ครอบครัวที่มีอิทธิพลของโลก ระเบียบโลกใหม่
ทุกคนรู้ดีว่าประวัติศาสตร์ถูกสร้างขึ้นโดยผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในยุคนั้น และบ่อยครั้งโดยทั้งครอบครัว ทุกรุ่นที่เติบโตมา ประเพณีที่ดีที่สุดของกลุ่มดังกล่าวจะช่วยเพิ่มโชคลาภของครอบครัวและเพิ่มอิทธิพลของพวกเขาไม่เพียงแต่ในภาคเศรษฐกิจที่แยกจากกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทั่วทั้งรัฐด้วย ในมือของพวกเขาคืออำนาจเหนือกฎหมาย การเมือง และ ระบบการเงินซึ่งเปิดโอกาสให้พวกเขาได้กำหนดการพัฒนาของประเทศต่างๆ และมวลมนุษยชาติทั้งหมดในทศวรรษต่อๆ ไป
เป็นเวลาหลายพันปีที่ราชวงศ์ต่างๆ ปฏิบัติตามบทบาทนี้โดยใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษของพวกเขา ด้วยจุดเริ่มต้น การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, บุกเข้าไป" ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกผู้คนจากบรรดาผู้ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสเช่นนี้ก็สามารถทำเช่นนี้ได้ พวกเขาพัฒนาโครงการของพวกเขา ส่งต่อโดยการสืบทอด ดังนั้นจึงสร้างครอบครัวของผู้ประกอบการทั้งหมด
อันดับที่ 5 - ครอบครัววอลตัน - โชคลาภ 100 พันล้านดอลลาร์
ครอบครัววอลตัน
ทายาทของหนึ่งในผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 20: Stefan, Jim, Christy และ Alice Walton ก่อตั้งกลุ่มคนรวยอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 5 ในการจัดอันดับของเรา ของพวกเขา สภาพทั่วไปประมาณเกือบ 100 พันล้านดอลลาร์
ญาติๆ เป็นเจ้าของเครือข่ายซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดอย่าง Wal-Mart โดยมีรายได้ต่อปีมากกว่า 400 พันล้านดอลลาร์ (2010)
ผู้ก่อตั้ง Wal-Mart (ตลาด Walton) - Sam Walton เกิดในปี 1918 ในครอบครัวเกษตรกรรมที่เรียบง่าย ตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุ พรสวรรค์ในการเป็นผู้ประกอบการของเขาได้รับอิทธิพลจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ของอเมริกาซึ่งเขาได้เห็น การลดลงของจำนวนประชากรโดยทั่วไปทำให้แซมต้องมองหาวิธีพัฒนา เด็กชายเริ่มมีส่วนร่วมในธุรกิจของพ่อตั้งแต่อายุ 7 ขวบ โดยช่วยขายผลิตภัณฑ์จากนม หลังจากเก็บเงินได้พอสมควรแล้ว เขาก็เริ่มเลี้ยงนกและกระต่ายเพื่อขายด้วยตัวเอง “เขารู้วิธีหาเงินจากอากาศ” เพื่อนในโรงเรียนพูดถึงเขา
Sam Walton ใช้เวลา 34 ปีในการสร้างพันล้านแรกของเขา ก่อนหน้านั้นเขาได้จัดโครงการหลายโครงการที่ไม่ได้ทำให้เขามีชื่อเสียงเช่นนี้ แต่ให้โอกาสเขาได้สะสมประสบการณ์อันล้ำค่าในการเป็นผู้ประกอบการ หลังจากมอบมรดกให้กับบริษัท Wal-Mart ให้กับลูกทั้ง 4 คนของเขาหลังจากการตาย เขาไม่พลาดในการเลือกทายาท พวกเขาสานต่องานของพ่ออย่างกระตือรือร้นและยกระดับขึ้นไปอีกระดับ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันทายาทของสามีของเธอที่มีทรัพย์สินหลายพันล้านของวอลตันเป็นผู้หญิงในโลกที่มีโชคลาภยี่สิบแปดพันล้านและเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของเครือข่ายของเขา
อันดับที่ 4 - ครอบครัว Oppenheimer - 200 พันล้านดอลลาร์
Harry Frederick Oppenheimer - เจ้าของทรัพย์สินคนปัจจุบันและหัวหน้าครอบครัว
ครอบครัวนี้ครองส่วนแบ่งตลาดเพชรทั่วโลกอย่างล้นหลาม
เออร์เนสต์ ออพเพนไฮเมอร์(เกิดปี 1880) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองของเยอรมนี กลายเป็นหัวหน้าของบริษัทเหมืองแร่เพชร De Beers ในแอฟริกาใต้ในปี 1920 ที่นั่นภายใต้การนำของเขา แองโกลอเมริกันซึ่งเป็นบริษัทขุดทองที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้นได้ถือกำเนิดขึ้น ออพเพนไฮเมอร์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้นและตัดสินใจที่จะปราบเหยื่อไม่เพียงเท่านั้น โลหะมีค่าและเพชรแต่ก็เพื่อควบคุมการขายด้วย ในไม่ช้า โลกก็เห็น Central Selling Organisation (CSO) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "Syndicate" ซึ่งครองส่วนแบ่งการขายเพชรมากกว่า 90% ของโลก
ดังนั้น De Beers จึงสกัดวัตถุดิบและขนส่งไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยที่ CSO เข้ามาทำงาน คัดแยกและปล่อยผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปออกสู่ตลาด
หลังจากบิดาของเขาเสียชีวิต แฮร์รี่ เฟรเดอริก ออพเพนไฮเมอร์ ลูกชายของเขาได้รับมรดกสืบทอดตำแหน่งสมาคมและตำแหน่งประธานาธิบดีของเดอ เบียร์ส
มันเป็นเพียงในปี 2011 เท่านั้นที่ครอบครัวนี้ออกจากธุรกิจเพชร โดยขายหุ้นใน De Beers ในราคามากกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ตอนนี้พวกเขาสนใจทรงกลมมากขึ้น เทคโนโลยีชั้นสูงและนวัตกรรม ล่าสุด Oppenheimers ซื้อหุ้น 10% ใน Yandex เกี่ยวกับ แผนการในอนาคตไม่มีการรายงานตัวแทนกลุ่ม
อันดับที่ 3 - ครอบครัว Rockefeller - รายได้ต่อปี - 1 ล้านล้านดอลลาร์
ครอบครัวขยายของจอห์น รอกกีเฟลเลอร์
เป็นเวลากว่าศตวรรษที่ผู้คนทั่วโลกเชื่อมโยงชื่อร็อคกี้เฟลเลอร์กับความมั่งคั่งและความหรูหราอันตระการตา ประวัติความเป็นมาของครอบครัวนี้ย้อนกลับไปในวัยสี่สิบอันห่างไกลของศตวรรษที่ 19 ตอนที่เขาเกิด จอห์น ร็อคกี้เฟลเลอร์- ตั้งแต่วัยเด็กของเขา คุณสมบัติที่โดดเด่นฉันมีความสามารถในการคำนวณการกระทำของฉันล่วงหน้าไปหลายก้าวในคราวเดียว
หลังจากได้งานเป็นผู้ช่วยในสำนักงานบัญชีเมื่ออายุ 16 ปี เขาซึมซับทักษะทางธุรกิจ ความดื้อรั้น และความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อมีการค้นพบแหล่งน้ำมันในเมืองของเขา เศรษฐีในอนาคตก็ลงทุนด้วย ทองดำเงินออมทั้งหมดของคุณ เพิ่มเงินกู้จำนวนมากให้กับพวกเขา
เขามั่นใจว่าอนาคตจะอยู่ในโครงการระยะยาวไม่เหมือนกับนักธุรกิจคนอื่นๆ ในยุคนั้น หากธุรกิจไม่ทำกำไรในตอนนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำให้เจ้าของร่ำรวยขึ้นในอนาคต เมื่อเขาเริ่มต้นการเดินทางสู่โลกของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมกับบริษัท Standard Oil เป็นครั้งแรก หลายคนรู้สึกวิตกกังวลเมื่อได้ทราบแนวคิดของเขา แต่มหาเศรษฐีในอนาคต (และเป็นคนแรกของโลก) มองเห็นความสำเร็จขององค์กรอย่างชัดเจนในอนาคตอันใกล้นี้ ในไม่ช้า (ในปี พ.ศ. 2422) บริษัท ร็อคกี้เฟลเลอร์ได้ควบคุมตลาดน้ำมันในอเมริกาถึงร้อยละ 90 โดยกำหนดกฎเกณฑ์พฤติกรรมในภาคเศรษฐกิจนี้
และต้องขอบคุณการอนุรักษ์ ประเพณีของครอบครัวลูกหลานของ Rockefeller สามารถเพิ่มโชคลาภของครอบครัวได้หลายเท่าและรักษาไว้ในอันดับที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้อย่างน่าเชื่อถือ
ปัจจุบัน กลุ่มนี้เป็นเจ้าของบริษัทอเมริกันมากกว่า 40 แห่ง โดยมีรายได้รวมต่อปีประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ (เกือบ 10% ของ GDP สหรัฐ)
บางที ถ้า Mavrodi ไม่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคของเราและไม่ได้อยู่ในประเทศของเรา วันนี้เราคงเห็นชื่อครอบครัวของเขาอยู่ในรายชื่อ แต่สำหรับตอนนี้เราสามารถอ่านได้เพียงเรื่องราวความสำเร็จและความล้มเหลวเท่านั้น
อันดับที่ 2 - ครอบครัวมอร์แกน - รายได้ต่อปี - 1.5 ล้านล้านดอลลาร์
จอห์น เพียร์พอนต์ มอร์แกน
หนึ่งในที่ใหญ่ที่สุด ราชวงศ์ทางการเงินสหรัฐฯ ควบคุมประมาณ 20% ของ GDP ของสหรัฐฯ ซึ่งผลิตสินค้าและบริการมูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ พวกเขาเป็นเจ้าของบริษัทในอเมริกาประมาณร้อยแห่ง รวมถึงบริษัท General Electric และ General Motors ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าและยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ กิจกรรมอย่างหลังไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการผลิตรถยนต์และเครื่องยนต์สำหรับพวกเขาเพียงอย่างเดียว เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เครื่องยนต์จรวด และรถถัง ได้รับการจัดจำหน่ายจากโรงงานทั่วโลก
บรรพบุรุษของตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกคือ จอห์น เพียร์พอนต์ มอร์แกนมีความสามารถ นักธุรกิจชาวอเมริกันผู้สร้างอาณาจักรทางการเงินแห่งแรกในสหรัฐอเมริกา
เขาก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ทางอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่ง ได้แก่:
- “เวสเทิร์นยูเนี่ยน”
- โทรศัพท์และโทรเลขอเมริกัน
- "เจเนอรัลอิเล็คทริค"
- บริษัท ยูเอสเอ สตีล คอร์ปอเรชั่น เป็นต้น
ไม่ใช่เพื่ออะไรเลยที่ผู้ร่วมสมัยของเขาได้รับฉายาว่า John Morgan Jupiter - เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ปกครองผู้ยิ่งใหญ่แห่งสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาทำงานด้วยความทุ่มเทอย่างไม่น่าเชื่อ และสามารถส่งต่อไปยังทายาทของเขา ซึ่งยังคงสานต่องานของหนึ่งในผู้ประกอบการที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์
อันดับที่ 1 - ตระกูล Rothschild - โชคลาภจาก 350 พันล้านถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์
ตระกูล Rothschild ถือเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ตาม แหล่งที่มาอย่างเป็นทางการความมั่งคั่งรวมของราชวงศ์เกินกว่า 350 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากแหล่งอื่นพบว่าเกิน 2.5 ล้านล้าน
แต่ไม่เพียงเท่านั้น โชคลาภที่ยอดเยี่ยม Rothschilds ถูกบังคับให้ใส่ใจพวกเขา นอกจากนี้ยังกระตุ้นจินตนาการว่าในเวลาเพียงห้าสิบปีพวกเขาซึ่งเป็นผู้อพยพชาวยิวได้กลายมาเป็นขุนนางและบารอนที่มีอิทธิพลมากที่สุดซึ่งมีอำนาจทั้งโลก ผู้ก่อตั้งราชวงศ์คือ อัมเชล เมเยอร์ รอธไชลด์ประสูติเมื่อปี พ.ศ. 2287 เมื่ออายุ 16 ปี โดยทำงานที่ธนาคารของออพเพนไฮเมอร์มาเป็นเวลา 4 ปี เขาเชี่ยวชาญเรื่องความซับซ้อนของการเงิน เก็บเงิน และเปิดร้านขายของเก่าของตัวเอง ในนั้นเป็นไปได้ที่จะแลกเปลี่ยนเหรียญของอาณาเขตบางส่วนของเยอรมนีให้กับผู้อื่น ต่อมาร้านได้เติบโตขึ้นเป็นธนาคาร Rothschild แห่งแรก
หลายปีผ่านไป และเมื่อลูกชายทั้ง 5 คนของ Amschel เติบโตขึ้น เขาก็ส่งพวกเขาไปยังเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อขยายกิจการของครอบครัวต่อไป สิ่งนี้ทำให้สามารถแพร่กระจายอิทธิพลของครอบครัวได้ไม่เพียงแต่ไปไกลกว่าเยอรมนีเท่านั้น แต่ยังไปทั่วยุโรปด้วย Rothschild Bank มีความโดดเด่นจากสิ่งที่ได้รับ ตำแหน่งผู้นำเฉพาะสมาชิกในครอบครัวเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ในไม่ช้าสถาบันปิดแห่งนี้ก็สามารถออกเงินกู้ได้ไม่เฉพาะกับบุคคลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรัฐทั้งหมดด้วย
ดังนั้นในปี พ.ศ. 2361 ปรัสเซียได้รับเงินกู้ 5 ล้านปอนด์จาก Rothschilds และหลังจากนั้นไม่นานสาขาของธนาคารในลอนดอนก็จัดสรรเงินก้อนให้กับธนาคารแห่งชาติแห่งอังกฤษ และในโลกใหม่อิทธิพลของ Rothschilds นั้นยากที่จะประเมินค่าสูงไป พวกเขาเป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มการสร้างระบบธนาคารกลางสหรัฐ และหลังจากการสร้างแล้ว พวกเขาก็สามารถควบคุมปริมาณดอลลาร์ที่ออกได้ ความชำนาญและไหวพริบอันเหลือเชื่อซึ่งตัวแทนของครอบครัวนี้สามารถสะสมความมั่งคั่งและได้รับอิทธิพลอย่างไม่ จำกัด ในประเทศต่าง ๆ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญและคนธรรมดาประหลาดใจจนถึงทุกวันนี้
แม้ว่าความมั่งคั่งรวมของกลุ่มจะอยู่ที่ประมาณ 350 พันล้านดอลลาร์ (ตามแหล่งข้อมูลอื่นสูงถึง 2.5 ล้านล้าน) แต่ไม่มี Rothschilds คนใดที่มีทุนมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์
แต่แม้แต่ David Rockefeller และ David de Rothschild ก็ไม่ถือว่าเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกของเรา และถ้าคุณคิดว่า “นั่นคือบิล เกตส์!” คุณคิดผิด ลองค้นหาดูว่าใครเป็นเจ้าของมัน จำนวนที่ใหญ่ที่สุดเงิน.
ระเบียบโลกใหม่ หรือเผ่าพันธุ์ใดที่ครองโลก?
ส่วนที่หนึ่ง
สามปุ่มหรือหนึ่งปุ่ม?
(เรื่องราวเกี่ยวกับการที่พระสันตะปาปา พระสันตะปาปาที่ไม่ใช่พระสันตะปาปา และผู้ที่ไม่ใช่พระสันตะปาปาโดยทั่วไปทะเลาะกันอย่างไรเมื่อพวกเขาโต้เถียงกันเกี่ยวกับกฎของมหาเกม)
คุณสามารถรับรู้ข้อมูลนี้เป็นเทพนิยาย แต่แล้วก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในเทพนิยายต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง และความเป็นจริงมักจะถูกกำหนดโดยตรรกะเสมอ ตรรกะของเหตุการณ์ระดับโลกทั้งหมดอาจเป็นเพียงการยืนยันทุกสิ่งที่ระบุไว้ในบทความนี้ ตรรกะของเหตุการณ์ใดๆ ในสังคมจะถูกกำหนดโดยแรงจูงใจของผู้เข้าร่วมในเหตุการณ์เหล่านี้เสมอ (มองเห็นได้และ "เบื้องหลัง")
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นชวนให้นึกถึงเกมบางประเภทที่เป็นไปตามกฎที่ผู้เล่นหลายคนเดาได้เท่านั้น และเมื่อพวกเขาเริ่มเข้าใจกฎเหล่านี้ ปรากฎว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้เล่นเลย แต่เป็นเพียงชิ้นส่วนบนกระดานหมากรุกหรือชิปและไพ่บนโต๊ะไพ่
1. ศูนย์กลางอำนาจสามแห่ง
เริ่มจากระยะไกลกันก่อน จากข้อเท็จจริงที่ว่าสำหรับคนทั่วไปดูเหมือนเทพนิยายมากกว่าความเป็นจริง
ผู้ที่คุ้นเคยกับการวิจัยภายใต้กรอบแนวคิด ความปลอดภัยของสาธารณะโปรเจ็กต์ “วีนัส” ที่มีภาพยนตร์เรื่อง “วงแหวนแห่งพลัง”, “เขาวงกตแห่งความจริง”, “อีเดนใหม่” ฯลฯ อย่างน้อยก็สามารถดูกระบวนการระดับโลกได้บางส่วน มองเบื้องหลัง “ม่าน” ที่ซ่อนผู้เล่นระดับโลกที่แท้จริง .
มีผู้เล่นสามคนดังกล่าว หากคุณคิดว่านี่คือสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย แสดงว่าคุณคิดผิด ใช่ รัฐเป็นผู้เล่นที่จริงจัง เมื่อมองแวบแรก แต่เบื้องหลังของผู้เล่นดังกล่าวมีกองกำลังที่ทรงพลังเช่นนี้ ซึ่งพลังนั้นไม่สามารถตรวจจับได้หากคุณไม่เห็นตรรกะของเหตุการณ์ แต่ตรรกะไม่ได้ทดสอบเพื่อรัฐเสมอไป ยิ่งไปกว่านั้น - มักจะขัดแย้งกับความต้องการและข้อกำหนดของรัฐ นี่คือความบ้าคลั่งของสงครามครั้งใหญ่และสงครามโลกทั้งหมด และตรรกะของการเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ และทั้งหมดนี้สามารถสืบย้อนไปได้ตั้งแต่สมัยโบราณ ไม่ว่านักประวัติศาสตร์จะพยายามพิสูจน์แรงจูงใจในพฤติกรรมของกษัตริย์และนักการเมืองอย่างไร สิ่งนี้ก็ยังไม่เหมาะสมกับคนมีสติ (หมายเหตุในวงเล็บ: ประวัติศาสตร์เขียนไว้ตามคำสั่งเสมอ แล้วใครสั่ง ใครจ่ายแน่นอน! แล้วใครจ่าย อ่านต่อ...)
หากคุณอยู่ในแนวคิดของแนวคิดหรือศาสนาใดๆ เช่น ลัทธิมาร์กซิสม์ เสรีนิยม อิสลาม คริสต์ ฯลฯ ให้ถามตัวเองด้วยคำถามว่า แนวคิดและศาสนาเหล่านี้มาจากไหน แนวคิดใดเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้สร้างของพวกเขา โมเดลแนวความคิดทั้งหมดนี้ได้รับค่าตอบแทนดีและทำกำไรได้มาก ใครคือผู้สนับสนุน? แนวคิดและศาสนาเหล่านี้ส่งเสริมแรงจูงใจของใคร?
และตอนนี้ คำถามหลัก: เหตุใดแนวคิดเหล่านี้จึงเกิดขึ้นบนพื้นฐานของศาสนาประจำชาติของชาวยิว? ใช่ ใช่ แม้กระทั่งลัทธิมาร์กซิสม์และลัทธิต่ำช้า! ท้ายที่สุดแล้ว แนวคิดทั้งหมดนี้มีเนื้อหาเพียงประเด็นเดียว นั่นคือ โลกทัศน์ของชาวยิวและโลกทัศน์ของชาวยิว ยิ่งไปกว่านั้น: ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าทฤษฎี "ปฏิวัติ" ทั้งหมดมีเนื้อหาเดียวกัน ท้ายที่สุดแล้ว “นักปฏิวัติ” ทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดได้รับการเลี้ยงดูจากค่านิยมแบบคริสเตียนหรือยิว เมนเดล, ไอน์สไตน์, ฟรอยด์, มาร์กซ์, เมนเดเลเยฟ, ดาร์วิน ฯลฯ และฉันและคุณต่างก็อยู่ภายใต้กรอบของระบบคุณค่าของชาวยิว และหากใครก็ตามที่นอกเหนือไปจากกรอบนี้ พวกเขามักจะได้รับดิ้น เพราะมีคำกล่าวไว้ว่า: “อย่ากังวล จงรู้เตาไฟของเจ้า!” ยีราฟตัวใหญ่ เขารู้ดีกว่า!”
และสิ่งที่สำคัญที่สุด: ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นถูกควบคุมโดยแนวคิดเหล่านี้ผ่านแรงจูงใจหลักประการหนึ่ง นั่นก็คือ เงิน ดังนั้นศูนย์กลางอำนาจคือกลุ่มธนาคาร มีกลุ่มธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกสามกลุ่ม และพวกมันมีต้นกำเนิดมาจากศูนย์กลางทางอุดมการณ์เดียวกัน
นี่คือคำตอบของคุณ: ใครคือผู้เล่นเหล่านี้? ผู้ที่บังคับเราเมื่อนานมาแล้วให้รับรู้ถึงความเป็นจริงตามพระคัมภีร์
อันดับแรก, ศูนย์ที่เก่าแก่ที่สุดอิทธิพลอยู่ในวาติกัน ราชวงศ์ ชนชั้นสูง และแม้กระทั่งราชวงศ์ชนชั้นกลางทุกราชวงศ์มีต้นกำเนิดมาจากอาดัมในพระคัมภีร์เอง หากคุณสงสัยที่มาในชาติของพวกเขา อย่างน้อยคุณก็สามารถดูแขนเสื้อของขุนนางทั้งหมดได้ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าแต่ละเผ่าหรือเผ่ามีสัญลักษณ์ของ "เผ่าอิสราเอล" หนึ่งเผ่าขึ้นไป (เปรียบเทียบกับภาพ)
- และบางคนก็ไม่อายเลยที่จะยอมรับว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากตัวละครในพระคัมภีร์ตัวไหน โดยส่วนใหญ่แล้ว ชนชั้นสูงกลุ่มนี้มีปฏิสัมพันธ์กับศูนย์กลางในวาติกัน อุดมการณ์ของศูนย์แห่งนี้ชัดเจน แน่นอนว่าทุกคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับคำสั่งลับ Opus Dei มาก่อน แสวงหาแล้วจะพบว่า...
ศูนย์กลางอำนาจแห่งที่สองและในยุคที่สองเช่นกันคือกลุ่ม Rothschild (ชื่อทั่วไป) มีปฏิสัมพันธ์กับชนชั้นสูงในอังกฤษและประการแรกคือด้วย ราชวงศ์- สำนักงานใหญ่ของเขาอยู่ในลอนดอนซิตี้ อุดมการณ์ของกลุ่มนี้ยังถูกกำหนดโดยแนวคิดของพระคัมภีร์และคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ ความลับ คำสั่งอิฐของชาวยิวในโลก “บุตรแห่งพันธสัญญา” (บีไน บีริธ) สามารถดำเนินนโยบายของตนได้อย่างอิสระ (และหมายเหตุในวงเล็บ: ให้ความสนใจกับคำว่า "บริท"!) เป็นการเหมาะสมที่จะนึกถึงตัวอย่างจากประวัติศาสตร์ว่า Rothschild นายธนาคารซื้อเศรษฐกิจอังกฤษเกือบทั้งหมดได้อย่างไรอันเป็นผลมาจากการหลอกลวงที่เรียกว่า "เราแพ้นโปเลียน! หุ้นตก! ตัวแทนของ Rothschild ซึ่งมาถึงก่อนที่ผู้ส่งสารอย่างเป็นทางการจะมาถึงพร้อมกับข่าวชัยชนะของกองทหารอังกฤษรายงานว่านโปเลียนได้รับชัยชนะ (!) ราคาหุ้นของบริษัททั้งหมดก็ทรุดตัวลงทันที และสุภาพบุรุษนายธนาคาร พร้อมด้วยสมาชิกบางส่วน ราชวงศ์พวกเขาซื้อทุกอย่างที่ทำได้ทันที ภายในวันเดียวพวกเขาก็เป็นเจ้าของ อาณาจักรที่ร่ำรวยที่สุดกับอาณานิคมทั่วโลก
และสุดท้าย ศูนย์ที่สาม น้องคนสุดท้อง - ตระกูลร็อคกี้เฟลเลอร์ (ชื่อชั่วคราว) สำนักงานใหญ่ของกลุ่มนี้ตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กลุ่มนี้มีปฏิสัมพันธ์กับทั้งขุนนางและผู้มีอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาและยุโรป อุดมการณ์ของกลุ่มนี้เรียกว่าลัทธิอนุรักษ์นิยมใหม่ เบื้องหลังกลุ่มนี้คือคำสั่ง Masonic ของชนชั้นกระฎุมพีที่เรียกว่า "อิลลูมินาติ" (ผู้รู้แจ้ง!)
ข้อเท็จจริงที่สอง เสาโอเบลิสก์ถูกนำมาจากอียิปต์โดยเฉพาะและถูกติดตั้งในใจกลางวาติกัน ใจกลางกรุงวอชิงตัน และในลอนดอน สัญลักษณ์ของ "คำสั่งลับ" ถือเป็นเรื่องร้ายแรงเสมอ http://www.youtube.com/watch?v=4M_oJn9zPX4&feature= related ; http://www.youtube.com/watch?v=T1GYUvxcqrg&feature= related ; http://www.youtube.com/watch?v=sRs4RtobLvA.
ข้อเท็จจริงประการที่สาม ซ่อนข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับวัตถุที่ไม่ปรากฏชื่อ (บิน ลอย และบิวท์อิน) สมัยโบราณ- ยูเอฟโอ ปิรามิด (อียิปต์ จีน เม็กซิโก ฯลฯ) ความจริงเกี่ยวกับลัทธินอกรีต ความจริงเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงก่อนคริสต์ศักราช ฯลฯ พวกเขาซ่อนอะไรไว้จากเรากันแน่? พวกเขาพยายามทำให้เราทุกคนอยู่ในแนวคิดเดียวกัน “อธิษฐานเถิด ผู้รับใช้ของพระเจ้า! และคุณจะตกเป็นทาสไปจนสิ้นยุค และใครก็ตามที่ต่อต้านมันจะต้องตาย! เฮ้! สาธุ!”
บทสรุป.
ความพยายามของฉันในการเชื่อมต่อข้อมูลที่แตกต่างกันทั้งหมดนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ทุกคนต่างมีการค้นหาความจริงของตัวเอง การยอมรับแนวคิดใดๆ โดยไม่ศึกษาข้อมูลด้วยตนเองถือเป็นเรื่องโง่ ความจริงมีหลายแง่มุมเสมอ แต่ประกายไฟที่จุดประกายนั้นมักง่ายจนไม่อาจเข้าใจได้
ที่จะดำเนินต่อไป…
คุณนึกถึงชื่ออะไรเมื่อคุณได้ยินคำว่า "ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุด"? ร็อคกี้เฟลเลอร์? คุณเดาผิด! ทรัมป์? อีกครั้ง - โดย! เกตส์? คุณสับสน เราไม่ได้ถามเกี่ยวกับคนที่รวยที่สุด แต่ถามเกี่ยวกับครอบครัว ราชวงศ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบิล เกตส์ลงนามใน "การให้คำมั่นสัญญา" เงินหลายพันล้านของเขาจะไปเพื่อการกุศล และลูกหลานของเขาจะไม่ได้รับอะไรเลย ผู้เข้าร่วมในการจัดอันดับของเราต้องการรักษาและเพิ่มทุนเพื่อส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ตัวเลขเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
จากเจ้าของลอรีอัลไปจนถึงผู้ใจบุญ: ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
Bettencourt: “โรงงานความงาม” ของฝรั่งเศส
หากต้องการวาดภาพต้นกำเนิดของครอบครัว Bettencourt นับพันล้าน คุณต้องมีเพียงคำเดียวเท่านั้น: "L'Oreal" ย้อนกลับไปในปี 1907 นี้ ธุรกิจระดับตำนานเริ่มต้นโดยนักเคมี ยูจีน ชูเลต์ และชาวฝรั่งเศสรายนี้จดทะเบียนบริษัทของตัวเองในอีกสองปีต่อมา บริษัทเริ่มผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและผิวหนัง เมื่อ Eugene เสียชีวิต ลูกสาวของเขา Liliane Bettencourt เข้ามากุมบังเหียน ตอนนี้เธอเท่มาก หญิงสูงอายุและป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมในวัยชรา ดังนั้นบริษัทครอบครัวจึงได้รับการดูแลจากเธอ ลูกสาวคนเดียวและหลานชาย ทุนของ Betancourt อยู่ที่ 36 พันล้านดอลลาร์
แบรนด์ Lous Vuitton และอีกมากมาย: Arnault และลูกๆ ของเขา
ผู้เข้าร่วมรายที่สองในครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดของเราก็มาจากฝรั่งเศสเช่นกัน บิดาผู้ก่อตั้งราชวงศ์ Bernard Arnault มีแบรนด์หรูของเขาเองอย่าง Lous Vuitton (เขาเป็นประธานและ ผู้จัดการทั่วไปบริษัท) แต่ความสนใจของเขายังขยายออกไปอีกมาก Arnault ยังเป็นเจ้าของบริษัทอื่นๆ เช่น Dom Perignon, Cartier และ Bulgari ฉันควรดำเนินการต่อหรือไม่? Francois วัย 67 ปี ชื่นชมงานศิลปะเป็นอย่างมากและมีทรัพย์สิน 39 พันล้านดอลลาร์ นักธุรกิจมีลูกห้าคนจากภรรยาสองคน
โค้ก: เจ้าพ่อสื่ออเมริกัน
ในปี พ.ศ. 2441 James M. Cox ได้ซื้อหนังสือพิมพ์ Dayton Evening News และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของ "การก้าวขึ้น" ของเจ้าสัวสื่อชาวอเมริกัน ปัจจุบัน ลูกหลานของ James ได้เข้ามารับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัว โดยมีทรัพย์สินมูลค่า 41 พันล้านดอลลาร์แบ่งออกเป็นห้าคน ปัจจุบัน จักรวรรดิประกอบด้วยสถานีวิทยุ บริษัทเคเบิลทีวี และบริษัทอื่น (เข้าซื้อกิจการเมื่อ 11 ปีที่แล้วด้วยมูลค่า 4 พันล้านดอลลาร์) เพื่อสร้าง ซอฟต์แวร์สำหรับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์
ครอบครัวคาร์กิลล์-แมคมิลลานมีมหาเศรษฐีมากที่สุด
โดย ตามข้อมูลของฟอร์บส์หนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดอย่าง Cargill-McMillan มีมหาเศรษฐีมากที่สุดเมื่อเทียบกับผู้เข้าร่วมรายอื่นในการจัดอันดับนี้ มี 14 คนในจำนวนนี้ ทุนรวมของกลุ่มคือ 49 พันล้านดอลลาร์ สมาชิกในครอบครัวนี้มีตัวใหญ่ที่สุด บริษัทเอกชนมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมชีวภาพ เกษตรกรรมอุตสาหกรรมพลังงาน อาหาร และยา อย่างไรก็ตาม ที่สุดรายได้ (ประมาณ 108 พันล้านดอลลาร์) มาจากธุรกิจการเกษตรให้กับคาร์กิลล์ W. W. Cargill เปิดธุรกิจของตัวเองในปี 1865 ธุรกิจพัฒนาขึ้นเมื่อมีการก่อสร้างคืบหน้า ทางรถไฟ- ในปี 1909 John MacMillan ลูกเขยของเจ้าของเข้ามารับช่วงต่อบริษัทของครอบครัว หลังจากนั้นบริษัทก็ได้รับ ชื่อคู่คาร์กิลล์-แมคมิลลาน. ครอบครัวนี้ไม่ได้บริหารบริษัทมาตั้งแต่ปี 1995 แต่พวกเขายังคงถือหุ้น 88% และสมาชิกหกคนของกลุ่มดำรงตำแหน่งต่างๆ บนกระดาน
Slim Helu: เผ่าที่โดดเด่นของเม็กซิโก
คาร์ลอส สลิม เฮลู - คนที่รวยที่สุดในเม็กซิโก เขาได้รับการจัดอันดับที่สี่ในรายชื่อมหาเศรษฐีของ Forbes ในปีนี้ เขาเป็นเจ้าของเงินจำนวนมหาศาล - 47.8 พันล้านดอลลาร์ และทุนของตระกูล Slim Helu อยู่ที่ 52 พันล้านดอลลาร์ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยใน อเมริกาใต้(และในตลาดการสื่อสารเคลื่อนที่) สร้างความเสียหายให้กับราชวงศ์นี้อย่างไม่อาจแก้ไขได้ - เมื่อปีที่แล้วโชคลาภของพวกเขาเพิ่มขึ้น 2 เท่า แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่กลุ่มก็ยังอยู่ในอันดับที่ 6 ของตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดอย่างมั่นใจ
คนที่ชอบของหวาน: เจ้าของบริษัท Mars
เรามั่นใจว่าคุณทุกคนเคยซื้อขนมตระกูล Mars มาแล้วอย่างน้อยสองสามครั้ง! ท้ายที่สุดแล้ว Milky Way, Snickers และ M&M's ได้รับความนิยมไม่เพียงแต่ในบ้านเกิดของผู้ผลิตในอเมริกาเท่านั้น แต่ยังได้รับความนิยมไปทั่วโลกอีกด้วย Frank Mars เริ่มขายขนมในปี 1911 18 ปีต่อมา ลูกชายของเขามาร่วมงานกับเขาที่ Forrest การประดิษฐ์ตังเมปรุงแต่ง - นี่คือพื้นฐานสำหรับขนม Snickers ที่ขายดีที่สุด ปัจจุบัน Mars เป็นผู้ผลิตไม่เพียงแต่ผลิตภัณฑ์ขนมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาหารสำหรับสุนัข (Royal Canin) และแมว (Whiskas) ด้วย - - ซอสอร่อย- ทุนของ Mars อยู่ที่ 78 พันล้านดอลลาร์
Kochs ที่ไม่มีวันจม
น้ำมันและน้ำมันเบนซินเป็นทางเลือกที่ win-win! ผู้คนต้องการเชื้อเพลิงอยู่เสมอและทุกที่ ดังนั้นครอบครัว Koch และความเป็นส่วนตัวของพวกเขา บริษัทอเมริกัน Koch Industries เป็นเจ้าของ 82 พันล้านดอลลาร์ ต้นกำเนิดของธุรกิจครอบครัวย้อนกลับไปในทศวรรษ 1920 เมื่อ Fred C. Koch พัฒนาวิธีการใหม่ในการแปลงน้ำมันดิบหนักให้เป็นน้ำมันเบนซิน ขณะนี้บริษัทได้เปิดตัว "หนวด" ในหลายพื้นที่: ที่อยู่อาศัย การขนส่ง การผลิตอาหารและเชื้อเพลิง และแม้แต่... การผลิตที่วางผ้าเช็ดตัวพร้อมเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว
Wiltons เดิมพันการค้าปลีก
ในขณะที่ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดส่วนใหญ่กระจัดกระจายและลงทุนกัน ประเภทต่างๆธุรกิจ ตระกูลวอลตันมุ่งเน้นไปที่โครงการขนาดใหญ่เท่านั้น นี้ เครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดการค้าปลีกในสหรัฐอเมริกา, ซูเปอร์มาร์เก็ต Walmart รายได้จากพวกเขากำลังเข้าใกล้ 483 พันล้านดอลลาร์และทุนของครอบครัวเกิน 130 พันล้านดอลลาร์ ทุกอย่างเริ่มต้นจาก Sam Walton และ James น้องชายของเขา (“Bud”) ผู้ก่อตั้งธุรกิจค้าปลีกในปี 1962 หลังจากที่พี่น้องเสียชีวิต บริษัทก็ส่งต่อให้กับลูกชายและลูกสาวสองคนของแซมและลูกสาวสองคนของบัด ปัจจุบัน Waltons รุ่นที่สามเป็นผู้รับผิดชอบธุรกิจนี้
ราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย: อัล ซะอุดส์
กลุ่มอัล-ซาอุด (หรือราชวงศ์ซาอุด) ปกครองซาอุดีอาระเบียมายาวนาน สมาชิกในครอบครัวในตำนาน มูฮัมหมัด อิบัน ซูด เป็นผู้ก่อตั้งรัฐซาอุดีอาระเบียที่ 1 (ในศตวรรษที่ 18) ปัจจุบันครอบครัวนี้มีสมาชิกหลายพันคนซึ่งมีทุนไม่ถึงพันล้านด้วยซ้ำ เงินของตระกูล Al-Sauds อยู่ที่ 1.4 ล้านล้าน ดอลลาร์ สมาชิกบางส่วนของราชวงศ์ผู้ปกครองมีชื่ออยู่ในรายชื่อมหาเศรษฐีของ Forbes เช่น เจ้าชายอัล-วาลีด บิน ทาลาล อยู่ในอันดับที่ 41 ด้วยทรัพย์สิน 19.5 พันล้านดอลลาร์ เขาเป็นเจ้าของพระราชวัง เรือยอทช์สุดหรู งานศิลปะ รีสอร์ทหลายแห่ง และเครือโรงแรม Four Seasons
เสน่ห์อันสุขุมรอบคอบของมหาเศรษฐี Rothschild
หากคุณต้องการ 1 ล้านล้าน ดอลลาร์ (เป็นร้อยบิล) ถูกวางบนพื้นเป็นกองสูงเท่าที่คุณเป็น คุณจะต้องมีพื้นที่เกือบ 2 เอเคอร์ ลองนึกภาพดูว่ามีเงินมากแค่ไหน! ทีนี้ลองจินตนาการถึง 10 ล้านล้าน ดอลลาร์เป็นเมืองหลวงทั้งหมดโดยประมาณของตระกูล Rothschild โบราณ แม้แต่ Forbes ก็ไม่เสี่ยงในการคำนวณความมั่งคั่งของนายธนาคารเหล่านี้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไม Rothschilds จึงไม่ปรากฏในรายชื่อครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการ อาณาจักรของ Rothschilds ซึ่งเป็นชาวยิวที่เคยอาศัยอยู่ในเยอรมนี มีอายุย้อนกลับไปในทศวรรษที่ 1760 เมื่อ Mayer Amschel Rothschild ก่อตั้งธนาคารแห่งแรกของเขา หลายทศวรรษต่อมา เขาส่งลูกชายไปอังกฤษเพื่อขยายธุรกิจของครอบครัว ขณะนี้ราชวงศ์การธนาคารมีสามสาขา: ฝรั่งเศส อังกฤษ และออสเตรีย (ผ่านสายหญิงเท่านั้น) พวกเขามีชื่อเสียงในด้านความใจบุญสุนทาน: ครั้งหนึ่ง Rothschilds เคยครอบครองผลงานศิลปะชิ้นเอกของโลกที่กว้างขวางที่สุด และได้บริจาคเงินให้กับพิพิธภัณฑ์ต่างๆ โดยไม่เปิดเผยตัวตนเสมอ
11 สิงหาคม 2561, 21:25 นฉันเห็นตัวเลือกจาก Business Insider บน MSN และตัดสินใจแปลมัน นี่ไม่เกี่ยวกับคนที่รวยที่สุด แต่เกี่ยวกับโชคลาภที่ร่ำรวยที่สุดของครอบครัวเดียวกัน (บางครั้งครอบครัวก็ใหญ่มากก็ใหญ่มาก)
25. ครอบครัวกัลโล
มูลค่าสุทธิ: 10 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของเงื่อนไข: โรงกลั่นไวน์ E&J Gallo
ครอบครัว Gallo ดึงเงินมาจากหลายแหล่ง พี่น้อง Ernest และ Giulio Gallo ก่อตั้งโรงบ่มไวน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งในเมืองโมเดสโต รัฐแคลิฟอร์เนีย โจเซฟน้องชายอีกคนของพวกเขาช่วย ธุรกิจครอบครัวจนกระทั่งเขาได้เปิดฟาร์มโคนมและโรงงานผลิตชีสของตัวเอง ชื่อ โจเซฟ แกลโลว์ ชีส ปัจจุบัน ลูกๆ ของเขาบริหารงาน Joseph Farms ส่วนทายาท Ernest และ Giulio บริหารโรงกลั่นไวน์ ซึ่งสร้างรายได้มากถึง 3.8 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
24. ครอบครัวร็อคกี้เฟลเลอร์
แหล่งที่มาของเงื่อนไข: น้ำมันมาตรฐาน
John D. Rockefeller กลายเป็นมหาเศรษฐีคนแรกของอเมริกาเมื่อเขาก่อตั้ง Standard Oil ในปี 1870 เขาและลูกชายของเขา จอห์น จูเนียร์ ได้บริจาคเงินมากกว่าพันล้านดอลลาร์ให้กับองค์กรการกุศล
โชคลาภของครอบครัวแบ่งออกเป็น 174 ครอบครัว
23. ครอบครัวก้น.
มูลค่าสุทธิ: 11 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของรัฐ: H.E.Butt
Florence Butt เปิดร้านขายของชำ H-E-B ในเท็กซัสในปี 1905 ซึ่ง Howard ลูกชายของเธอขยายธุรกิจไปทั่วทั้งรัฐเมื่อเขาเข้ามาบริหารในปี 1920 ชาร์ลส์ ลูกชายของเขา ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นหลัก ช่วงเวลาปัจจุบันดำเนินธุรกิจบริษัทที่มีร้านค้า 400 แห่งทั่วเท็กซัสและเม็กซิโก และมีรายได้สูงถึง 25 พันล้านดอลลาร์ต่อปี พี่น้องของชาร์ลส์และหลานชายสองคนมีหุ้นในธุรกิจนี้
22. ครอบครัวเมลลอน. มูลค่าสุทธิ: 11.5 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของความมั่งคั่ง: เมลลอน แบงก์
ความมั่งคั่งของครอบครัว Mellon ย้อนกลับไปในทศวรรษที่ 1860 เมื่อ Thomas Mellon ลงทุนในถ่านหินและอสังหาริมทรัพย์ และใช้รายได้ดังกล่าวก่อตั้ง Mellon Bank เขาฝากโชคลาภไว้กับลูกๆ เพื่อพวกเขาจะได้เพิ่มพูน และลูกหลานของเขาเองและคนรุ่นต่อๆ มาก็ทำเช่นนั้น โดยลงทุนในบริษัทที่ต่อมากลายเป็น ALOCOA และ Gulf Oil รวมถึงในธุรกิจสื่อและการรถไฟ
จนกระทั่งเขาเสียชีวิตในเดือนเมษายนของปีนี้ แมทธิว เมลลอนคือหน้าตาของครอบครัว
21. ครอบครัวมาร์แชล
มูลค่าสุทธิ: 12 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของความมั่งคั่ง: การลงทุน
ความมั่งคั่งของครอบครัวมาร์แชลแบ่งออกเป็นตะกร้าต่างๆ เจ. ฮาวเวิร์ด มาร์แชลขายบริษัทของเขาให้กับเกรทนอร์เทิร์น บริษัทน้ำมันประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ใน Koch Industries หุ้นดังกล่าวส่งต่อไปยังลูกชายของเขา อี. เพียร์ซ มาร์แชล และจากเขาไปยังภรรยาม่ายและลูกๆ ของเขา ครอบครัวนี้ใช้ทรัพย์สมบัตินับล้านไปกับทนายความของเจ. ฮาวเวิร์ด จูเนียร์ ซึ่งแต่งงานกับแอนนา นิโคล สมิธในช่วงสั้นๆ
20. ครอบครัวบราวน์
มูลค่าสุทธิ: 12.3 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของความมั่งคั่ง: Brown-Forman Group
ครอบครัว Brown อยู่เบื้องหลังร้าน Jack Daniel's, Woodword Reserve, Old Forrester และอื่นๆ แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์- สมาชิกในครอบครัวประมาณ 25 คนเป็นเจ้าของ Brown-Forman Group ส่วนใหญ่ ซึ่งเริ่มต้นจากเภสัชกร George Garvin Brown ในปี 1870
19. ครอบครัวแซคเลอร์
มูลค่าสุทธิ: 13 พันล้านดอลลาร์
ที่มาของรัฐ: Purdue Pharma
พี่น้องแซคเลอร์ ได้แก่ Arthur, Mortimer และ Raymond ก่อตั้ง Purdue Pharma ในปี 1950 ธุรกิจของพวกเขาเริ่มเจริญรุ่งเรืองด้วยยอดขาย OxyContin ในปี 1995 ภายในปี 2545 พี่น้องทั้งสองคนมีรายได้ถึง 1.6 พันล้านดอลลาร์ต่อปีจากยาแก้ปวด
18. ครอบครัวบุช
มูลค่าสุทธิ: 13.4 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของสถานะ: Anheuser-Busch
โชคลาภของตระกูล Busch มีต้นกำเนิดมาจากโรงเบียร์ที่มีอายุย้อนไปถึงปี 1876 เมื่อ Adolphus Busch ก่อตั้งโรงเบียร์ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Budweiser แม้ว่าบริษัทจะยังคงอยู่ในครอบครัวมาหลายชั่วอายุคน แต่ธุรกิจประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ถูกขายไประหว่างปี 1998 ถึง 2008 และในปี 2008 บริษัททั้งหมดถูกขายไปในราคา 52 พันล้านดอลลาร์
ส่วนหนึ่งของครอบครัวกลับมาทำธุรกิจกับ William K Busch Brewing สมาชิกในครอบครัวประมาณ 30 คนแบ่งเงินกันเอง
16 (วาด) ครอบครัวโกลด์แมน.
แหล่งที่มาของความมั่งคั่ง: การบริหารจัดการของโซลิล
ความมั่งคั่งของครอบครัวโกลด์แมนมาจากอสังหาริมทรัพย์ - พวกเขาเป็นเจ้าของอาคารมากกว่าสี่ร้อยหลังในนิวยอร์ก และร้อยละ 17 ใน โลกแห่งการพัฒนาศูนย์การค้า. Sol Goldman ก่อตั้ง Solil Management เมื่อเขาเริ่มซื้อทรัพย์สินรอการขายในราคายุติธรรมในปี 1950
ปัจจุบันบริษัทบริหารงานโดย Jane Goldman ลูกสาวของเขา เธอและพี่น้องของเธอเป็นเจ้าของร้อยละ 25 ของบริษัท ซึ่งมีทรัพย์สินมูลค่า 12 พันล้าน ลอยด์ โกลด์แมน หลานชายของซาอูล บริหารบริษัทอสังหาริมทรัพย์อีกแห่งคือ BLDG Management ซึ่งเป็นเจ้าของ WTC อีก 17 เปอร์เซ็นต์
16. ครอบครัวฮันท์
มูลค่าสุทธิ: 13.7 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของความมั่งคั่ง: บริษัท ฮันท์ ออยล์
เอช.แอล. ฮันต์วางรากฐานความมั่งคั่งของครอบครัวด้วยการก่อตั้งบริษัทฮันท์ ออยล์ ทายาทจำนวนมากของเขา (เขามีลูก 14 คน) บริหารบริษัทหลายแห่ง ตั้งแต่ Hunt Oil และ Petro-Hunt ไปจนถึง Rodewood Hotels & Resorts ลูกๆ ของเขาใช้เงินหลายพันล้านไปกับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งรวมถึงศูนย์ธุรกิจใต้ดิน SubTropilis ขนาดใหญ่ และทีมกีฬา พวกเขาเป็นเจ้าของทีม Kansas City Chiefs และถือหุ้นใน Chicago Bulls
15. ครอบครัวดูปองต์
มูลค่าสุทธิ: 14.3 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของสถานะ: ดูปองท์
โชคลาภของครอบครัวดูปองต์เป็นหนึ่งในโชคลาภที่เก่าแก่ที่สุดและแตกแยกมากที่สุดในรายการนี้ ดูปองท์ บริษัทเคมียักษ์ใหญ่ก่อตั้งขึ้นในปี 1802 เพื่อผลิตดินปืน เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาผลิตทุกอย่างตั้งแต่ไดนาไมต์ไปจนถึงพลาสติก และคิดค้นไนลอนและเทฟลอน สมาชิกในครอบครัวประมาณ 3,500 คนถือหุ้นในบริษัท แต่ไม่มีใครบริหารบริษัทเลย
14. ครอบครัวซิฟ.
มูลค่าสุทธิ: 14.4 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของความมั่งคั่ง: Ziff Davis Inc.
William Ziff Jr. ขายสำนักพิมพ์ Ziff Davis Inc. ของบิดาในราคา 14.4 พันล้านดอลลาร์ในปี 1994 ลูกชายของเขา Daniel, Robert และ Dirk ทวีคูณมรดกด้วยการก่อตั้ง Ziff Brothers Investments
13. ครอบครัวดอร์รันซ์
มูลค่าสุทธิ: 17.1 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของเงื่อนไข: Campbell's Soup
สมาชิกครอบครัว Dorrance ประมาณ 11 คน เป็นเจ้าของ Campbell's Soup มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง คิดค้นโดยจอห์นที. ดอร์แรนซ์ในช่วงปลายทศวรรษ 1800 ปัจจุบัน บริษัทไม่ได้มีเพียงซุปเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าของแบรนด์ V8 และ Pepperidge Farm ซึ่งทำรายได้มากถึง 8 พันล้านต่อปี หลานสองคนของดอร์รันซ์และหลานชายหนึ่งคนเป็นสมาชิกคณะกรรมการ
12. ครอบครัวนิวเฮาส์
มูลค่าสุทธิ: 18.5 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของรัฐ: สิ่งพิมพ์ล่วงหน้า
ความมั่งคั่งของครอบครัว Newhouse อยู่ที่สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ที่สร้างโดย Sam Newhouse Advance Publications เป็นเจ้าของ Conde Nast Publications และเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์มากกว่า 25 ฉบับในสหรัฐอเมริกา รวมถึงเว็บไซต์ Reddit และถือหุ้นใน Discovery Communications ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2459 ลูกชายของแซมขายบริษัทเคเบิล Bright House Network ด้วยเงินสดและหุ้นมูลค่า 11.4 พันล้านดอลลาร์
11. ครอบครัวลอเดอร์
มูลค่าสุทธิ: 24.3 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของความมั่งคั่ง: เอสเต ลอเดอร์
ในปี 1947 เอสเต ลอเดอร์ได้รับคำสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ความงามเป็นครั้งแรกในราคา 800 ดอลลาร์จาก Saks Fifth Avenue ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของแบรนด์ความงาม 30 แบรนด์ รวมถึง MAC และ Clinique ซึ่งมีรายได้สูงถึง 12 พันล้านดอลลาร์จากการขายเครื่องสำอางและน้ำหอม
10. ครอบครัวเฮิร์สต์
มูลค่าสุทธิ: 24.5 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของความมั่งคั่ง: Hearst Corporation
สมาชิกในครอบครัวประมาณ 67 คนแบ่งปันโชคลาภของวิลเลียม แรนดอล์ฟ เฮิร์สต์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในช่วงปลายทศวรรษปี 1800 เมื่อเขาเข้ารับตำแหน่งผู้ตรวจสอบในซานฟรานซิสโก ในไม่ช้าเฮิร์สต์ก็ซื้อหนังสือพิมพ์อื่นๆ มากมายและลงทุนในวิทยุและโทรทัศน์ ดังนั้นจึงก่อตั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ในปัจจุบันคือ Hearst Corporation ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ 46 ฉบับ นิตยสาร 340 ฉบับ สถานีวิทยุโทรทัศน์ และหุ้นในเคเบิลทีวี
9. ครอบครัวดันแคน
มูลค่าสุทธิ: 26 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของความมั่งคั่ง: พันธมิตรผลิตภัณฑ์ระดับองค์กร
Dan L. Duncan ก่อตั้งบริษัท Enterprise Product Partners บริษัทน้ำมันและก๊าซในปี 1968 ด้วยเงินเพียง 10,000 ดอลลาร์ เมื่อเขาเสียชีวิตในปี 2010 บริษัทยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของครอบครัว และลูกๆ ทั้งสี่คนของเขาได้รับมรดกมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ โชคลาภของครอบครัวเพิ่มขึ้นเพียงสองเท่าตั้งแต่นั้นมา
8. ครอบครัวของเซาท์แคโรไลนา (ซามูเอล เคอร์ติส) จอห์นสัน
มูลค่าสุทธิ: 28.2 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของสถานะ: SC Johnson
ครอบครัว Johnson เป็นเจ้าของ SC Johnson ซึ่งผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เช่น เกลด Pledge และ Windex บริษัทก่อตั้งขึ้นโดยชายผู้ตั้งชื่อบริษัทในปี 1882 และส่งต่อไปยังลูกชายของเขา Herbert Fisk Johnson ในที่สุด เฮอร์เบิร์ตเสียชีวิตโดยเจตนาในปี พ.ศ. 2471 และมีรายงานว่าครอบครัวนี้ต่อสู้แย่งชิงมรดกมาเป็นเวลานานจนกระทั่งในที่สุดก็ถูกแบ่งระหว่างลูกสองคนคือเฮอร์เบิร์ตฟิสก์จูเนียร์และเฮนเรียตตาจอห์นสันหลุยส์ ปัจจุบันหัวหน้า บริษัท เป็นตัวแทนของตระกูลรุ่นที่ห้าคือ Herbert Fisk III
7. ครอบครัวของเอ็ดเวิร์ด จอห์นสัน
มูลค่าสุทธิ: 28.5 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของรัฐ: ความจงรักภักดี
Edward Johnson ก่อตั้ง Fidelity กองทุนรวมที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกในปี 1946 และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Fidelity ก็บริหารงานโดยครอบครัว Johnson สามชั่วอายุคน ปัจจุบันดำเนินการโดยหลานสาวของเขา Abigail Johnson ครอบครัวนี้เป็นเจ้าของบริษัทร้อยละ 49 โดยแบ่งออกเป็นสมาชิกในครอบครัวสี่คน
6. ครอบครัวพริทซ์เกอร์
มูลค่าสุทธิ: 33.5 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของรัฐ: โรงแรมไฮแอท
หนึ่ง. Pritzker และลูกชายของเขา Jay, Donald และ Robert สร้างรากฐานของความมั่งคั่งด้วยการสร้างเครือโรงแรม Hyatt และลงทุนในบริษัทโฮลดิ้ง เช่น Marmon Group ปัจจุบันมีผู้แบ่งปันโชคลาภให้กับสมาชิกในครอบครัว 13 คน โดย 11 คนในจำนวนนี้เป็นเศรษฐีพันล้าน มีรายงานว่าพวกเขาใช้เวลาช่วงปีแรกของศตวรรษใหม่โต้เถียงเรื่องกองทุนทรัสต์ และลงเอยด้วยการแบ่งทรัพย์สินกัน
5. ครอบครัวค็อกซ์
มูลค่าสุทธิ: 33.6 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของความมั่งคั่ง: Cox Enterprises
Cox Enterprises มีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย เช่น เคเบิลทีวีและการออกอากาศ หนังสือพิมพ์ สถานีวิทยุ พวกเขามีรายได้มากถึง 20 พันล้านต่อปี
หลานห้าคนของผู้ก่อตั้งบริษัท James Cox แบ่งปันความมั่งคั่งของครอบครัว
4. ครอบครัวคาร์กิลล์-แมคมิลลาน
มูลค่าสุทธิ: 42.3 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของรัฐ: Cargill Inc
William W. Cargill ก่อตั้งธุรกิจการเกษตร Cargill Inc ในปี 1865 ปัจจุบัน สมาชิก 23 คนในครอบครัว Cargill-McMillan เป็นเจ้าของบริษัท 88 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสร้างรายได้ 108 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ในตระกูลนี้มี 14 คนเป็นมหาเศรษฐี
3. ครอบครัวดาวอังคาร
มูลค่าสุทธิ: 89.7 พันล้านดอลลาร์
ที่มาของรัฐ: Mars Inc
ในปี 1999 Jacqueline และ John Mars ได้รับมรดกในอาณาจักรขนมหวาน Mars Inc. ซึ่งเป็นผู้ผลิต M&M, Milky Way และ Mars candy bar เมื่อพ่อของพวกเขาเสียชีวิต Stephen Badger ลูกชายของ Jacqueline บริหารบริษัทอยู่ในปัจจุบัน
พี่ชายและน้องสาวดูแลมูลนิธิ Mars ซึ่งบริจาคเงินให้กับการศึกษา การอนุรักษ์ วัฒนธรรม และการดูแลสุขภาพ
2. ครอบครัวโคช.
มูลค่าสุทธิ: 98.7 พันล้านดอลลาร์
ที่มาของรัฐ: Koch Industries
พี่น้อง Charles และ David Koch ขยายบริษัทกลั่นน้ำมันของบิดาไปสู่กลุ่มบริษัท Koch Industries เมื่อพี่ชายคนอื่นๆ ของพวกเขา Frederick และ William ออกจากธุรกิจหลังจากนั้น ความพยายามที่ไม่สำเร็จเข้าควบคุมบริษัท
1. ครอบครัววอลตัน
มูลค่าสุทธิ: 151.5 พันล้านดอลลาร์
แหล่งที่มาของรัฐ: วอลมาร์ท
Sam และ Bud Walton ก่อตั้ง Walmart ในปี 1962 หลังจากความสำเร็จนี้ พวกเขาก่อตั้ง Sam's Club ในปี 1983 ปัจจุบัน Walmart มียอดขาย 50 พันล้านดอลลาร์ ทำให้เป็นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ที่สุดในโลก
ทรัพย์สมบัติของครอบครัวแบ่งออกเป็นญาติเจ็ดคน รวมถึงลูกสามคนของผู้ร่วมก่อตั้งแซม วอลตัน - ร็อบ จิม และอลิซ ซึ่งเป็น ผู้หญิงที่ร่ำรวยในโลกด้วยโชคลาภถึง 43.7 พันล้านดอลลาร์
บันทึก ผู้แปล: โอ้พระเจ้า คนที่ร่ำรวยที่สุดไม่ใช่ Rockefeller ไม่ใช่ Rothschilds และไม่ใช่ Vanderbilts! ทั้งชีวิตของฉันเป็นเรื่องโกหก!
สมัครสมาชิกเว็บไซต์
พวกเราใส่จิตวิญญาณของเราเข้าไปในไซต์ ขอบคุณสำหรับสิ่งนั้น
ว่าคุณกำลังค้นพบความงามนี้ ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจและความขนลุก
เข้าร่วมกับเราบน เฟสบุ๊คและ VKontakte
ไม่ว่านักการเมืองจะกล่าวสุนทรพจน์ที่ร้อนแรงแค่ไหน พวกเขามักจะไม่มีอิทธิพลต่อสถานะเศรษฐกิจในประเทศ ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในโลกมีโอกาสที่จะควบคุมขอบเขตของการเงินและกำหนดจังหวะการพัฒนาของรัฐใดรัฐหนึ่ง ทุกรุ่น เผ่าที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนี้เขาพยายามเพิ่มโชคลาภที่บรรพบุรุษของเขาได้รับมา ซึ่งตอนนี้เขาจัดการเงินได้หลายพันล้านดอลลาร์แล้ว
ราชวงศ์ Rothschild เป็นผู้นำรายชื่อตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกมาหลายปีแล้ว ผู้สร้างอาณาจักรของกลุ่มนี้คือ Mayer Amschmel Rothschild ตั้งแต่อายุ 12 ปี เขาเริ่มเข้าใจความซับซ้อนของการจัดการทางการเงินที่ Oppenheimer Bank ซึ่งพ่อของเขาส่งเขาไปฝึกอบรม หลังจากสำเร็จการศึกษา Mayer ทำงานครั้งแรกในร้านของพ่อ จากนั้นจึงทำงานเกี่ยวกับวัตถุโบราณ และในไม่ช้าก็เปิดธนาคารของตัวเอง เขาประสบความสำเร็จในการจัดการสถาบันการเงินและสามารถเพิ่มทุนในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด
ทายาทของ Mayer Rothschild ทุกคนสืบทอดความหลงใหลในด้านการเงินมา ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อไม่ให้กระจายทุนที่ได้มาและเก็บข้อมูลทางการเงินไว้เป็นความลับ การแต่งงานภายในครอบครัวจึงถูกสร้างขึ้นในตระกูล ครอบครัว Rothschilds ไม่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องอื้อฉาวเรื่องการหย่าร้าง สมาชิกทุกคนในกลุ่มพยายามหลีกเลี่ยงการปรากฏตัวในสื่อเป็นเวลา 3 ศตวรรษ แม้กระทั่งเมื่อทำการกุศล พวกเขาก็เลือกที่จะไม่เปิดเผยตัวตน
ปัจจุบันตระกูล Rothschild มีเงินทุนมากกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ จำนวนนี้เป็นเพียงค่าโดยประมาณ เป็นเจ้าของกลุ่ม เป็นจำนวนมาก บริษัททางการเงินซึ่งต้นทุนนั้นไม่สามารถกำหนดได้เสมอไป
ตระกูลอัล ซาอุดได้รับการยอมรับว่าเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยเป็นอันดับสองของโลก สมาชิกของกลุ่มได้ปกครองซาอุดีอาระเบียมาตั้งแต่ปี 1700 ในปีพ.ศ. 2505 ราชวงศ์ออกจากการเมืองและเข้าสู่ธุรกิจน้ำมัน ซึ่งสร้างรายได้มหาศาล ปัจจุบันกลุ่มอัลซาอุดเป็นกลุ่มที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศ ราชวงศ์มีเงินประมาณ 1.4 ล้านล้านในการกำจัด ดอลลาร์ นำโดยซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ อัล ซาอุด ซึ่งขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ตั้งแต่ปี 2558 เช่นกัน ซาอุดีอาระเบียและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ปัจจุบันราชวงศ์วอลตันเป็นเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตประมาณ 11,000 แห่งใน 27 ประเทศ ต้องขอบคุณการค้าที่ครอบครัวเป็นเจ้าของเงินทุนที่ใหญ่เป็นอันดับสาม โชคลาภของกลุ่มอยู่ที่ประมาณ 152 พันล้านดอลลาร์ ผู้ก่อตั้งราชวงศ์คือแซม วอลตัน ซึ่งเปิดร้านใหญ่แห่งแรกเมื่ออายุ 27 ปี นำหน้าด้วยการทำงานหนัก เพื่อสะสมทุนที่จำเป็นสำหรับการพัฒนา Sam มีส่วนร่วมในการค้าขายมาตั้งแต่เด็ก วันนี้ธุรกิจของเขาดำเนินต่อไปโดยสมาชิกในครอบครัว 3 คน
ตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่สี่คือราชวงศ์โคช์ส การขยายกลุ่มเริ่มต้นในปี 1940 เมื่อ Fred Koch ก่อตั้ง Koch Industries เป็นบริษัทกลั่นน้ำมันรายใหญ่อันดับสอง ลูกชายของเฟรดยังแสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมในการทำธุรกิจอีกด้วย พวกเขาขยายบริษัทอย่างมีนัยสำคัญและพัฒนากิจกรรมใหม่ๆ:
- ซื้อขาย;
- การผลิตเคมีภัณฑ์และปุ๋ย
- การเงิน;
- การผลิตของใช้ในครัวเรือน
ขอบคุณ ทำงานหนักปัจจุบันตระกูล Koch มีเงินทุน 89 พันล้านดอลลาร์
กลุ่ม Mars สามารถพิสูจน์ให้คนทั้งโลกเห็นว่าแม้แต่ขนมคุณก็สามารถสร้างโชคลาภได้ ครอบครัวนี้เป็นเจ้าของโรงงานผลิตขนมที่ผลิตช็อกโกแลตแท่งและขนมหวานอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงระดับโลก บริษัท Mars ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1920 ความคิดที่จะสร้างช็อคโกแลตที่ไม่ละลายในมือของคุณช่วยให้เธอได้รับผลกำไรมหาศาล ต้องขอบคุณเธอที่ทำให้ตระกูล Mars ได้รับการยอมรับว่าเป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในปี 1980 วันนี้โชคลาภของกลุ่มคือ 80 พันล้านดอลลาร์
อันดับที่หกในการจัดอันดับ ครอบครัวที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนี้ไปที่กลุ่มเม็กซิกันสลิม คาร์ลอส สลิม ประมุขแห่งราชวงศ์ถือเป็นกษัตริย์อย่างไม่เป็นทางการของประเทศมายาวนาน เขามีบริษัทแลกเปลี่ยนของเขาเอง การสื่อสารเคลื่อนที่, ถือศูนย์- สมาชิกในครอบครัวของเขาเป็นหัวหน้ามูลนิธิไม่แสวงหาผลกำไรที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ การศึกษา และการดูแลสุขภาพ ปัจจุบันราชวงศ์เป็นเจ้าของเงินทุนมากกว่า 77 พันล้านดอลลาร์
อันดับที่ 7 ในรายชื่อราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกตกเป็นของตระกูล Cagill-MacMillan ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 45 พันล้านดอลลาร์ ถือหุ้น 88% ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างคาร์กิลล์ ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านการเกษตรและ อุตสาหกรรมอาหาร- ใน ปีที่ผ่านมาองค์กรเริ่มเชี่ยวชาญการค้าและ ภาคการเงิน- โชคลาภของกลุ่มในปี 2559 อยู่ที่ 45 พันล้านดอลลาร์
ราชวงศ์ฝรั่งเศส Bettencourt เป็นเจ้าของโชคลาภมหาศาล ครอบครัวนี้เป็นเจ้าของบริษัท L’Oreal ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งก่อตั้งโดย Engen Schueller ในปี 1909 ต้องขอบคุณธุรกิจที่เจริญรุ่งเรือง กลุ่ม Bettencourt เป็นเจ้าของเงิน 42.7 พันล้านดอลลาร์ และอยู่ในอันดับที่ 8 ในการจัดอันดับตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ปัจจุบัน L'Oreal บริหารงานโดยลูกสาวของ Angie และหลานๆ ของเขา
ราชวงศ์อาร์โนลต์ ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 37.7 พันล้านดอลลาร์ ก็อยู่ในรายชื่อตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเช่นกัน สมาชิกของกลุ่มนี้เป็นเจ้าของบ้านแฟชั่นฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงที่สุดหลายแห่งและบริษัทที่ผลิตสินค้าฟุ่มเฟือย LVMH ที่เป็นกิจการครอบครัว ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 ได้ขยายธุรกิจทุกปีด้วยการเข้าซื้อธุรกิจขนาดเล็กอย่างเป็นระบบ เป็นผู้นำที่มีความมั่นใจในตลาดสินค้าฟุ่มเฟือย
ราชวงศ์อเมริกันค็อกซ์มีเงินทุนมหาศาลและอยู่ในอันดับที่สิบในรายชื่อตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ปัจจุบันบริษัทในกลุ่มนี้เป็นเจ้าของสิ่งพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์หลายช่อง ครอบครัวนี้ยังเป็นเจ้าขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับการขายยานพาหนะอีกด้วย ผู้ก่อตั้งอาณาจักร Cox ซึ่งปัจจุบันมีทรัพย์สินประมาณ 34.5 พันล้านดอลลาร์ในการขายคือ James Middleton Cox เขาเริ่มต้นธุรกิจในปี 1989 โดยก่อตั้งหนังสือพิมพ์ Dayton Daily News