยกจากกัน “ชาวปารากวัย” ชาวรัสเซียพบว่าตัวเองอยู่ในบ้านเกิดทางประวัติศาสตร์ของพวกเขา
ในปี 1992 ความสัมพันธ์ทางการฑูตได้ก่อตั้งขึ้นระหว่างสาธารณรัฐปารากวัยและสหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งเป็นแรงผลักดันใหม่ในการพัฒนาชุมชนรัสเซียที่กำลังจะเสื่อมถอย ด้วยความคิดริเริ่มของ ARIDEP จึงได้ก่อตั้ง "หอการค้าปารากวัย-รัสเซีย" ในปี 1996 “วันแห่งรัสเซีย” จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่อะซุนซิออง และในปี 1999 มีการจัดนิทรรศการเพื่อฉลองครบรอบ 200 ปีวันเกิดของพุชกิน ในปี 2544 ค่ำคืนแห่งวัฒนธรรมรัสเซียจัดขึ้นที่เมืองหลวงของปารากวัย ซึ่งรวมถึงนิทรรศการไอคอน การบรรยายเกี่ยวกับศิลปะจิตวิญญาณของรัสเซีย การแสดงดนตรีคลาสสิกและการเต้นรำของรัสเซีย ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2545 วันแห่งวัฒนธรรมรัสเซียได้จัดขึ้นอีกครั้ง ซึ่งตรงกับวันครบรอบปีที่ 10 ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการฑูต ในช่วงเวลาเดียวกัน มีการเปิดตัวนิทรรศการเอกสารสำคัญ "200 ปีของกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย" ซึ่งรวมถึงจดหมายต้นฉบับของนิโคลัสที่ 2 จากปี 1905 ซึ่งจักรพรรดิรัสเซียแสดงความยินดีกับประธานาธิบดีปารากวัย Juan Salazar Gaon เกี่ยวกับเขา การเลือกตั้งสู่ตำแหน่งสูงสุด
ปัจจุบัน ชาวรัสเซียในปารากวัยแทบจะเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากผู้อพยพที่เข้ามาในประเทศระหว่างช่วงทศวรรษที่ 20 ถึง 50 ของศตวรรษที่ 20 จำนวนอาณานิคมของรัสเซียมีน้อย: ตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศสหพันธรัฐรัสเซียมีประมาณ 1,500 คนตามรายงานของสื่อหลายฉบับ - ประมาณหมื่นคน องค์กรหลัก (และแห่งเดียว) ของรัสเซียพลัดถิ่นในปารากวัยคือ ARIDEP สมาคมรวมตัวกันเป็นชุมชนรัสเซียสี่สิบแห่งในประเทศ และพยายามรักษาวัฒนธรรมและประเพณีของรัสเซียอย่างเต็มกำลังและความสามารถ ARIDEP นำโดย H. von Horos
ชาวรัสเซียพลัดถิ่นกลุ่มเล็กๆ ในปารากวัยที่มีประชากรหกล้านคนมีอิทธิพลอย่างมาก ตัวแทนชุมชนดำรงตำแหน่งสำคัญในฝ่ายบริหาร ในสภาคองเกรส และมีอำนาจและอำนาจที่สำคัญในแวดวงธุรกิจ ARIDEP มีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ชีวิตสาธารณะตัวอย่างเช่นปารากวัยเป็น "ผู้สนับสนุน" หลักของสัปดาห์ผู้อพยพแบบดั้งเดิมซึ่งจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนกันยายน - ต้นเดือนตุลาคมสนับสนุนการพัฒนาความสัมพันธ์กับรัสเซีย
ในฐานะหัวหน้ากระทรวงการต่างประเทศของปารากวัย Ruben Ramirez Lescano กล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “ชาวปารากวัยได้พัฒนาทัศนคติที่พิเศษและไม่เหมือนใครในละตินอเมริกาต่อชาวรัสเซีย ต้องขอบคุณการมีส่วนร่วมที่สำคัญที่ผู้อพยพจากรัสเซียสร้างประวัติศาสตร์ของเรา ประเทศเมื่อต้นศตวรรษที่ 20... ชาวปารากวัยเช่นเดียวกับชาวรัสเซียมีความโดดเด่นด้วยความเปิดกว้างและความเป็นมิตรมาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้อพยพชาวรัสเซียกลุ่มแรกที่มาสู่ปารากวัยในปี 2467 เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่นี่ได้อย่างง่ายดายและช่วยพัฒนาประเทศของเราได้มากมาย”
ข้อเท็จจริงนี้เป็นที่ยอมรับในชุมชนรัสเซียด้วย “ชาวรัสเซียหยั่งรากลึกที่นี่” I. Fleischer หนึ่งในผู้ก่อตั้ง ARIDEP กล่าว - ในปารากวัย เราได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ยอดเยี่ยม ผู้ประกอบการและนักธุรกิจที่ซื่อสัตย์ เช่นเดียวกับผู้คน วัฒนธรรมชั้นสูงและศีลธรรม ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรารับประกันอย่างกระตือรือร้นว่าไม่มีเพื่อนร่วมชาติของเราสักคนเดียวที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่น่ารังเกียจ การคอร์รัปชัน หรือการฉ้อโกง เพื่อไม่ให้ชื่อของบุคคลชาวรัสเซียเสื่อมเสียหรือเสื่อมเสียชื่อเสียง นี่คือวิธีที่เราเลี้ยงลูกของเรา เราเชื่อว่านี่คือหน้าที่ของเราต่อมาตุภูมิแม่ของเรา”
อย่างไรก็ตาม ชุมชนชาวรัสเซียในปารากวัยกลับประสบปัญหามากมายทั้งในด้านส่วนตัวและระดับโลกอย่างแท้จริง ดังนั้นสมาคมชาวรัสเซียและลูกหลานของพวกเขาในปารากวัยจึงไม่มีองค์กรข่าวของตนเองด้วยซ้ำ และการสื่อสารข้อมูลระหว่างสมาชิกของชุมชนรัสเซียจะดำเนินการผ่านหนังสือพิมพ์ของผู้พลัดถิ่นที่พูดภาษารัสเซียในอาร์เจนตินา "ประเทศของเรา" อีกตัวอย่างหนึ่ง - แม้ว่าจะมีหลายตัวก็ตาม โบสถ์ออร์โธดอกซ์ในอาซุนซิออน บริการของคริสตจักรจัดขึ้นเฉพาะในวงกว้างเท่านั้น วันหยุดทางศาสนาและเกิดความล่าช้าหลายวัน เนื่องจากปารากวัยไม่มีนักบวชเป็นของตัวเอง แต่ปัญหาหลักของเตาไฟแห่งจิตวิญญาณรัสเซียในปารากวัยนั้นอยู่ที่ความสัมพันธ์ที่อ่อนแอมากกับมาตุภูมิทางประวัติศาสตร์และการขาดความรู้ภาษารัสเซียเกือบทั้งหมด แม้จะฟังดูน่าเศร้า แต่จำนวนผู้คนในปารากวัยที่พูดภาษารัสเซียได้ดีเยี่ยมและสามารถอ่านภาษาของบรรพบุรุษสามารถนับได้ด้วยมือข้างเดียว
โดยทั่วไปแล้ว สถานการณ์ของชุมชนชาวรัสเซียในปารากวัยนั้นมีลักษณะเฉพาะและเป็นตัวบ่งชี้ในเวลาเดียวกัน
ไม่เหมือนใหญ่ ผู้พลัดถิ่นที่พูดภาษารัสเซียในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย อิสราเอล หรืออาร์เจนตินา ชุมชนปารากวัยของรัสเซียมีขนาดไม่ใหญ่นักและจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ถูก “แช่แข็ง” ทันเวลา เนื่องจากสถานการณ์ส่วนตัว ตลอดครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 มีผู้ให้บริการวัฒนธรรมรัสเซียเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่สามารถไปถึงปารากวัยได้ ผลที่ตามมาคือการขาดความสัมพันธ์ระยะยาวกับมาตุภูมิเป็นเวลานานทำให้เกือบจะ การสูญเสียที่สมบูรณ์ภาษาและอัตลักษณ์ของลูกหลานของผู้อพยพชาวรัสเซียและคุกคามการดำรงอยู่ของชาวรัสเซียพลัดถิ่นในประเทศนี้
แต่ในทางกลับกัน ความเป็นเอกลักษณ์ของชาวรัสเซียพลัดถิ่นในปารากวัยถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับ เจ้าหน้าที่อย่างเป็นทางการและนักแสดงที่ไม่ใช่รัฐ สหพันธรัฐรัสเซียเพื่อให้ความช่วยเหลือที่เป็นไปได้ทั้งหมดสำหรับการฟื้นฟูชุมชนรัสเซียในอีกด้านหนึ่งของโลก - แม้ว่าจะเป็นเพียงองค์ประกอบที่เล็กมาก แต่ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าองค์ประกอบโมเสกของโลกรัสเซีย
อเล็กซานเดอร์ นอมอฟ
ผู้สมัครสาขาวิทยาศาสตร์ประวัติศาสตร์
Belyaev Ivan Timofeevich (2418, เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก - 2500, อะซุนซิออน) - นายพลรัสเซีย พลเมืองกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐปารากวัย ปู่ทวดของเขา สายมารดา Leonty Fedorovich Trefurt เป็นผู้ช่วยของ Suvorov และเข้าร่วมในการรณรงค์อันโด่งดังของอิตาลี Belyaev เองเป็นผู้มีส่วนร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สงครามกลางเมือง และสงครามชากา นักวิจัยด้านการตั้งถิ่นฐาน ภาษา และวัฒนธรรมของชาวอินเดียนแดง Chaco นักสู้เพื่อสิทธิและนักการศึกษาของชาวอินเดียนแดงปารากวัย ในช่วงมหาสงครามแห่งความรักชาติ เขาได้สนับสนุนสหภาพโซเวียตอย่างสุดความสามารถในการต่อสู้กับลัทธินาซี เมื่อ Belyaev เสียชีวิต ชาวอินเดียที่บูชาเขาไม่อนุญาตให้ฝังศพของเขาในสุสานรัสเซียหรือใน Pantheon of Heroes บนจัตุรัสหลักของ Asuncion ตรงจากโบสถ์ที่มีพิธีศพอำลา โดยไม่ไว้วางใจคำสัญญาของเจ้าหน้าที่ พวกเขาจึงอุ้มโลงศพของเขาไว้ในอ้อมแขนและพาเขาไปที่เกาะที่พวกเขาฝังศพเขาไว้ ต่อมามีการติดตั้งรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของเขาไว้ที่นั่นด้วยค่าใช้จ่ายของเขาเอง
Igor Anatolyevich Fleisher-Shevelev เป็นชาวรัสเซียเชื้อสายเพียงกลุ่มเดียวในละตินอเมริกาที่ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ของรัสเซีย เกิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2482 ในเมืองหลวงของปารากวัย อะซุนซิออง พ่อแม่ของเขาตั้งรกรากในประเทศนี้ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1930 เมื่ออายุยังน้อย เขาได้รับบัพติศมาใน Church of the Intercession of the Russian Church Abroad in Asuncion ในปี 1956 เขาสำเร็จการศึกษาจาก Humanitarian Lyceum of San Carlos ในเมือง Asuncion ในปี 1963 จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ของ National University of Asuncion ในปี 1968 - สถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย (แอตแลนตา สหรัฐอเมริกา)
เป็นเวลากว่าหนึ่งในสี่ของศตวรรษแล้วที่เขาเป็น บริการสาธารณะปารากวัย ในปี พ.ศ. 2506-2516 เขาเป็นหัวหน้าแผนกอุตสาหกรรมและพลังงานของสำนักเลขาธิการการวางแผนของฝ่ายบริหารประธานาธิบดี ตั้งแต่ พ.ศ. 2514 ถึง พ.ศ. 2516 เขาดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการผู้ว่าการกรมบริการแห่งชาติ การพัฒนาวิชาชีพ- พ.ศ. 2516-2532 - รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ในปีเดียวกันนั้น - ผู้ประสานงานการวิจัยทางเศรษฐกิจในปารากวัยของสมาคมละตินอเมริกา การค้าเสรี.
ในช่วงปลายทศวรรษ 1980 เขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสมาคมรัสเซียและลูกหลานของพวกเขาในปารากวัย (ARIDEP) เขากลายเป็นประธานคนแรกขององค์กรนี้ เข้าร่วมในการประชุมระดับโลกและระดับภูมิภาคของเพื่อนร่วมชาติรัสเซียในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (2534 และ 2538), บัวโนสไอเรส (2551), นิวยอร์ก (2553)
ตั้งแต่ปี 1992 - กงสุลกิตติมศักดิ์รัสเซียในปารากวัย จนกระทั่งปี 2009 เมื่อสถานทูตรัสเซียเปิดทำการในเมืองอะซุนซิออง เป็นเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ตัวแทนอย่างเป็นทางการของเขา บ้านเกิดทางประวัติศาสตร์- ในปี 1998 เขามีส่วนร่วมในการประชุมกงสุลกิตติมศักดิ์ของรัสเซียครั้งแรกซึ่งจัดขึ้นที่กรุงมอสโก
ฉันเชื่อว่า Igor Anatolyevich พ่อแม่ของคุณก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ผู้อพยพชาวรัสเซียรุ่นของพวกเขาถูกนำไปยังปารากวัยโดยเหตุการณ์การปฏิวัติในบ้านเกิดของพวกเขา?
ใช่ พ่อแม่ของฉันจบลงที่ละตินอเมริกาอันเป็นผลมาจากการปฏิวัติในปี 1917 และการสถาปนาระบบโซเวียตในรัสเซีย พ่อของฉัน Anatoly Nikolaevich มาจากเมือง Armavir ศึกษาในโรงเรียนนายร้อยใน Vladikavkaz หลังจากความพ่ายแพ้ของกองทัพขาวทางตอนใต้ของรัสเซีย เขาถูกนำตัวไปยังเซอร์เบีย ตอนนั้นพ่อของฉันอายุ 14 ปี เมื่อโตขึ้นเขาย้ายไปอยู่ที่ลักเซมเบิร์ก Lyubov Ivanovna Sheveleva แม่ของฉันอยู่ในลิทัวเนียในช่วงสงครามกลางเมือง เมื่อมีอันตรายที่พวกบอลเชวิคจะขึ้นสู่อำนาจที่นั่น เธอจึงย้ายไปลักเซมเบิร์ก ซึ่งเธอได้พบกับพ่อของฉัน
ผู้อพยพผิวขาวคนหนึ่ง นายพลอีวาน ทิโมเฟเยวิช เบลยาเยฟ ตั้งรกรากในปารากวัยในช่วงกลางทศวรรษ 1920 เขาเรียกร้องให้ผู้ลี้ภัยชาวรัสเซียอพยพมาอยู่ในประเทศนี้ Belyaev มีสายสัมพันธ์ที่ดีและเป็นเพื่อนส่วนตัวของประธานาธิบดี Eusebio Ayala พวกเขาสื่อสารเป็นภาษาฝรั่งเศส ตามคำแนะนำของ Ivan Timofeevich เจ้าหน้าที่และสมาชิกกลุ่มปัญญาชนหลายร้อยคนได้ตั้งรกรากในปารากวัยซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิศวกรและแพทย์ พ่อกับแม่มาถึงปารากวัยในปี พ.ศ. 2478 พ่อของเขาขึ้นสู่ยศพันเอกในกองทัพปารากวัย
ฉันอยากจะพูดถึงข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ ปู่ทวดของฉัน Sergei Nikolaevich Fleisher เป็น Kuban Cossack ในปี พ.ศ. 2444 เขาได้รับยศเป็นพลตรีในกองทัพจักรวรรดิ และในปี พ.ศ. 2448 เขาได้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเอลิซาเวตโปล ขึ้นถึงตำแหน่งพลโท ในปี 1912 Sergei Nikolaevich ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด Terek และ ataman ของกองทัพ Terek Cossack ฉันมีรูปถ่ายของคุณปู่ทวดของฉันหลายรูป โดยบางรูปเขาอยู่ถัดจากจักรพรรดินิโคลัสที่ 2
นายพล Belyaev ที่คุณพูดถึงคือหนึ่งในผู้อพยพชาวรัสเซียที่มีชื่อเสียงที่สุดในละตินอเมริกา เขาพยายามจุดไฟ "เตาไฟรัสเซีย" ในปารากวัย ซึ่งประเพณีต่างๆ จะยังคงอยู่ต่อไป รัสเซียก่อนการปฏิวัติเข้าร่วมกับฝ่ายปารากวัยในสงครามชากากับโบลิเวีย พ.ศ. 2475-2478 มีส่วนสนับสนุนอย่างมากต่อการศึกษาวัฒนธรรมอินเดียรวบรวม แผนที่ทางภูมิศาสตร์ปารากวัย... โปรดแบ่งปันความทรงจำของคุณเกี่ยวกับ Ivan Timofeevich Belyaev
แท้จริงแล้ว Belyaev เป็นบุคคลที่น่าสนใจมาก ครอบครัวของฉันอาศัยอยู่กับเขามาระยะหนึ่งแล้วนายพลก็เช่าห้องของเขาอยู่ บ้านหลังใหญ่ในเมืองอะซุนซิอองซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโบสถ์ขอร้องของคริสตจักรรัสเซียในต่างประเทศ บ้านนี้ไม่รอด สิ่งสำคัญที่ฉันจำได้คือชาวอินเดียที่มาเยี่ยม Belyaev ทั้งกลางวันและกลางคืน พระองค์ตรัสกับพวกเขาด้วยภาษาของพวกเขาซึ่งพระองค์ตรัสอย่างคล่อง เป็นภาษาของชาวมาคาห์ที่อาศัยอยู่บริเวณอาซุนซิออน
ไม่นานก่อนที่เขาจะเสียชีวิต Belyaev ขอให้ชาวอินเดียฝังตัวเองในดินแดนของตน ชาวพื้นเมืองจำนวนมากมาร่วมงานศพของ Ivan Timofeevich ในโบสถ์แห่งการขอร้อง ทันทีที่โลงศพถูกวางบนศพ Cacique ซึ่งเป็นผู้นำของ Mac กลัวว่า Belyaev จะถูกนำตัวไปที่สุสานรัสเซียจึงนั่งอยู่ด้านหลังคนขับและบังคับให้เขาไปที่ท่าเรือบนแม่น้ำปารากวัย จากนั้นเรือกลไฟก็นำร่างของ Belyaev ไปยังดินแดนอินเดียซึ่งเขาถูกฝังอยู่
เป็นเรื่องจริงหรือไม่ที่ผู้อพยพชาวรัสเซียทำงานในรัฐบาลของเผด็จการ Alfredo Stroessner ซึ่งปกครองปารากวัยตั้งแต่ปี 1954 ถึง 1989
รัสเซียดำรงตำแหน่งในรัฐบาลปารากวัยทั้งหมดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 ถึงคริสต์ทศวรรษ 1960 ช่วงนี้รวมส่วนหนึ่งของตำแหน่งประธานาธิบดีของนายพลสโตรสเนอร์ด้วย เขา - บทสุดท้ายสาธารณรัฐที่เห็นในรัสเซียมีคนใกล้ชิดกับปารากวัย Stroessner ต่อสู้ใน Chuck War ภายใต้คำสั่งของเจ้าหน้าที่รัสเซียและเป็นเพื่อนกับพวกเขา และในสงคราม มิตรภาพนั้นแข็งแกร่งกว่าในชีวิตพลเรือนมาก เพราะชีวิตเป็นเดิมพัน สงครามจักระเกิดขึ้นในสภาพที่ย่ำแย่: ป่าทะเลทราย, งูพิษ, ผึ้ง, ความร้อนสี่สิบองศาในฤดูร้อน และต่ำกว่าศูนย์ถึงห้าองศาในฤดูหนาว ปัญหาใหญ่คือการขาดแคลนน้ำ ชาวโบลิเวียยอมจำนนต่อชาวปารากวัยหลังจากที่พวกเขาถูกตัดขาดจากบ่อน้ำของพวกเขา และมีคนสามพันคนเสียชีวิตด้วยความกระหายน้ำ ในสถานการณ์เช่นนี้ มิตรภาพเป็นสิ่งที่มีค่าเป็นพิเศษ
ฉันยังไม่เข้าใจว่าชาวปารากวัยรวมถึง Stroessner อธิบายตัวเองให้ชาวรัสเซียฟังได้อย่างไร เพราะพวกเขาไม่รู้ภาษาสเปนหรือภาษาของชาวอินเดียนแดงกวารานี (80% ของนักรบปารากวัยพูดภาษากวารานี, 20% พูดภาษาสเปน) เห็นได้ชัดว่าด้วยท่าทางและอารมณ์ เจ้าหน้าที่รัสเซียพบความเข้าใจกับผู้ใต้บังคับบัญชา
- ความทรงจำเกี่ยวกับการหาประโยชน์ของผู้อพยพชาวรัสเซียยังคงอยู่ในสังคมปารากวัยหรือไม่?
เป็นเวลาสิบปีหลังสงครามชากา ชาวรัสเซียได้รับความเคารพในลักษณะเดียวกับนักบินอวกาศในปัจจุบัน แต่แล้วความทรงจำก็ค่อยๆหายไป ในเมืองอาซุนซิออน ถนน 17 สายตั้งชื่อตามเจ้าหน้าที่รัสเซีย จาก ผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถบอกได้ว่าคนประเภทไหนซ่อนอยู่หลังชื่อที่ไม่สามารถออกเสียงได้บนป้ายถนน ฉันสังเกตว่าในปารากวัยพวกเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพลเมืองของตนที่มีความโดดเด่นในสนามรบร่วมกับกองทัพโบลิเวีย อย่างไรก็ตาม ชาวปารากวัยมีความเข้าใจว่าชาวรัสเซียเป็นคนดี มันสืบทอดกันในครอบครัว: จากปู่ถึงพ่อ จากพวกเขาสู่หลาน
- โปรดบอกเราเกี่ยวกับสมาคมรัสเซียและผู้สืบทอดในปารากวัย
ชาวรัสเซียในปารากวัยใช้ชีวิตอย่างฉันมิตรมาโดยตลอด เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียวโดยตำบลขอร้อง ในทศวรรษที่ 1940 สมาคมรัสเซียขาวได้ก่อตั้งขึ้น เกือบจะพร้อมๆ กัน มีคณะกรรมการสตรีปรากฏตัวขึ้น มีห้องสมุดรัสเซีย คณะนักร้องประสานเสียงรัสเซีย และโรงละครรัสเซีย มีการประชุมและช่วงเย็น
หลายปีผ่านไป ผู้อพยพรุ่นแรกก็ตายไป ลูกและหลานของพวกเขาแทบไม่ได้มีส่วนร่วมในการรักษาความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมชาติซึ่งเป็นผลมาจากการที่พวกเขาจางหายไป แต่วันหนึ่งเกิดความคิดที่จะรื้อฟื้นองค์กรรัสเซียขึ้นมา ไม่ใช่เรื่องยากเพราะเราทุกคนรู้จักกัน ในปี 1989 สมาคมรัสเซียและลูกหลานของพวกเขาในปารากวัย (ARIDEP) ได้ก่อตั้งขึ้นซึ่งมี สถานะทางกฎหมาย- ความเป็นผู้นำประกอบด้วยประธานกรรมการ คณะกรรมการ และเหรัญญิก มีการเลือกตั้งประธานเป็นประจำทุกปี กฎบัตรกำหนดว่าบุคคลคนเดียวกันไม่สามารถเป็นหัวหน้า ARIDEP ได้นานกว่าสองปี ด้วยวิธีนี้ เราหลีกเลี่ยงปัญหาที่มีอยู่ในองค์กรร่วมชาติในหลายประเทศในละตินอเมริกา: บุคคลหนึ่งไม่ได้ออกจากเก้าอี้ผู้นำมานานหลายทศวรรษ สมาชิกบางคนแสดงความไม่พอใจ และความขัดแย้งเกิดขึ้น การไม่มีการหมุนเวียนนำไปสู่การที่ประธานเป็นตัวแทนของตนเอง ไม่ใช่ประเทศ
ภารกิจหลักของ ARIDEP คือการอนุรักษ์ความทรงจำเกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีของบรรพบุรุษของพวกเขาในรัสเซียพลัดถิ่น เราจัดงานวรรณกรรม ดนตรี และอื่นๆ กฎบัตรของสมาคมระบุว่าภารกิจประการหนึ่งคือการช่วยให้คริสตจักรดูแลรักษาสุสานของรัสเซีย เป็นเรื่องบังเอิญที่น่ายินดีที่สามปีหลังจากการก่อตั้ง ARIDEP รัสเซียและปารากวัยได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการฑูตที่ถูกขัดจังหวะในปี พ.ศ. 2460 เรายินดีต้อนรับนักการเมือง นักการทูต บุคคลสำคัญทางวัฒนธรรม และบุคคลสำคัญของคริสตจักรที่มาจากรัสเซีย และเชิญพวกเขามารับประทานอาหารกลางวันหรือบุฟเฟ่ต์ ตามกฎแล้วแขกผู้เข้าพักยินดีที่จะพบปะเพื่อนร่วมชาติในประเทศที่ไม่คุ้นเคย ARIDEP สนับสนุนความจริงที่ว่าคอนเสิร์ตของคณะนักร้องประสานเสียงอาราม Sretensky ในเมืองอะซุนซิอองในเดือนพฤศจิกายน 2551 มีผู้ชมเข้าร่วม 1,200 คน สมาคมมีส่วนร่วมในการเตรียมการเยือนปารากวัยของประธานแผนกความสัมพันธ์ภายนอกคริสตจักรของ Patriarchate มอสโก Metropolitan Hilarion (Alfeev) แห่ง Volokolamsk ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2554
ในความคิดของฉัน ARIDEP ช่วยเติมเต็มงานของสถานทูตรัสเซียในอะซุนซิออง การพัฒนาทางการเมืองและ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับปารากวัย และสำนักงานตัวแทนของ Rossotrudnichestvo ในอาร์เจนตินา ปารากวัย และอุรุกวัย ซึ่งแนะนำชาวปารากวัยให้รู้จักกับวัฒนธรรมรัสเซีย
- คุณเป็นสมาชิกของตำบล Intercession of Asuncion มาตั้งแต่เด็ก ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปอย่างไรในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา?
ฉันจำวัดแห่งนี้ได้ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 ตั้งแต่สมัยฉันอยู่ที่โรงเรียนวัด จากคำพูดของคนรุ่นเก่า ข้าพเจ้ารู้ว่าชาวรัสเซียที่อพยพไปปารากวัยในช่วงกลางทศวรรษ 1920 ตั้งใจจะสร้างพระวิหารทันที แม้ว่าเพื่อนร่วมชาติของเราจะมีชีวิตไม่ดี แต่พวกเขาก็สามารถซื้อที่ดินได้ มีการรวบรวมเงินทุนเพื่อการก่อสร้างทั่วโลก ผู้จัดการตำบลของคริสตจักรรัสเซียในต่างประเทศในอเมริกาใต้ยืมเงินจำนวนมาก Protopresbyter Konstantin Izraztsov ซึ่งอาศัยอยู่ในบัวโนสไอเรส การก่อสร้างวัดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2471 โบสถ์แห่งการวิงวอนมีขนาดไม่ใหญ่มาก ฉันคิดว่าสามารถรองรับคนได้ 80 คน
จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1960 ตำบลนี้มีขนาดใหญ่และเข้มแข็ง คณะสงฆ์สนับสนุนวัดและพระภิกษุ แต่เนื่องจากการดูดกลืนของรัสเซียทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป บุตรชายของผู้ตั้งถิ่นฐานกลุ่มแรกแต่งงานกับผู้หญิงปารากวัย เป็นผลให้ภาษารัสเซียสูญหายไป เนื่องจากเด็กๆ เรียนรู้ภาษาจากแม่ของพวกเขา ครอบครัวรัสเซีย-ปารากวัยนิยมที่จะให้ลูกหลานของตนรับบัพติศมาเข้าศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก (ปารากวัยเป็นรัฐคาทอลิกส่วนใหญ่) การมาถึงลดลงอย่างรวดเร็ว ผู้คนไม่ต้องการไปวัดที่พวกเขาไม่เข้าใจบริการหรือเทศน์
สถานการณ์ของตำบลได้รับผลกระทบในทางลบจากข้อเท็จจริงที่ว่าศิษยาภิบาลถูกกีดกันเป็นเวลานาน ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 1990 Archpriest Vladimir Shlenev ซึ่งเป็นบาทหลวงของคริสตจักรรัสเซียในต่างประเทศ เริ่มมาจากบัวโนสไอเรส ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้รับการดูแลจากอธิการบดีของเขต Patriarchate ของมอสโกในจังหวัดมิซิโอเนสของอาร์เจนตินา เจ้าอาวาสบาร์โธโลมิว (โอเวียโด) ซึ่งเป็นชาติพันธุ์ปารากวัย ความจริงที่ว่านักบวชแห่ง Patriarchate แห่งมอสโกรับใช้ในโบสถ์ของ Church Abroad ในอะซุนซิอองเป็นหนึ่งในผลที่มองเห็นได้ของการรวมตัวกันของสองสาขาของ Russian Orthodoxy
- ตำบลรัสเซียในอาซุนซิออนมีขนาดเท่าไหร่?
ตามการคำนวณของฉัน มีผู้เชื่อไม่เกิน 50 คน ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขโดยประมาณ คุณพ่อบาร์โธโลมิวไปเยี่ยมอะซุนซิอองไม่เกินหนึ่งครั้งทุกสามเดือน บางคนพบว่าจะมีบริการเกิดขึ้น แต่บางคนก็ไม่ทราบ มีตั้งแต่ 50-60 คน คลื่นลูกใหม่การย้ายถิ่นฐาน หลายคนไม่สงสัยด้วยซ้ำว่ามีโบสถ์แห่งการวิงวอนและผู้ที่รู้เกี่ยวกับคริสตจักรไม่ได้ไปที่นั่นเนื่องจากไม่มีนักบวช ถ้าเรามีอธิการบดี ผมเชื่อว่าจะมีคนในวัดไม่ต่ำกว่า 100 คน
- วัดมีความต้องการอะไรอีกบ้าง?
โบสถ์อยู่ในสภาพดี แม้ว่าบางแห่งจะต้องทาสีและฉาบปูนก็ตาม การซ่อมแซมจะไม่รบกวนบ้านพระสงฆ์ที่อยู่ด้านหลังวัด แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่สุสานรัสเซียแห่งใหม่ มีสุสานรัสเซียสองแห่งในอะซุนซิออง เปิดครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 1930: สำนักงานของนายกเทศมนตรีได้บริจาคที่ดินในลานโบสถ์กลางของเมืองหลวงให้กับอาณานิคมรัสเซีย ทันทีที่ไม่มีที่ว่างเหลือแล้ว เจ้าหน้าที่จึงจัดสรรที่ดินทางตอนใต้ของอะซุนซิอองเพื่อจัดตั้งสุสานรัสเซียแห่งที่สอง จนถึงทุกวันนี้เพื่อนร่วมชาติของเราถูกฝังอยู่ที่นั่น
ปารากวัยมีภูมิอากาศแบบเขตร้อน พืชพรรณเติบโตเร็ว และมีแมลงหลายชนิดซึ่งทำให้ยากต่อการดูแลรักษาพื้นที่ เมื่อระบอบการปกครองของทหารล่มสลายในช่วงต้นทศวรรษ 1990 อาชญากรรมในประเทศก็เพิ่มขึ้น โจรกำลังขโมยอนุสาวรีย์ทองสัมฤทธิ์และหินอ่อนจากสุสานแห่งใหม่ และพวกอันธพาลกำลังทำลายหลุมศพ จำเป็นต้องสร้างรั้วสูงแต่ต้องใช้เงิน
- การเรียนที่โรงเรียนตำบลให้อะไรคุณบ้าง?
เนื่องจากการศึกษาที่ฉันได้รับที่พระวิหาร เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ฉันได้รับการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ของรัสเซียในปารากวัย พ่อแม่ของฉันเป็นคนรัสเซีย ฉันเรียนรู้ที่จะพูดภาษารัสเซียที่บ้าน แต่ที่โรงเรียนตำบล ฉันเรียนรู้ที่จะอ่านเขียนและพูดภาษารัสเซียที่แท้จริง ฉันจะเล่าเรื่องตลกนี้ให้คุณฟัง ตอนที่ฉันอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 คุณครูโทรหาแม่และบอกเธอว่า “คุณคะ ฉันไม่เข้าใจว่าลูกชายของคุณเขียนว่าอะไร” ปรากฎว่าฉันใช้อักษรซีริลลิก ครูไม่รู้จักตัวอักษรนี้ และเธอคิดว่าฉันไม่ถูกต้องในหัว ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 หลังจากที่ทั้งสองประเทศยอมรับร่วมกัน ได้มีการขอสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ของรัสเซียในปารากวัย แน่นอนว่าเขาต้องพูดภาษารัสเซียได้คล่อง มีคนแบบนี้ไม่กี่คนในอาณานิคมรัสเซียและตัวเลือกก็ตกอยู่กับฉัน
คริสตจักรออร์โธดอกซ์เป็นพลังขับเคลื่อนมาโดยตลอด อิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับชาติรัสเซีย รวมทั้งส่วนนั้นที่อาศัยอยู่ในพลัดถิ่นด้วย คริสตจักรปลูกฝังคุณสมบัติบุคคลที่ทำให้เขาเป็นคนรัสเซีย ในความคิดของฉันการอุทิศตนเพื่อปิตุภูมิและความหยั่งรากลึกในออร์โธดอกซ์เป็นคุณสมบัติหลักของตัวละครรัสเซีย
- นักบวชชาวรัสเซียคนไหนที่รับใช้ในปารากวัยที่คุณจำได้มากที่สุด?
ข้าพเจ้าเป็นที่รักอย่างยิ่งต่อพระอัครสังฆราช Porfiry Biryukov ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งอธิการบดีของคริสตจักรขอร้องตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1930 ถึงปลายทศวรรษ 1950 เขาสอนที่โรงเรียนตำบลเมื่อฉันเข้าเรียน คุณพ่อปอร์ฟิรีเป็นนักบวชที่ได้รับการอบรมและมีการศึกษา โดดเด่นด้วยความเข้มงวดในการปฏิบัติตามคำสั่งบูชา
พูดตามตรงหลังจาก Archpriest Biryukov ตำบลไม่มีโชคกับอธิการบดี พวกเขาถูกเลือกแบบ "กะทันหัน" โดยไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมกับเงื่อนไขของปารากวัย คุณพ่อพอร์ฟิรีสืบทอดต่อจากคุณพ่อวาซิลี มัคนายกของเขา ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นปุโรหิต จากนั้นคุณพ่ออเล็กซีก็ร่วมรับใช้กับเรา ดูเหมือนว่าในรัสเซียก่อนการปฏิวัติเขาดำรงตำแหน่งร้อยโท พ่ออเล็กซี่เป็น ผู้ชายแปลกหน้าด้วยบุคลิกที่ยากลำบาก พวกนักบวชขอให้เขาออกไป
ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว หนึ่งในศิษยาภิบาลคนสุดท้ายของเราคือบาทหลวงวลาดิมีร์ ชเลเนฟจากบัวโนสไอเรส เขาไปเยือนปารากวัยทุกๆ 3-4 เดือน ในปี 2550 ด้วยการลงนามในพระราชบัญญัติว่าด้วยศีลมหาสนิท นักบวชจำนวนหนึ่งของคริสตจักรรัสเซียในต่างประเทศ รวมทั้งคุณพ่อวลาดิเมียร์ ได้เข้าสู่ความแตกแยก ตอนแรกฉันไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องในวันแห่งรัสเซียในปารากวัยซึ่งจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2551 โดยมีพระสังฆราชเข้าร่วม นักการเมืองรัสเซียคณะนักร้องประสานเสียงของอาราม Sretensky เลขาธิการ Metropolitan Hilarion (Capral) ของอเมริกาตะวันออกและนิวยอร์ก Archpriest Mikhail Boykov มาถึงที่นี่ เขาบอกฉันว่าเขาได้นำแท่นบูชาค่ายไปบูชาด้วย ฉันรู้สึกประหลาดใจและนึกถึงว่ามีวัดรัสเซียในเมืองอะซุนซิออง คุณพ่อมิคาอิลตอบว่า “คุณออกจากคริสตจักรไปต่างประเทศแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่สามารถรับใช้ในเขตตำบลของคุณได้” สำหรับฉันข่าวนี้เหมือนฟ้าร้องในหมู่ ท้องฟ้าแจ่มใส- ฉันสัญญาว่าจะแก้ไขปัญหา ชาวรัสเซียชาวปารากวัยจำได้ดีว่าบรรพบุรุษและปู่ของพวกเขาต้องใช้ความพยายามเพียงใดในการสร้างโบสถ์ พวกเขาจะไม่ยอมให้มอบให้กับกลุ่มที่ไม่เป็นที่ยอมรับ ตามคำขอของฉัน ชุมชนรัสเซียได้ส่งจดหมายถึงผู้อาวุโสตำบล ซึ่งพวกเขาขอให้เขาไม่อนุญาตให้ Archpriest Shlenev รับใช้ในโบสถ์ขอร้อง ดังนั้นเราจึงคืนวิหารของเราให้กับคริสตจักรรัสเซียในต่างประเทศ เรายังปกป้องสุสานรัสเซียได้ด้วย
เหตุการณ์อะไรเมื่อเร็วๆ นี้ในชีวิตของชุมชนรัสเซียออร์โธด็อกซ์ในปารากวัยที่คุณจำได้มากที่สุด?
แน่นอนว่าเป็นการเยือนภายใต้กรอบการเฉลิมฉลองครบรอบ 200 ปีอิสรภาพของปารากวัยโดยคณะผู้แทนของ Patriarchate แห่งมอสโกซึ่งนำโดย Metropolitan Hilarion แห่ง Volokolamsk Vladyka อยู่ที่นี่เพียงสามวัน - ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมถึง 3 กรกฎาคม ปีปัจจุบันแต่สามารถเข้าพบประธานาธิบดีเฟอร์นันโด ลูโก รองประธานาธิบดีเฟเดริโก ฟรังโก บรรยายที่มหาวิทยาลัยคาทอลิกแห่งอะซุนซิออง และเยี่ยมชมอัครสังฆมณฑลคาทอลิกแห่งเมืองหลวง ชุมชนของเราประทับใจอย่างมากกับบทสวดสำหรับผู้อพยพชาวรัสเซีย ซึ่ง Metropolitan Hilarion เฉลิมฉลองที่โบสถ์แห่งการขอร้อง และชาวปารากวัยจำพิธีสวดออร์โธดอกซ์เป็นหลักในอาสนวิหารอะซุนซิอองคาทอลิก นักข่าวเขียนข้อความต่อไปนี้อย่างแท้จริง: ปารากวัยไม่เคยเห็นการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์และสง่างามเช่นนี้มาก่อนและไม่น่าจะได้เห็นอีก
เกี่ยวกับนายพลผิวขาว I. Belyaev - ผู้บัญชาการที่ดีที่สุดของละตินอเมริกาแห่งศตวรรษที่ 20
ความจริงที่ว่าในสเปนกองทัพรีพับลิกันโดยการมีส่วนร่วมของที่ปรึกษาจากสหภาพโซเวียตพ่ายแพ้โดยกองกำลังของนายพลฟรังโกซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากพวกนาซีเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับทุกคน แต่น้อยคนที่ยังรู้ว่าในช่วงปีเดียวกันนั้นในอเมริกาใต้ กองทัพของปารากวัยซึ่งนำโดยเจ้าหน้าที่รัสเซียก็เอาชนะกองทัพโบลิเวียที่ใหญ่กว่าและดีกว่ามากได้อย่างสมบูรณ์ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลของไกเซอร์ เหล่านี้คืออดีตเจ้าหน้าที่ผิวขาวที่ต้องออกจากรัสเซียหลังจากสำเร็จการศึกษา สงครามกลางเมืองและในยุคโซเวียต ห้ามไม่ให้พูดถึงพวกเขา แล้วพวกเขาก็ลืมเกี่ยวกับการหาประโยชน์ของพวกเขา...
ปีนี้เป็นปีที่ 85 นับตั้งแต่เริ่มต้นสงครามครั้งนี้ ซึ่งเป็นสงครามนองเลือดที่สุดในอเมริกาใต้ ระหว่างโบลิเวียและปารากวัย ซึ่งเรียกว่าชากา ในบรรดาผู้บังคับบัญชากองทัพโบลิเวียมีเจ้าหน้าที่อพยพชาวเยอรมัน 120 นาย รวมทั้งผู้บัญชาการกองทัพโบลิเวีย นายพลไกเซอร์ ฮานส์ คุนด์ต์ ซึ่งต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่แนวหน้าของเรา และอดีตเจ้าหน้าที่ White Guard 80 นายรับราชการในกองทัพปารากวัย รวมทั้งสองคนด้วย อดีตนายพล- เจ้านาย พนักงานทั่วไปกองทัพปารากวัย Ivan Belyaev และ Nikolai Ern
การสู้รบร้ายแรงครั้งแรกที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัสเซียและเยอรมันคือการสู้รบเพื่อป้อมปราการ Boqueron ซึ่งถูกยึดโดยชาวโบลิเวีย ในฤดูใบไม้ร่วงปี พ.ศ. 2475 หลังจากการปิดล้อมเป็นเวลานาน ป้อมปราการก็พังทลายลง
Kundt ส่งกองกำลังของเขาเข้าโจมตีเมือง Nanava แต่ผู้นำทางทหารของรัสเซีย Belyaev และ Ern ได้ค้นพบยุทธวิธีของเขาและเอาชนะกองกำลังโบลิเวียที่รุกคืบเข้ามาอย่างสมบูรณ์หลังจากนั้นนายพลชาวเยอรมันก็ถูกไล่ออกด้วยความอับอาย
ในปีพ. ศ. 2477 ที่ยุทธการที่เอลคาร์เมนที่ปรึกษาชาวเยอรมันละทิ้งผู้ใต้บังคับบัญชาของตนไปสู่ความเมตตาแห่งโชคชะตาโดยหนีออกจากสนามรบ
...ฮีโร่ในอนาคตของอเมริกาใต้ Ivan Timofeevich Belyaev เกิดที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี พ.ศ. 2418 ในครอบครัวของทหารที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม หลังจากสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กแล้วเขาก็เข้าโรงเรียนปืนใหญ่มิคาอิลอฟสกี้ เมื่อเริ่มรับราชการในกองทัพ เขาก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วโดยแสดงความสามารถที่ยอดเยี่ยมในด้านวิทยาศาสตร์การทหาร ในปี 1906 เขาประสบกับเรื่องดราม่าส่วนตัว - ภรรยาสาวที่รักของเขาเสียชีวิต ในปีพ.ศ. 2456 Belyaev ได้ร่างกฎบัตรกลุ่มปืนใหญ่ภูเขา แบตเตอรี่ภูเขา และกลุ่มปืนใหญ่บนภูเขา ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นส่วนสนับสนุนที่สำคัญในการพัฒนากิจการทางทหารในรัสเซีย
เขาต่อสู้อย่างกล้าหาญในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและได้รับรางวัล Order of St. George เมื่อต้นปี พ.ศ. 2459 พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บสาหัสและทรงเข้ารับการรักษาที่ห้องพยาบาลของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ในเมืองซาร์สโค เซโล ในฐานะผู้บัญชาการกองปืนใหญ่หนักสนามที่ 13 แยกเขาเข้าร่วมในการพัฒนาบรูซิลอฟ ในปีพ.ศ. 2459 เขาได้เป็นพลตรีและผู้บังคับบัญชา กองทหารปืนใหญ่ที่ด้านหน้าคอเคเซียน ฉันไม่ยอมรับการปฏิวัติ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2460 ที่สถานี Pskov เพื่อตอบสนองความต้องการของนายทหารชั้นประทวนพร้อมหมวดทหารให้ถอดสายสะพายไหล่ Belyaev ตอบว่า: "ที่รัก! ฉันไม่เพียงแต่มีสายสะพายไหล่และลายทางเท่านั้น ฉันยังจะถอดกางเกงออกด้วยหากคุณหันหน้าเข้าหาศัตรูกับฉัน แต่ฉันไม่ได้และจะไม่ต่อสู้กับ “ศัตรูภายใน” ฉันไม่ได้ต่อสู้กับคนของตัวเอง ดังนั้นได้โปรดขอโทษด้วย!” เขาเข้าร่วมกับกองทัพสีขาวและจากนั้นก็ถูกบังคับให้ออกจากรัสเซียด้วย
ตอนแรกเขาไปอยู่ที่ค่ายในกัลลิโปลี จากนั้นในบัลแกเรีย แต่ทันใดนั้นเขาก็ออกจากยุโรปและพบว่าตัวเองอยู่ในปารากวัยที่ยากจนในขณะนั้น เขาไม่ได้ทำสิ่งนี้โดยบังเอิญ
แม้ในวัยเด็ก Belyaev พบแผนที่ของอะซุนซิอองซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศนี้ในห้องใต้หลังคาของบ้านปู่ทวดของเขาและตั้งแต่นั้นมารำพึงแห่งการเดินทางอันห่างไกลก็ดึงดูดเขาข้ามมหาสมุทรอย่างหลงใหล ในโรงเรียนนายร้อย เขาเริ่มเรียนภาษาสเปน ศีลธรรมและประเพณีของประชากรในประเทศนี้ และอ่านนวนิยายของ Mine Reid และ Fenimore Cooper
Belyaev ตัดสินใจสร้างอาณานิคมรัสเซียในประเทศนี้ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ตอบรับการเรียกของเขา ตัวเขาเองเมื่ออยู่ในปารากวัยพบว่ามีการใช้จุดแข็งและความรู้ทันที เขาได้รับคัดเลือกให้รับราชการที่โรงเรียนเตรียมทหารซึ่งเขาเริ่มสอนเรื่องป้อมปราการและ ภาษาฝรั่งเศส- ในปี 1924 เจ้าหน้าที่ได้ส่งเขาเข้าไปในป่า ไปยังภูมิภาค Chaco-Boreal ซึ่งไม่ค่อยมีผู้สำรวจ เพื่อค้นหา สถานที่ที่สะดวกสบายสำหรับการจอดกองทหาร ในการเดินทางครั้งนี้ Belyaev ทำตัวเหมือนนักชาติพันธุ์วิทยาตัวจริง เรียบเรียง คำอธิบายโดยละเอียดศึกษาชีวิตและวัฒนธรรมของชาวอินเดียนแดงในท้องถิ่น รวบรวมพจนานุกรมภาษาของพวกเขา และแม้กระทั่งแปลบทกวี "น้ำท่วมใหญ่" เป็นภาษารัสเซีย
ภายใต้ร่มธงของปารากวัย
การปะทุของสงครามระหว่างโบลิเวียและปารากวัยมักเกี่ยวข้องกับเหตุผลด้าน "ตราไปรษณียากร" ในช่วงต้นทศวรรษที่ 30 รัฐบาลปารากวัยได้ออกแสตมป์พร้อมแผนที่ของประเทศและ "ดินแดนที่ต่อเนื่องกัน" ซึ่งระบุว่าภูมิภาคชาโกที่เป็นข้อพิพาทเป็นดินแดนปารากวัย หลังจากการเคลื่อนไหวทางการทูตหลายครั้ง โบลิเวียก็เริ่มทำสงคราม ประเด็นแบบนี้ แสตมป์ – ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์- อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่แท้จริงของสงครามนั้นแตกต่างออกไป นั่นคือน้ำมันที่ถูกค้นพบในภูมิภาคนี้ ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นสงครามที่อันตรายที่สุดในอเมริกาใต้ในศตวรรษที่ 20 เกิดขึ้นระหว่างปี 1932 ถึง 1935 กองทัพโบลิเวียดังที่ได้กล่าวไปแล้วได้รับการฝึกฝนโดยชาวเยอรมัน - อดีตเจ้าหน้าที่ไกเซอร์ที่อพยพไปยังโบลิเวียเมื่อเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ครั้งหนึ่ง เอิร์นส์ เรห์ม เครื่องบินโจมตีหลักของฮิตเลอร์ ได้มาเยี่ยมที่นั่นในฐานะที่ปรึกษาด้วย ทหารกองทัพโบลิเวียสวมเครื่องแบบไกเซอร์และได้รับการฝึกตามมาตรฐานทางทหารของปรัสเซียน มีกองทัพพร้อมอุปกรณ์มากที่สุด อาวุธสมัยใหม่รวมทั้งรถหุ้มเกราะ รถถัง และในจำนวนนี้ถือว่าเหนือกว่ากองทัพปารากวัยมาก หลังจากประกาศสงคราม Kundt สัญญาอย่างอวดดีว่าจะ "กลืนกินรัสเซียอย่างรวดเร็ว" - ชาวเยอรมันรู้ว่าพวกเขาจะต้องต่อสู้กับใคร
แทบไม่มีใครสงสัยถึงความพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วของกองทัพปารากวัยที่ติดอาวุธไม่ดีและแย่ยิ่งกว่านั้นอีก รัฐบาลปารากวัยทำได้เพียงหวังความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ผู้อพยพชาวรัสเซียเท่านั้น
Belyaev กลายเป็นผู้ตรวจราชการปืนใหญ่และในไม่ช้าเขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าเสนาธิการทหารบก เขาขอร้องเจ้าหน้าที่รัสเซียที่พบว่าตัวเองอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดเพื่อมาที่ปารากวัย และการโทรนี้ก็ได้รับคำตอบ เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นอดีต White Guards พันเอก Nikolai และ Sergei Ern สร้างขึ้น ป้อมปราการมากเสียจนคนแรกก็กลายเป็นนายพลชาวปารากวัยในไม่ช้า พันตรีนิโคไล คอร์ซาคอฟ ขณะฝึกกองทหารม้าของเขาในด้านกิจการทหาร ได้แปลเพลงของทหารม้ารัสเซียเป็นภาษาสเปนให้เขา กัปตันยูริ Butlerov (ทายาทของนักเคมีที่โดดเด่นนักวิชาการ A.M. Butlerov) เอก Nikolai Chirkov และ Nikolai Zimovsky กัปตันอันดับ 1 Vsevolod Kanonnikov กัปตัน Sergei Salazkin Georgy Shirkin บารอน Konstantin Ungern von Sternberg, Nikolai Goldshmit และ Leonid Lesh ร้อยโท Vasily Malyutin , Boris Ern, พี่น้อง Orangereev และอีกหลายคนกลายเป็นวีรบุรุษแห่งสงครามใน Chaco
เจ้าหน้าที่รัสเซียได้สร้างกองทัพประจำที่ทรงพลังขึ้นมาตั้งแต่ต้นอย่างแท้จริง ในทุกแง่มุมคำนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านปืนใหญ่ นักทำแผนที่ สัตวแพทย์ และผู้สอนเกี่ยวกับอาวุธทุกประเภท
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เหมือนกับที่ปรึกษาทางทหารของเยอรมันและเช็ก เช่นเดียวกับทหารรับจ้างชิลีในกองทัพโบลิเวีย รัสเซียต่อสู้ไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เพื่อความเป็นอิสระของประเทศที่พวกเขาต้องการและมองว่าเป็นบ้านเกิดที่สองของพวกเขา
การฝึกอบรมที่ยอดเยี่ยมของเจ้าหน้าที่รัสเซียบวกกับประสบการณ์การต่อสู้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามกลางเมืองให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม
การต่อสู้เกิดขึ้นใน Chaco ทางตอนเหนือ ซึ่งเป็นทะเลทรายที่มีแสงแดดแผดเผา หลังจากมากมาย ฝนตกฤดูหนาวเธอกำลังกลายเป็น หนองน้ำที่ไม่สามารถผ่านได้ที่ซึ่งโรคมาลาเรียและไข้เขตร้อนแพร่ระบาดอยู่มากมาย แมงมุมพิษและงู Comandante Belyaev นำกองทหารอย่างชำนาญ ส่วนเจ้าหน้าที่รัสเซียและอาสาสมัครชาวรัสเซียที่มาจากประเทศอื่นซึ่งเป็นแกนหลักของกองทัพปารากวัยก็ต่อสู้อย่างกล้าหาญ ชาวโบลิเวียนำโดยชาวเยอรมันได้รับความสูญเสียมหาศาลจากการโจมตีทางด้านหน้า (ในสัปดาห์แรกของการต่อสู้เพียงลำพังพวกเขาสูญเสียผู้คนไป 2,000 คนและกองทัพปารากวัย - 249) ทหารแนวหน้าของรัสเซีย พี่น้อง Orangereev ฝึกฝนทหารปารากวัยให้เผารถถังศัตรูจากที่พักอาศัยได้สำเร็จ ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2476 ที่ยุทธการกัมโปเวีย ชาวปารากวัยได้ล้อมกองกำลังโบลิเวียสองฝ่าย จับกุมหรือสังหารผู้คนได้นับหมื่นคน ใน ปีหน้าการต่อสู้ที่เอล คาร์เมนก็จบลงด้วยผลสำเร็จเช่นกัน มันเป็นหายนะที่สมบูรณ์
ทหารปารากวัยเท้าเปล่ารีบเคลื่อนตัวไปทางตะวันตกอย่างรวดเร็ว โดยร้องเพลงของทหารรัสเซีย ซึ่งแปลโดย Belyaev เป็นภาษาสเปนและภาษากวารานี การรุกปารากวัยยุติลงในปี พ.ศ. 2478 เท่านั้น เมื่อเข้าใกล้ที่ราบสูงโบลิเวีย กองทัพถูกบังคับให้หยุดเนื่องจากเส้นทางการสื่อสารที่ทอดยาว โบลิเวียหมดแรงจนไม่สามารถทำสงครามต่อไปได้อีกต่อไป เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2478 มีการลงนามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างโบลิเวียและปารากวัยซึ่งยุติสงครามชากา กองทัพโบลิเวียเกือบทั้งหมด - 300,000 คน - ถูกจับ
ในปารากวัย ฝูงชนที่กระตือรือร้นอุ้มผู้ชนะไว้ในอ้อมแขนของพวกเขา และ D. Zuk นักประวัติศาสตร์การทหารชาวอเมริกัน เรียกนายพลชาวรัสเซีย Ivan Belyaev มากที่สุด ผู้บัญชาการที่โดดเด่นละตินอเมริกาของศตวรรษที่ยี่สิบ
เขาตั้งข้อสังเกตว่าคำสั่งของปารากวัยสามารถใช้บทเรียนของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและคาดการณ์ประสบการณ์ของสงครามโลกครั้งที่สองโดยใช้ยุทธวิธีที่มีสมาธิอย่างมาก การยิงปืนใหญ่และการใช้อุบายอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันรายนี้เน้นย้ำถึงความกล้าหาญและความอดทนของทหารปารากวัย โดยสรุปว่านี่เป็นคำสั่งของกองทหารที่นำโดยเจ้าหน้าที่รัสเซียที่เป็นผู้ตัดสินผลของสงคราม
วีรบุรุษรัสเซียแห่งปารากวัย
เจ้าหน้าที่ผู้อพยพผิวขาวชาวรัสเซีย 6 นายถูกสังหารในสงครามชัก ในอาซุนซิออนถนนต่างๆ ได้รับการตั้งชื่อตามแต่ละถนน - กัปตัน Orefyev-Serebryakov, กัปตัน Boris Kasyanov, กัปตัน Nikolai Goldshmidt, hussar Viktor Kornilovich, กัปตัน Sergei Salazkin และ Cossack cornet Vasily Malyutin Stepan Leontyevich Vysokolyan กลายเป็นวีรบุรุษของปารากวัย ในระหว่างการสู้รบใน Chaco เขาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อสิ้นสุดสงครามเขาได้เป็นเสนาธิการของหนึ่งในดิวิชั่นปารากวัยแล้วและเป็นหัวหน้าปืนใหญ่ของปารากวัยทั้งหมดในที่สุดก็กลายเป็นชาวต่างชาติคนแรกในประวัติศาสตร์ของ ประเทศที่จะได้รับยศนายพล
Stepan Leontyevich เกิดในครอบครัวชาวนาที่เรียบง่ายในหมู่บ้าน Nalivaiko ใกล้กับ Kamenets-Podolsk เขาสำเร็จการศึกษาหลักสูตรเร่งรัดที่โรงเรียนทหารวิลนา และเมื่ออายุได้ 19 ปี ได้อาสาเข้าร่วมแนวรบของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้รับบาดเจ็บห้าครั้ง และในปี พ.ศ. 2459 เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าหน้าที่ ในช่วงสงครามกลางเมืองเขาต่อสู้ในกองทัพขาว ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2463 ร่วมกับกองทัพที่เหลือของนายพล Wrangel เขามาถึง Gallipoli ในปี 1921 เขาเดินจาก Gallipoli ไปยัง Riga ซึ่งครอบคลุมระยะทางเกือบสามพันกิโลเมตร จากนั้นเขาก็ย้ายไปปรากซึ่งในปี พ.ศ. 2471 เขาสำเร็จการศึกษาจากคณะฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยในท้องถิ่นด้วยตำแหน่งวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตสาขาคณิตศาสตร์ขั้นสูงและ ฟิสิกส์ทดลอง- ในปี 1933 เขาสำเร็จการศึกษาจาก Czech Military Academy ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2476 เขามาถึงปารากวัยและได้รับการยอมรับให้เข้าร่วมกองทัพปารากวัยด้วยยศร้อยเอก
หลังจากมีความโดดเด่นในด้านการทหาร Vysokolyan ตลอดชีวิตของเขาในปารากวัยได้ดำรงตำแหน่งภาควิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ คณิตศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยในท้องถิ่น นอกจากนี้ เขายังเคยเป็นศาสตราจารย์ที่ Higher Military Academy, Higher Naval Academy และ Cadet Corps ในปีพ.ศ. 2479 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็น "พลเมืองกิตติมศักดิ์" ของสาธารณรัฐปารากวัย และได้รับรางวัลเหรียญทองจากสถาบันการทหาร
นอกจากนี้ Vysokolyan ยังมีชื่อเสียงไปทั่วโลกจากการแก้ทฤษฎีบทของแฟร์มาต์ ซึ่งผู้ทรงคุณวุฒิมากมายในโลกคณิตศาสตร์ต้องดิ้นรนต่อสู้อย่างไม่ประสบผลสำเร็จมานานกว่าสามศตวรรษ วีรบุรุษชาวรัสเซียเสียชีวิตในเมืองอะซุนซิอองในปี 2529 เมื่ออายุ 91 ปี และถูกฝังอย่างสมเกียรติทางทหารที่สุสานรัสเซียตอนใต้
ในโอกาสนี้มีการประกาศไว้อาลัยระดับชาติในประเทศ
นายพลชาวรัสเซียอีกคนที่ต่อสู้ในกองทัพปารากวัย Nikolai Frantsevich Ern สำเร็จการศึกษาจาก Nikolaev General Staff Academy อันทรงเกียรติในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเขาเป็นเสนาธิการที่ 66 กองทหารราบและจากนั้น - หัวหน้าเจ้าหน้าที่ของกองคอซแซคคอเคเซียนที่ 1 ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2458 ได้มีการจัดตั้งกองกำลังสำรวจเพื่อส่งไปยังเปอร์เซีย เสนาธิการของเขาคือพันเอกเอิร์น จากนั้นเขาก็กลายเป็นผู้มีส่วนร่วมในสงครามกลางเมืองโดยอยู่เคียงข้างคนผิวขาว เขายังคงอยู่ในรัสเซียจนถึงนาทีสุดท้ายและทิ้งมันไว้กับเรือกลไฟลำสุดท้ายซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของนายพล Wrangel
หลังจากการทดสอบอย่างหนัก Nikolai Frantsevich ก็ไปอยู่ที่บราซิล ซึ่งเขาได้รับเชิญจากกลุ่มเจ้าหน้าที่ผิวขาวที่ทำงานบนที่ดินเพื่อปลูกข้าวโพด น่าเสียดายสำหรับพวกเขา ตั๊กแตนโฉบเข้ามากินพืชผลทั้งหมด แต่เอิร์นโชคดีที่ได้รับคำเชิญจากปารากวัยให้มาสอน โรงเรียนทหารยุทธวิธีและการเสริมกำลัง ตั้งแต่ปี 1924 เอิร์นอาศัยอยู่ในปารากวัย โดยดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ที่ Military Academy และเมื่อสงครามระหว่างปารากวัยและโบลิเวียเริ่มต้นขึ้น เขาก็เดินไปที่แนวหน้า ฉันผ่านสงครามทั้งหมดมาโดยสร้างป้อมปราการทางทหาร หลังสงคราม เขายังคงรับราชการทหารและทำงานเป็นเสนาธิการทหารจนบั้นปลายชีวิต โดยได้รับเงินเดือนนายพล ด้วยความพยายามของเขาจึงมีการสร้างโบสถ์รัสเซีย ก่อตั้งห้องสมุดรัสเซียและการศึกษา สังคมรัสเซีย"ยูเนี่ยนรูซา"
“พ่อขาว”
แต่วีรบุรุษประจำชาติรัสเซียคนสำคัญของปารากวัยคือนายพล Belyaev ซึ่งสร้างความโดดเด่นให้กับตัวเองไม่เพียง แต่ในสนามรบเท่านั้น หลังสงคราม เขาได้พยายามสร้างอาณานิคมรัสเซียที่ประสบความสำเร็จในปารากวัยอีกครั้ง “ เผด็จการ, ออร์โธดอกซ์, สัญชาติ” - นี่คือวิธีที่นายพล Belyaev เข้าใจแก่นแท้ของ "จิตวิญญาณรัสเซีย" ซึ่งเขาต้องการอนุรักษ์ไว้ในเรือที่เขากำลังสร้างในป่าของอเมริกาใต้ อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แผนการของเขาทางการเมืองและเชิงพาณิชย์เริ่มต้นขึ้นซึ่งในทางกลับกัน Belyaev ก็ไม่เห็นด้วย นอกจากนี้ ปารากวัยซึ่งเหนื่อยล้าจากสงคราม ไม่สามารถปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาในการสนับสนุนทางการเงินและเศรษฐกิจสำหรับการอพยพของรัสเซียและการสร้างอาณานิคมได้
จากเนื้อหาใน Wikipedia ตามมาว่าหลังจากออกจากการรับราชการทหารแล้ว ชาวเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กได้อุทิศชีวิตที่เหลือให้กับชาวอินเดียนแดงปารากวัย Belyaev เป็นหัวหน้าหน่วยงานอุปถัมภ์แห่งชาติสำหรับกิจการอินเดียนและจัดตั้งคณะละครอินเดียชุดแรก
นายพลที่เกษียณอายุแล้วอาศัยอยู่กับชาวอินเดียในกระท่อมเรียบง่าย รับประทานอาหารร่วมกับพวกเขาที่โต๊ะเดียวกัน และยังสอนคำอธิษฐานภาษารัสเซียให้พวกเขาอีกด้วย ชาวอะบอริจินจ่ายเงินให้เขาด้วยความรักและความกตัญญูอย่างแรงกล้า และปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็น “พ่อผิวขาว”
ในฐานะนักภาษาศาสตร์ เขารวบรวมพจนานุกรมภาษาสเปน-มากาและสเปน-ชามาโคโค และยังเตรียมรายงานเกี่ยวกับภาษาของชนเผ่ามากาด้วย โดยที่ Belyaev ระบุรากศัพท์ภาษาสันสกฤตของทั้งภาษาอินเดียและติดตามการขึ้นสู่อินโดทั่วไป พื้นฐานยุโรป เขามีทฤษฎีเกี่ยวกับบ้านบรรพบุรุษของชาวเอเชียที่เป็นชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกา ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยบันทึกคติชนของชาวอินเดียนแดงมาคาห์และชามาโกโค ซึ่งรวบรวมโดยนักวิจัยระหว่างการเดินทางไปยังชาโค
Belyaev อุทิศผลงานจำนวนหนึ่งให้กับศาสนาของชาวอินเดียนแดงในภูมิภาค Chaco ในนั้น เขากล่าวถึงความคล้ายคลึงกันของความเชื่อของอินเดียกับเรื่องราวในพันธสัญญาเดิม ความลึกซึ้งของความรู้สึกทางศาสนา และธรรมชาติที่เป็นสากลของรากฐานของศีลธรรมของคริสเตียน Belyaev พัฒนาแนวทางที่เป็นนวัตกรรมในประเด็นการแนะนำชาวอินเดียให้รู้จัก อารยธรรมสมัยใหม่ปกป้องหลักการของการเพิ่มคุณค่าวัฒนธรรมของโลกเก่าและโลกใหม่ร่วมกัน - นานก่อนที่แนวคิดนี้จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในละตินอเมริกา
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2481 การแสดงครั้งแรกของโรงละครอินเดียแห่งแรกในประวัติศาสตร์อเมริกาเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของชาวอินเดียในสงครามชากาถูกขายหมดที่โรงละครแห่งชาติอาซุนซิออง หลังจากนั้นไม่นาน คณะ 40 คนภายใต้การนำของ Belyaev ก็ออกทัวร์ที่บัวโนสไอเรสซึ่ง ความสำเร็จดังก้อง- ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2486 ในที่สุด Belyaev ก็ได้รับการริเริ่มเพื่อสร้างอาณานิคมของอินเดียแห่งแรก และผู้สร้างในปี พ.ศ. 2484 ได้รับรางวัลเป็นผู้บริหารทั่วไปของอาณานิคมอินเดีย มุมมองของ Belyaev ระบุไว้ใน "ปฏิญญาสิทธิของชาวอินเดียนแดง" หลังจากศึกษาชีวิตของชนพื้นเมืองของ Chaco แล้ว Belyaev พิจารณาว่าจำเป็นต้องมอบหมายที่ดินของบรรพบุรุษให้พวกเขาอย่างถูกกฎหมาย ในความเห็นของเขา ชาวอินเดียโดยธรรมชาติแล้ว "เป็นอิสระเหมือนสายลม" ไม่ทำอะไรภายใต้การบังคับ และจะต้องเป็นตัวขับเคลื่อนความก้าวหน้าของตนเอง เพื่อจุดประสงค์เหล่านี้เขาเสนอให้ชาวอินเดียมีอิสระอย่างสมบูรณ์และพร้อมกับการกำจัดการไม่รู้หนังสือเพื่อค่อยๆแนะนำพื้นฐานเข้าสู่จิตสำนึกของผู้อยู่อาศัย ชีวิตทางวัฒนธรรมค่านิยมประชาธิปไตย ฯลฯ ในเวลาเดียวกัน นายพลรัสเซียเตือนถึงสิ่งล่อใจที่จะทำลายวิถีชีวิตของชาวอินเดียนแดงที่พัฒนามานานหลายศตวรรษ - วัฒนธรรม วิถีชีวิต ภาษา ศาสนาของพวกเขา ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ได้รับการอนุรักษ์และเคารพในความทรงจำของ บรรพบุรุษของพวกเขามีลักษณะเฉพาะของชาวอินเดียนแดง มีแต่จะผลักดันพวกเขาให้ห่างไกลจาก "วัฒนธรรมของคนผิวขาว"
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Belyaev ในฐานะผู้รักชาติชาวรัสเซีย ได้สนับสนุนสหภาพโซเวียตในการต่อสู้กับลัทธิฟาสซิสต์ เขาต่อต้านผู้อพยพที่มองว่าเยอรมนีเป็น "ผู้กอบกู้รัสเซียจากลัทธิบอลเชวิส" อย่างแข็งขัน ในบันทึกความทรงจำของเขา นายพลเกษียณอายุเรียกพวกเขาว่า "คนโง่และคนหลอกลวง"
Belyaev เสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2500 ในเมืองอะซุนซิออง โดยเฉพาะรายละเอียดของงานศพมีระบุไว้ในหนังสือของ S.Yu. Nechaev "รัสเซียในละตินอเมริกา" ในปารากวัย มีการประกาศไว้ทุกข์เป็นเวลาสามวัน ร่างผู้เสียชีวิตถูกฝังไว้ในห้องโถงเสาเสนาธิการทหารบกโดยได้รับเกียรติทางทหารเป็น วีรบุรุษของชาติ- เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่โลงศพแทนกัน ในระหว่างขบวนแห่ศพ ฝูงชนชาวอินเดียเดินตามศพไปจนทำให้ถนนในเมืองอะซุนซิอองติดขัด ประธานาธิบดีเอ. สโตรสเนอร์เองก็ยืนอยู่ในกองเกียรติยศที่โลงศพ วงออเคสตราปารากวัยเล่นเพลง "Farewell of the Slavic Woman" และชาวอินเดียร้องเพลง "พ่อของเรา" ในการร้องประสานเสียงในการแปลผู้ตาย... เมืองหลวงของปารากวัยมี ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนหรือหลังเหตุการณ์ที่น่าเศร้านี้ และเมื่อโลงศพพร้อมร่างของ Belyaev ถูกนำขึ้นเรือรบไปยังเกาะกลางแม่น้ำปารากวัยซึ่งเขาได้เลือกไว้ในพินัยกรรมเป็นสถานที่พำนักแห่งสุดท้ายของเขา พวกอินเดียนแดงก็กำจัดคนผิวขาว ในกระท่อมที่ผู้นำสอนเด็กๆ พวกเขาร้องเพลงงานศพเหนือเขาเป็นเวลานาน หลังจากงานศพ พวกเขาสานกระท่อมไว้เหนือหลุมศพและปลูกพุ่มกุหลาบรอบๆ หลุมศพ บนพื้นที่สี่เหลี่ยมเรียบง่ายพวกเขาวางจารึกง่ายๆ: "ที่นี่ Belyaev อยู่"
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ "ศตวรรษ"