Tank Matilda 2 จากเกมจู่โจม รถถังทหารราบ Mk.II “Matilda II” \ A12 รถถังทหารราบ
เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ฉันมีโอกาสทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่สองรายการที่พัฒนาโดย Izhmash: AK-107 และ AK-108
ฝากล่องติดอยู่กับตัวกล่องจากด้านหลังโดยใช้คันโยก และไม่ใช่ปุ่มกลไกการคืนสินค้าตามปกติของ AK ทั้งหมด ที่ด้านหน้าของฝาครอบจะมีอุปกรณ์เล็งด้านหลัง ด้วยส่วนที่ยื่นออกมา มันจึงพอดีกับร่องบนขอบตัวรับ และด้วยเหตุนี้จึงยึดที่กำบังไว้ที่ด้านหน้า ซึ่งเป็นวิธีการที่แตกต่างจากปืนกลมาตรฐานเช่นกัน รูปทรงเรขาคณิตของหน้าต่างตัวดีดคาร์ทริดจ์ที่ใช้แล้วก็แตกต่างกันเช่นกัน: สั้นกว่าโดยมีมุมเอียงที่ด้านหลังและด้านหน้า สิ่งนี้อธิบายได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าจังหวะของชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวของ AK-107 และ AK-108 นั้นสั้นกว่าของ Kalashnikov ทั่วไป ส่งผลให้อัตราการยิงอยู่ที่ โหมดอัตโนมัติเพิ่มจาก 600 เป็น 850 และแม้แต่ 900 รอบต่อนาที จากฐานของการมองเห็นด้านหน้าไปจนถึงซับในกระบอกสูบจะมีปลอกเครื่องยนต์แก๊สรวมอยู่ด้วย ซับผู้รับ.
ปืนกลที่บรรจุกระสุนขนาด 5.45x39 (AK-107) และ 5.56x45 มม. (AK-108) ประกอบด้วยชิ้นส่วนและส่วนประกอบหลักดังต่อไปนี้: ความแตกต่างหลักและสำคัญระหว่างผลิตภัณฑ์คือการมีกลไกอัตโนมัติที่สมดุล มาดูรายละเอียดเพิ่มเติมกันดีกว่า หลักการพื้นฐานของการทำงานของปืนไรเฟิลจู่โจม AK-107 และ AK-108 คือการใช้พลังงานจากก๊าซเผาไหม้ของดินปืนเมื่อส่วนหนึ่งของก๊าซถูกส่งจากกระบอกเจาะไปยังเครื่องยนต์แก๊ส หากในเครื่องจักรมาตรฐาน ห้องแก๊สมีกระบอกสูบทำงานหนึ่งกระบอกและลูกสูบหนึ่งกระบอก แสดงว่ามีสองกระบอกสูบและลูกสูบสองตัวทำงานที่นี่ ในกรณีนี้การเคลื่อนที่ตรงกันข้ามของลูกสูบจะซิงโครไนซ์โดยใช้เกียร์ เมื่อถูกยิง แรงดันแก๊สจะทำให้ลูกสูบทั้งสองเคลื่อนไหว มวลสองก้อนได้รับแรงเฉื่อย เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้าม และไปถึงมวลเหล่านั้น จุดสูงสุดสร้างโมเมนต์เฉื่อยที่มีค่าตรงกันข้าม ซึ่งจะลดแรงถีบกลับตามกฎฟิสิกส์ ภายใต้การกระทำของแรงของกลไกการส่งคืนสปริงและอีกครั้งผ่านหน่วยซิงโครไนซ์ มวลทั้งสองจะกลับสู่ตำแหน่งเดิมพร้อมกัน แรงกระตุ้นที่เกิดขึ้นในขณะที่เคลื่อนตัวก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน จากนั้นโบลต์จะถอดคาร์ทริดจ์ถัดไปออกจากแม็กกาซีนและล็อคไว้ในห้อง ส่วนไกปืนอยู่ในตำแหน่งต่อสู้ ปืนกลยิงในสามโหมด: "AB" - การยิงอัตโนมัติ (ตำแหน่งแรกของนักแปลหลังความปลอดภัย); “ 3” - การระเบิดสั้น ๆ โดยตัดสามรอบ (ตำแหน่งตรงกลางของนักแปล) และ“ OD” - ไฟเดี่ยวผู้แปลจะอยู่ในตำแหน่งต่ำสุด หากเมื่อทำการยิงนัดเดียวและในโหมดอัตโนมัติ ไกปืนทำงานในลักษณะเดียวกับปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikov จากนั้นสำหรับการตัด "3" ส่วนฟันพิเศษจะถูกติดตั้งบนแกนของนักแปล - แครกเกอร์ - หรือเพียงแค่ " วงล้อ” ซึ่งในแต่ละนัดจากหนึ่งถึงสามนัดจะทำให้หน้าซีดโดยอัตโนมัติ ทันทีที่ยิงนัดที่สาม “วงล้อ” จะปล่อยอาการไหม้เกรียม และในทางกลับกัน จะสกัดกั้นไกปืนและกดค้างไว้จนกว่าจะกดครั้งถัดไป สิ่งกระตุ้น- เมื่อกดไกครั้งต่อไป วงจรตลับหมึกสามตลับจะถูกทำซ้ำอีกครั้ง การออกแบบนี้ให้อะไร? เพื่อประเมินสิ่งนี้ในทางปฏิบัติ คุณควรยิงมันด้วยตัวเอง แต่เชื่อคำพูดของฉัน: เครื่องใหม่ปรับปรุงความแม่นยำในการยิงจากตำแหน่งยืนที่ไม่มั่นคง 1.5 - 2.0 เท่า เมื่อเทียบกับ AK74M มาตรฐาน ข้อโต้แย้งที่น่าสนใจมาก!
เอเค-107 | เอเค-108 | |
---|---|---|
ลำกล้อง, มม.: | 5,45 | 5,56 |
ตลับหมึก: | 5.45x39 | 5.56x45 |
หลักการทำงาน: | เครื่องยนต์แก๊ส ด้วยระบบอัตโนมัติที่สมดุล |
|
อัตราการยิง รอบ/นาที | 850 - 900 | |
ความเร็วเริ่มต้น ม./วินาที: | 900 | 910 |
น้ำหนักตลับ g: | 10,2 | 12,5 |
น้ำหนักกระสุน g: | 3,42 | 4,5 |
โภชนาการ: | พลาสติกมาตรฐาน ร้านค้าขนาด 30 ที่นั่ง |
|
น้ำหนักไม่รวมแม็กกาซีน กก.: | 3,6 | |
น้ำหนักนิตยสาร (ไม่โหลด), กก.: | 0,2 | |
ความยาวเครื่อง มม.: - โดยพับก้นลง - มีก้นพับ | 943 695 |
|
ความยาวลำกล้อง mm: | 415 | |
กระโปรงหลังรถ: | ช่องและห้องชุบโครเมียม ปืนไรเฟิลทางขวา 4 กระบอกพร้อมระยะพิทช์ 200 มม. (AK-107) และ 178 มม. (AK-108) |
|
อุปกรณ์การมองเห็น: | แทนเจนต์เลื่อน มีช่องรูปตัว U - หลัง อุปกรณ์เล็ง; พินทรงกระบอก ในปลอกป้องกัน - สายตาด้านหน้า |
|
เคลือบป้องกัน: | ฟอสเฟต | |
เครื่องประดับ: | ใยสังเคราะห์สีดำ, เสริมด้วยไฟเบอร์กลาส |
ในฐานะส่วนหนึ่งของซีรีส์ AK "ที่ร้อย" นักออกแบบของ Izhevsk ได้นำงานค้างเก่าของต้นแบบมาใช้ในการดัดแปลงใหม่ ดังนั้นข้อกำหนดในการเพิ่มความแม่นยำของการยิงอัตโนมัติจึงกระตุ้นความสนใจอย่างกว้างขวางในการทำงานต่อไปเกี่ยวกับ "ระบบอัตโนมัติที่สมดุล" ด้วยเครื่องยนต์แก๊ส ซึ่งรวมถึงระบบที่พัฒนาโดย Yu. K. Aleksandrov และ V. N. Paranin (ก่อนหน้านี้ที่ Izhmash, Yu. K. Aleksandrov และ V. M. Kalashnikov พัฒนาปืนไรเฟิลจู่โจมวงจรสมดุลหลายกระบอก) ระบบนี้นำเสนอในปืนกลสองรุ่น - AK 107 สำหรับกระสุน 5.45x39 และ AK 108 สำหรับกระสุน 5.56x45
แผนการทำงานของระบบอัตโนมัติ AK-107 |
รูปแบบที่สมดุลมีจุดมุ่งหมายโดยใช้ข้อดีของระบบอัตโนมัติกับเครื่องยนต์แก๊สและจังหวะยาวของลูกสูบแก๊สเพื่อกำจัดการกระจายตัวของการชนโดยธรรมชาติเนื่องจากแรงกระตุ้นที่เกิดจากผลกระทบของก๊าซผงเข้าไปในห้องแก๊สและผลกระทบของระบบที่เคลื่อนที่ ที่จุดสุดขั้ว ก๊าซที่เป็นผงจะถูกปล่อยเข้าไปในห้องแก๊สที่มีกระบอกสูบ 2 กระบอก และกระทำต่อลูกสูบ 2 ลูกสูบที่เคลื่อนที่ตรงข้ามกัน มวลสองตัวที่จุดสุดขั้วจะสร้างโมเมนต์เฉื่อยที่มีทิศทางตรงข้ามกัน และเนื่องจากการเคลื่อนที่ของพวกมันประสานกัน แรงกระตุ้นที่เกิดขึ้นในระบบทั่วไปโดยหน่วยจ่ายก๊าซจึงถูกทำให้หมาด ๆ ภายใต้การกระทำของกลไกการคืน มวลทั้งสองจะกลับสู่ตำแหน่งเดิมพร้อมกัน ดังนั้นแรงกระตุ้นการม้วนตัวของระบบที่กำลังเคลื่อนที่จึงถูกทำให้หมาด ๆ อย่างมากเช่นกัน เป็นผลให้ความแม่นยำในการยิงระเบิดจากตำแหน่งที่ไม่เสถียรของ AK 107 นั้นเกิน AK 74-M 1.5-2 เท่า
ความยาวช่วงชักของระบบอัตโนมัติเคลื่อนที่นั้นน้อยกว่าปืนกล "คลาสสิก" (และระบบ Kalashnikov ถือเป็นแบบคลาสสิก) และสิ่งนี้จะลดระยะเวลาของวงจรอัตโนมัติและเพิ่มอัตราการยิงจาก 600 เป็น 850- 900 รอบ/นาที รูปทรงของหน้าต่างมีการเปลี่ยนแปลง ผู้รับ» การยึดฝาครอบตัวรับสัญญาณและสายตา การมองเห็นเซกเตอร์ถูกติดตั้งที่ด้านหน้าของฝาครอบและยึดฝาครอบไว้กับร่องบนซับตัวรับ จากฐานของการมองเห็นด้านหน้าไปจนถึงซับในถังบรรจุจะมีปลอกเครื่องยนต์แก๊ส (ท่อแก๊ส) ซึ่งรวมเข้ากับซับในถัง
ปืนไรเฟิลจู่โจม AK 107 ในการถอดชิ้นส่วนบางส่วน: 1 - ลำกล้องพร้อมตัวรับพร้อมกลไกไกปืน, อุปกรณ์เล็ง, ก้นและด้ามปืนพก;
2 - ชัตเตอร์;
โครงโบลต์ 3 อันพร้อมลูกสูบแก๊ส
4 - ถ่วง;
5 - กลไกการคืน; 6 - ท่อแก๊สพร้อมซับในตัวรับ; 7 - ฝาครอบตัวรับพร้อมสายตา; 8 - นิตยสารที่มีความจุ 60 รอบกลไกไกปืนอนุญาตให้ทำการยิงได้สามประเภทตามที่กำหนด: "AB" - การยิงอัตโนมัติ, "3" - การระเบิดคงที่พร้อมการตัดสามรอบ, "OD" - การยิงครั้งเดียว |
||
ความเร็วกระสุนเริ่มต้น m/s
อัตราการยิง รอบ/นาที
อัตราการยิงต่อสู้
, รอบ/นาที
ระยะการมองเห็น
, ม
ความจุนิตยสาร, ตลับหมึก
ปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikov พร้อมระบบอัตโนมัติที่สมดุล AK-107 / AK-108 (รัสเซีย)
ปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikov พร้อมระบบอัตโนมัติที่สมดุล AK-107
ปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikov พร้อมระบบอัตโนมัติที่สมดุล AK-107 การถอดแยกชิ้นส่วนที่ไม่สมบูรณ์
แผนการทำงานของระบบอัตโนมัติที่สมดุล ลำกล้อง: 5.45x39 มม. (5.56 มม. NATO สำหรับ AK108)ความยาว: รวม: 943 มม.; พร้อมสต็อกพับ 700 มม ความยาวลำกล้อง: 415 มม AL-4 (พัฒนาในช่วงปลายทศวรรษ 1960) และ AL-7 (พัฒนาในภายหลัง) ปืนไรเฟิลจู่โจมทั้งสองนี้มีความโดดเด่นด้วยระบบอัตโนมัติที่เรียกว่า "สมดุล" ซึ่งมีแนวคิดคล้ายกับที่ใช้ในปืนไรเฟิลจู่โจม AEK-971 ของ Kovrovsky โรงงานเครื่องจักรกล- ระบบอัตโนมัติดังกล่าวสามารถปรับปรุงลักษณะของอาวุธได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อทำการยิงระเบิดทุกความยาวเมื่อเปรียบเทียบกับปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikov แบบดั้งเดิมบนพื้นฐานของการพัฒนาทั้ง AL-4 และ AL-7 และ AK-107/108 ในความเป็นจริงความแตกต่างที่สำคัญระหว่างปืนไรเฟิลจู่โจม AK-107 5.45 มม. และปืนไรเฟิลจู่โจม AK-108 5.56 มม. ของ NATO จากปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikov AK-74M และ AK-101 ตามลำดับคือการออกแบบดัดแปลงของระบบอัตโนมัติซึ่งได้รับวินาที ลูกสูบแก๊สที่มีตัวถ่วงติดตั้งอยู่บนแกนและอุปกรณ์ซิงโครไนซ์ที่อยู่ระหว่างโครงโบลต์กับบาลานเซอร์ มีความแตกต่างอื่น ๆ อีกหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกแบบที่ได้รับการดัดแปลงเพื่อยึดฝาครอบตัวรับ แต่มีความสำคัญน้อยกว่า
แนวคิดหลักของระบบอัตโนมัติที่สมดุลคือการหดตัวของอาวุธเมื่อทำการยิงประกอบด้วยแรงกระตุ้นจำนวนหนึ่ง ในจำนวนนี้ ครั้งแรกคือแรงกระตุ้นจากการยิง ซึ่งได้รับจากอาวุธในขณะที่สลักเกลียวยังล็อคอยู่ ตามด้วยแรงกระตุ้นเพิ่มเติมเมื่อกลุ่มโบลต์ชนทันทีที่มาถึงตำแหน่งด้านหลัง และสุดท้าย - แรงกระตุ้นที่มีทิศทางตรงกันข้ามเมื่อกลุ่มโบลต์มาถึงตำแหน่งไปข้างหน้าสุดขั้วหลังจากเสร็จสิ้นรอบการบรรจุซ้ำ และหากการหดตัวจากการยิงนั้นสามารถลดลงได้บ้างด้วยความช่วยเหลือของเบรกปากกระบอกปืนที่มีประสิทธิภาพ แรงกระตุ้นที่สำคัญจากการชนกันของกลุ่มโบลต์กับตัวรับในตำแหน่งด้านหลังและด้านหน้าจะยากต่อการดับลง และพวกมันก็แนะนำ การรบกวนตำแหน่งของอาวุธค่อนข้างรุนแรงเมื่อทำการยิงทำให้ความแม่นยำในการยิงแย่ลง เพื่อกำจัดแรงกระตุ้นเหล่านี้จึงมีการนำ "บาลานเซอร์" เพิ่มเติมเข้ามาในการออกแบบอาวุธโดยเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับการเคลื่อนที่ของกลุ่มโบลต์ ในกรณีนี้มวลของบาลานเซอร์จะเท่ากับมวลของกลุ่มโบลต์และความเร็วในการเคลื่อนที่เนื่องจากการมีอยู่ในการออกแบบซิงโครไนเซอร์ในรูปแบบของล้อเฟืองธรรมดา (เกียร์) มีขนาดเท่ากันและ มีค่าตรงกันข้าม ดังนั้นแรงกระตุ้นของกลุ่มโบลต์และตัวปรับสมดุลมีขนาดเท่ากันและมีเครื่องหมายตรงกันข้าม ดังนั้นแรงกระตุ้นทั้งหมดจะเท่ากับศูนย์ ในตำแหน่งสุดขั้วของกลุ่มที่เคลื่อนที่ได้ องค์ประกอบของมันจะไม่ได้ชนกับองค์ประกอบที่อยู่กับที่ของอาวุธ แต่จะชนกัน ซึ่งจะยกเลิกแรงกระตุ้นซึ่งกันและกัน ซึ่งใน อาวุธธรรมดาถูกส่งไปยังร่างกายและไปยังมือปืนในรูปแบบของส่วนประกอบการหดตัวเพิ่มเติม ผลลัพธ์ของการใช้การออกแบบนี้คือเมื่อทำการยิงเป็นชุด อาวุธโดยรวมและผู้ยิงจะได้รับผลกระทบจริง ๆ จากแรงกระตุ้นการหดตัวที่เกิดจากการยิงเองเท่านั้น (แรงกระตุ้นทั้งหมดของกระสุนและก๊าซผง) ยิ่งไปกว่านั้นคือ ลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ เบรกปากกระบอกปืนซึ่งปรับปรุงความแม่นยำของการยิงในโหมดอัตโนมัติอย่างมาก จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ผลของการใช้รูปแบบดังกล่าวทำให้สามารถปรับปรุงความแม่นยำระหว่างการยิงระเบิดได้ 1.5 - 2 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับปืนไรเฟิลจู่โจม AK-74M ในขณะเดียวกัน การออกแบบอาวุธก็ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับอาวุธที่ใช้วงจรอัตโนมัติติดปืนเพื่อปรับปรุงความแม่นยำในการยิง (เช่น ปืนไรเฟิลจู่โจม Nikonov AN-94)
ลักษณะที่ปรากฏของอาวุธที่มีระบบอัตโนมัติที่สมดุลซึ่งมีท่อลูกสูบก๊าซที่ยาวไปข้างหน้าอย่างมากนั้นถูกกำหนดอย่างแม่นยำโดยความจำเป็นในการซ่อนบาลานเซอร์ไว้ในนั้นซึ่งเคลื่อนที่ไปมาตรงข้ามกับกลุ่มโบลต์
ปืนไรเฟิลจู่โจม AK-107 และ AK-108 แตกต่างกันเฉพาะในกระสุนที่ใช้เท่านั้น ระบบอัตโนมัติถูกสร้างขึ้นตามระบบไอเสียของแก๊สที่มีจังหวะยาวของลูกสูบแก๊สและตัวปรับสมดุลเพิ่มเติมซึ่งมีลูกสูบแก๊สตัวที่สองเคลื่อนที่ในทิศทางตรงกันข้ามกับทิศทางหลัก การซิงโครไนซ์เฟรมโบลต์และบาลานเซอร์ทำได้โดยใช้เฟืองที่อยู่ในแนวตั้งระหว่างกัน นอกจากนี้ ยังมีการนำชิ้นส่วนดั้งเดิมมาใช้ในการออกแบบเพื่อป้องกันไม่ให้ชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวดีดกลับเมื่อถึงตำแหน่งสุดขั้วซึ่งสอดคล้องกับตำแหน่งไปข้างหน้าของโครงโบลต์ (เมื่อสิ้นสุดรอบการบรรจุซ้ำ) ลำกล้องถูกล็อคโดยใช้สลักเกลียวแบบหมุนได้ ซึ่งมีการออกแบบคล้ายกับสลักเกลียวของปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikov AK-74
การออกแบบนี้มีสปริงส่งคืนสองตัว - อันหนึ่งอยู่ในตำแหน่งปกติระหว่างผนังด้านหลังของตัวรับและโครงโบลต์ และอันที่สองอยู่ระหว่างเฟรมโบลต์กับบาลานเซอร์ และถูกบีบอัดระหว่างสปริงทั้งสองเมื่อเปิดโบลต์
กลไกการเหนี่ยวไกโดยทั่วไปจะคล้ายคลึงกับปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikov AK-74 แต่มีการเพิ่มโหมดการยิงเพิ่มเติมด้วยการตัดการยิงต่อเนื่อง 3 นัด ตัวแปลความปลอดภัยของโหมดไฟยังเป็นแบบดั้งเดิม "Kalashnikovsky" แต่ไม่มี 3 แต่มี 4 ตำแหน่ง: ความปลอดภัย - การยิงอัตโนมัติ ("AB") - ระเบิด 3 รอบ ("3") - นัดเดียว ("OD") .
อุปกรณ์พลาสติกสีดำ สต็อกแบบพับได้ และช่องมองแบบเปิดยืมมาจากปืนไรเฟิลจู่โจม AK-74M
AL-4 ได้รับการพัฒนาในช่วงปลายทศวรรษที่ 60 หลายปีก่อน AK-74
ลำกล้องและสลักเกลียวของรุ่นนี้ถูกยืมมาระหว่างการพัฒนา AK-74
ผู้เขียนการพัฒนานี้ Yuri Konstantinovich Alexandrov และ Valery Nikolaevich Paranin ได้แนะนำรายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติการออกแบบของเครื่องจักร จริงๆ แล้ว ตัวอย่างเหล่านี้เป็นเวอร์ชันหนึ่งของการออกแบบก่อนหน้านี้ของ Alexandrov ซึ่ง "ติดตั้ง" เข้ากับส่วนควบของปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikov พูดตามตรงฉันคุ้นเคยกับโมเดล Alexandrov AL-4 และ AL-7 อยู่แล้ว แต่ฉันเห็นปืนไรเฟิลจู่โจม Alexandrov-Kalashnikov เป็นครั้งแรก
AL-7 เป็นหนึ่งเดียวกับปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikov มากที่สุด ภายนอกมีความแตกต่างจากการมีโครงเครื่องยนต์แก๊สและการออกแบบฝากล่อง
แม้จะมองด้วยตาเปล่าก็สังเกตได้ว่าตัวอย่างเหล่านี้มีลักษณะคล้ายกับ AK74M พี่ชายของพวกเขามากเพียงใด แต่นี่เป็นเพียงความคล้ายคลึงเพียงผิวเผินเท่านั้น ในแง่ของการออกแบบและหลักการทำงานของระบบอัตโนมัติ นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่อย่างแท้จริง
ฝากล่องติดอยู่กับตัวกล่องจากด้านหลังโดยใช้คันโยก แทนที่จะเป็นกลไกการคืนตามปกติสำหรับ AK ทั้งหมด ที่ด้านหน้าของฝาครอบจะมีอุปกรณ์เล็งด้านหลัง ด้วยความที่ยื่นออกมาจึงพอดีกับร่องบน
AL-7: การถอดชิ้นส่วนที่ไม่สมบูรณ์
แผ่นรับและยึดฝาครอบไว้ที่ด้านหน้า - วิธีการนี้ยังแตกต่างจากปืนกลมาตรฐานอีกด้วย รูปทรงเรขาคณิตของหน้าต่างตัวดีดคาร์ทริดจ์ที่ใช้แล้วก็แตกต่างกันเช่นกัน: สั้นกว่าโดยมีมุมเอียงที่ด้านหลังและด้านหน้า สิ่งนี้อธิบายได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าจังหวะของชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวของ AK-107 และ AK-108 นั้นสั้นกว่าของ Kalashnikov ทั่วไป เป็นผลให้อัตราการยิงในโหมดอัตโนมัติเพิ่มขึ้นจาก 600 เป็น 850 และแม้กระทั่ง 900 รอบต่อนาที จากฐานของการมองเห็นด้านหน้าไปจนถึงซับในถังบรรจุจะมีปลอกเครื่องยนต์แก๊สซึ่งรวมเข้ากับซับในถัง
ปืนกลที่บรรจุกระสุนขนาด 5.45x39 (AK-107) และ 5.56x45 มม. (AK-108) ประกอบด้วยชิ้นส่วนและส่วนประกอบหลักดังต่อไปนี้:
AK-107/108: ชุดประกอบหน่วยซิงโครไนซ์
* ฝาปิดกล่องทำจากเหล็กแผ่น หนา 0.7 มม.
* ห้องแก๊สพร้อมโครงเหล็ก
* แถบด้านบนพร้อมลูกสูบ ซิงโครไนซ์เกียร์และกลไกการคืน
* โครงโบลต์พร้อมแถบด้านล่างและลูกสูบแก๊สตัวที่สอง
* กลไกการคืนของกลุ่มโบลต์
* ชัตเตอร์;
* กระบอกพร้อมซับ;
* หุ้นที่มีซับในถัง;
* กลไกทริกเกอร์
* เก็บ.
ความแตกต่างหลักและสำคัญระหว่างผลิตภัณฑ์คือการมีกลไกอัตโนมัติที่สมดุล มาดูรายละเอียดเพิ่มเติมกันดีกว่า
โหนดการซิงโครไนซ์:
(a) แถบด้านบนพร้อมเฟืองและสปริงกลับ;
(b) เฟรมพร้อมแถบด้านล่างและลูกสูบ
หลักการพื้นฐานของการทำงานของปืนไรเฟิลจู่โจม AK-107 และ AK-108 คือการใช้พลังงานจากก๊าซเผาไหม้ของดินปืนเมื่อส่วนหนึ่งของก๊าซถูกส่งจากกระบอกเจาะไปยังเครื่องยนต์แก๊ส หากในเครื่องจักรมาตรฐาน ห้องแก๊สมีกระบอกสูบทำงานหนึ่งกระบอกและลูกสูบหนึ่งกระบอก แสดงว่ามีสองกระบอกสูบและลูกสูบสองตัวทำงานที่นี่ ในกรณีนี้การเคลื่อนที่ตรงกันข้ามของลูกสูบจะซิงโครไนซ์โดยใช้เกียร์
เมื่อถูกยิง แรงดันแก๊สจะทำให้ลูกสูบทั้งสองเคลื่อนไหว มวลสองก้อนได้รับความเฉื่อยเคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามและเมื่อถึงจุดสุดขั้วจะสร้างช่วงเวลาเฉื่อยที่มีค่าตรงกันข้ามซึ่งตามกฎของฟิสิกส์จะช่วยลดแรงหดตัว ภายใต้การกระทำของแรงของกลไกการส่งคืนสปริงและอีกครั้งผ่านหน่วยซิงโครไนซ์ มวลทั้งสองจะกลับสู่ตำแหน่งเดิมพร้อมกัน แรงกระตุ้นที่เกิดขึ้นในขณะที่เคลื่อนตัวก็ลดลงอย่างมากเช่นกัน จากนั้นโบลต์จะถอดคาร์ทริดจ์ถัดไปออกจากแม็กกาซีนและล็อคไว้ในห้อง ส่วนไกปืนอยู่ในตำแหน่งต่อสู้
เครื่องสล็อต
AK-107 พร้อมชุดอุปกรณ์เสริม ได้แก่ ดาบปลายปืน เครื่องมือสำหรับ การถอดแยกชิ้นส่วนที่ไม่สมบูรณ์และงานทำความสะอาด ก้านทำความสะอาด น้ำมัน
พวกเขาถ่ายภาพในสามโหมด: "AB" - การยิงอัตโนมัติ (ตำแหน่งแรกของนักแปลหลังความปลอดภัย); “ 3” - การระเบิดสั้น ๆ โดยตัดสามรอบ (ตำแหน่งตรงกลางของนักแปล) และ“ OD” - ไฟเดี่ยวผู้แปลจะอยู่ในตำแหน่งต่ำสุด หากเมื่อทำการยิงนัดเดียวและในโหมดอัตโนมัติ ไกปืนทำงานในลักษณะเดียวกับปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikov จากนั้นสำหรับการตัด "3" ส่วนฟันพิเศษจะถูกติดตั้งบนแกนของนักแปล - แครกเกอร์ - หรือเพียงแค่ " วงล้อ” ซึ่งในแต่ละนัดจากหนึ่งถึงสามนัดจะทำให้หน้าซีดโดยอัตโนมัติ ทันทีที่ยิงนัดที่สาม “วงล้อ” จะปล่อยอาการไหม้เกรียม ในทางกลับกัน จะสกัดกั้นไกปืนและกดค้างไว้จนกว่าจะกดไกปืนอีกครั้ง เมื่อกดไกครั้งต่อไป วงจรตลับหมึกสามตลับจะถูกทำซ้ำอีกครั้ง
การออกแบบนี้ให้อะไร?
AK-108: วิธีการติดฝาครอบตัวรับสัญญาณโดยใช้คันโยก
เพื่อประเมินสิ่งนี้ในทางปฏิบัติ แน่นอนว่าคุณควรยิงตัวเอง แต่เชื่อคำพูดของฉัน: ปืนกลใหม่ปรับปรุงความแม่นยำในการยิงจากตำแหน่งยืนที่ไม่มั่นคง 1.5 - 2.0 เท่าเมื่อเทียบกับ AK74M มาตรฐาน ข้อโต้แย้งที่น่าสนใจมาก!
ลักษณะทางยุทธวิธีและทางเทคนิค
เอเค-107 เอเค-108
ความสามารถ มม.: 5.45 5.56
ตลับหมึก: 5.45x39 5.56x45
หลักการทำงาน: เครื่องยนต์แก๊สพร้อมระบบอัตโนมัติที่สมดุล
อัตราการยิง นัด/นาที 850 - 900
ความเร็วเริ่มต้น ม./วินาที: 900 910
น้ำหนักตลับ g: 10.2 12.5
น้ำหนักกระสุน g: 3.42 4.5
อาหาร: นิตยสารพลาสติกขนาดมาตรฐาน 30 ที่นั่ง
น้ำหนักไม่รวมแม็กกาซีน กก.: 3.6
น้ำหนักนิตยสาร
(ขนถ่าย) กก.: 0.2
ความยาวเครื่อง มม.:
โดยพับก้นลง 943
พร้อมสต๊อกพับ 695
ความยาวลำกล้อง mm: 415
ลำกล้อง: เจาะและห้องชุบโครเมียม มีปืนไรเฟิลขวา 4 กระบอก ระยะพิทช์ 200 มม. (AK-107) และ 178 มม. (AK-108)
อุปกรณ์เล็ง: เลื่อนแทนเจนต์พร้อมช่องรูปตัวยู - อุปกรณ์เล็งด้านหลัง หมุดทรงกระบอกในปลอกป้องกัน - ภาพด้านหน้า
เคลือบป้องกัน: ฟอสเฟต
107 เช่นเดียวกับอะนาล็อกภายใต้ดัชนี 108 และ 109 ได้รับการออกแบบโดยวิศวกร Alexandrov และ Paranin ซึ่งเป็นพนักงานขององค์กร Izhmash หน่วยนี้เป็นของซีรีส์ที่ 100 ของ Kalashnikovs รุ่นต่างๆ จะแตกต่างกันเฉพาะในค่าใช้จ่ายที่ใช้ คุณสมบัติหลักของหน่วยรบคือการใช้ระบบอัตโนมัติที่สมดุล
ลักษณะเฉพาะ
การใช้ระบบอัตโนมัติแบบพิเศษทำให้สามารถลดการหดตัวและการสั่นสะเทือนของอาวุธระหว่างการยิงได้อย่างมาก สิ่งนี้ส่งผลต่อการยิงต่อเนื่องเป็นพิเศษ ทำให้เล็งได้ดีขึ้นและแม่นยำในการยิงเป้า
โซลูชันดังกล่าวถูกนำไปใช้กับต้นแบบ AL ซึ่งการพัฒนาได้ดำเนินการในช่วงทศวรรษที่ 60-70 ของศตวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามสำเนาเหล่านี้ไม่ได้ไป การผลิตแบบอนุกรมเนื่องจากมีข้อบกพร่องเช่น: การปนเปื้อนอย่างหนัก, อายุการใช้งานสั้นของชิ้นส่วนจำนวนหนึ่งและการเปิดฝาครอบตัวรับสัญญาณโดยธรรมชาติเมื่อทำการยิง
ความทันสมัย
มีการใช้ระบบอัตโนมัติประเภทเดียวกันในปืน AEK-971 ซึ่งได้รับการพัฒนาที่โรงงาน Kovrov ปืนไรเฟิลจู่โจม AK 107 แตกต่างจากรุ่นนี้ตรงที่องค์ประกอบที่ทันสมัยจำนวนหนึ่งรวมอยู่ในการออกแบบ ในหมู่พวกเขา: ลูกสูบก๊าซเพิ่มเติม, ก้านที่มีน้ำหนักถ่วง, อุปกรณ์ซิงโครไนซ์ (วางไว้ระหว่างส่วนสลักเกลียวและบาลานเซอร์) นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงเล็กๆ น้อยๆ หลายประการ เช่น การแก้ไขการยึดฝาครอบตัวรับ
ปืนไรเฟิลจู่โจม AK 107 ที่ทันสมัยได้รับการปรับปรุงเล็กน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปืนไรเฟิลจู่โจมแบบอื่นๆ ภายนอกปืนมีความโดดเด่นด้วยขนาดที่ยาวของลูกสูบก๊าซและปลอกซึ่งรวมเข้ากับซับในลำกล้องเพื่อปิดบังบาลานเซอร์
สมดุลอัตโนมัติ
ต้องขอบคุณระบบที่เป็นปัญหา ปืนไรเฟิลจู่โจม AK 107 สามารถดูดซับแรงกระตุ้นบางส่วนระหว่างการหดตัวของปืน ปัจจัยนี้รวมถึงอิทธิพลที่ซับซ้อนหลายประการ ในหมู่พวกเขา:
- แรงกระตุ้นหลังจากยิงออกไป เกิดขึ้นขณะปิดชัตเตอร์
- จากนั้นชุดโบลต์จะถูกดึงกลับและวางชิดกับด้านหลังของกล่องถังซึ่งกระตุ้นให้เกิดแรงกระตุ้นอีกครั้ง
- การดำเนินการขั้นสุดท้ายจะดำเนินการเนื่องจากการจ่ายพัลส์ที่มีทิศทางตรงข้ามเมื่อชัตเตอร์ถูกย้ายไปยังตำแหน่งขวาสุดในระหว่างรอบการชาร์จขั้นสุดท้าย
การหดตัวของการยิงจากปืนไรเฟิลจู่โจม AK 107/108/109 ลดลงเนื่องจากการใช้ระบบชดเชยปากกระบอกปืนที่มีประสิทธิภาพพร้อมระบบเบรก การป้อนพัลส์ที่เหลือมีการกำหนดค่าการหน่วงที่ซับซ้อนมากขึ้น เพื่อจุดประสงค์นี้ จะใช้บาลานเซอร์อัตโนมัติพร้อมอะนาล็อกเพิ่มเติม ซึ่งจะเคลื่อนที่ไปพร้อมกับกลไกโบลต์ในทิศทางตรงกันข้าม น้ำหนักของอุปกรณ์ปรับสมดุลและกลุ่มโบลต์จะเท่ากันเช่นเดียวกับความเร็วที่ได้รับจากซิงโครไนเซอร์ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในทิศทางตรงกันข้ามของโหนดที่สัมพันธ์กัน
ปืนไรเฟิลจู่โจม AK 107: ลักษณะรูปถ่าย
ด้านล่างนี้เป็นรูปถ่ายของอาวุธที่เป็นปัญหา รวมถึงพารามิเตอร์ทางเทคนิคหลัก:
- ประเภทลำกล้อง (ดัดแปลง 107/108/109) - 39/45/39 มม.
- หลักการทำงานคือชัตเตอร์หมุนและระบบอัตโนมัติที่สมดุล
- ความยาวหลักของลำกล้องคือ 415 มม.
- น้ำหนักลด - 4.2/4.3 กก.
- ระยะการยิงเป้าหมาย - 1 กม.
- อัตราการยิง (ต่อเนื่อง/นัดเดียว) - 120/40 หน่วยต่อนาที
- ความเร็วเริ่มต้นของกระสุนคือ 900/750 เมตรต่อวินาที
- ความจุนิตยสาร - 30 รอบ
ลักษณะเปรียบเทียบ
AK 107 เป็นเครื่องจักรอัตโนมัติที่ใช้แรงกระตุ้นจากชุดปรับสมดุลและชัตเตอร์ ซึ่งทำให้การไหลตรงกันข้ามทั้งหมดเท่ากับศูนย์ อะไหล่ กลุ่มที่ใช้งานอยู่เมื่อไปถึงตำแหน่งบนสุดเนื่องจากการเคลื่อนไหวของพวกเขาเอง พวกมันจะส่งทิศทางการกระแทกไปยังองค์ประกอบที่อยู่นิ่งของปืน หลังจากนั้นแรงกระตุ้นจะถูกถ่ายโอนไปยังมือปืนและร่างกาย ปะทะกันก็หักล้างกัน
เมื่อทำการยิงเป็นชุดจากปืนไรเฟิลจู่โจม AK 107 อาวุธจะหดตัวเนื่องจากการระดมยิงเพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกัน DTK ก็ลดลงอย่างมากซึ่งจะเพิ่มความแม่นยำของการยิงตามลำดับความสำคัญโดยไม่คำนึงถึงอัตราการยิง การเคลื่อนไหวขององค์ประกอบที่เคลื่อนไหวของระบบอัตโนมัติจะลดลงเมื่อเทียบกับรุ่นคลาสสิกของ Kalashnikov การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้สามารถเพิ่มอัตราการยิงเป็น 900 กระสุนต่อนาที
ปืนไรเฟิลจู่โจม AK 107: คำอธิบาย
การออกแบบตัวปืนประกอบด้วยสปริงแบบคืนกลับคู่หนึ่ง หนึ่งในนั้นตั้งอยู่ระหว่างโครงโบลต์และด้านหลังของตัวรับ องค์ประกอบที่สองตั้งอยู่ระหว่างบาลานเซอร์และชัตเตอร์ ซึ่งจะบีบอัดชุดประกอบระหว่างการเปิด
กลไกทริกเกอร์เหมือนกับอะนาล็อกพื้นฐานที่ใช้กับ AK นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชั่นการยิงเป็นชุดสามนัด ฟิวส์ถ่ายโอนไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันถูกปรับสำหรับความเป็นไปได้ในการยิงเป็นชุดระยะสั้นเท่านั้น ข้อต่อพลาสติกสีดำและฐานพับด้านข้าง รวมถึงอุปกรณ์เล็งแบบปรับได้นั้นเหมือนกับรุ่นดัดแปลงของ AKM-74 ฟังก์ชั่นเพิ่มเติมประกอบด้วย: การมองเห็นกลางคืนหรือจุดสีแดง, ดาบปลายปืน,
107 มาพร้อมกับตัวล็อคที่เชื่อถือได้สำหรับฝาครอบสายตาและตัวรับสัญญาณ ใน การปรับเปลี่ยนใหม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเรขาคณิตของโหนดนี้ การมองเห็นเซกเตอร์ได้รับการติดตั้งที่ขอบด้านหน้าของกระบอกปืนและเชื่อมต่อกับร่องของซับเพื่อให้ยึดฝาครอบเพิ่มเติม
อัปเดต
แล้วในปี 2554 องค์กร Izhmash นำเสนอต่อสาธารณชน ตัวอย่างใหม่- ปืนไรเฟิลจู่โจม AK 107 ซึ่งติดตั้งราง Picatinny ทำให้การติดตั้งรวดเร็วและสะดวกยิ่งขึ้นมาก ประเภทต่างๆสถานที่ท่องเที่ยว ในเวลาเดียวกัน กล้องด้านหลังรูปตัว U มาตรฐานจะถูกแทนที่ด้วยรุ่นที่มีไดออปเตอร์แบบปรับได้ ผู้ออกแบบวางโหนดไว้บนนั้น พื้นผิวด้านหลังฝาปิดกล่องบาร์เรล นอกจากนี้ยังพัฒนานิตยสารกล่องดัดแปลงสี่แถวที่มีความจุ 60 การชาร์จ
การถอดชิ้นส่วน
ด้านล่างนี้คือภาพถ่ายปืนที่เป็นปัญหาพร้อมคำอธิบายประกอบ
- ตัวรับพร้อมลำกล้อง ก้น และกลไกการมองเห็น
- ส่วนกลอน.
- โครงโบลท์พร้อมลูกสูบแบบแก๊ส
- ถ่วง
- กลไกประเภทส่งคืน
- ท่อแก๊สและซับถัง
- ฝาครอบตัวรับพร้อมสายตา
- คลิป60รอบ.
การยิงอัตโนมัติถูกกำหนดโดยตัวย่อ "AB" การยิงสามนัดคือ "3" การยิงครั้งเดียวคือ "OD"
การปรับเปลี่ยน
ปืนไรเฟิลจู่โจม AK 107 ซึ่งมีลักษณะตามที่กล่าวไว้ข้างต้นรวมถึงอะนาล็อกที่มีหมายเลข 108 และ 109 นั้นแตกต่างกันเฉพาะในประเภทของคาร์ทริดจ์ที่ใช้เท่านั้น ระบบอัตโนมัติแบบพิเศษทำงานโดยใช้จังหวะของเครื่องยนต์แก๊สพร้อมการเคลื่อนที่ที่เพิ่มขึ้นขององค์ประกอบและบาลานเซอร์ซึ่งติดตั้งลูกสูบก๊าซแต่ละตัวที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางตรงกันข้ามจากองค์ประกอบหลัก บาลานเซอร์จะซิงโครไนซ์กับเฟรมชัตเตอร์ผ่านเฟืองซึ่งอยู่ในแนวตั้งรวมกันกับมัน การดีดกลับของชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวของปืนนั้นมั่นใจได้ด้วยชิ้นส่วนพิเศษ คลองลำกล้องถูกปิดตามหลักการของอาการท้องผูกเหมือนกับการดัดแปลง AK-74
บรรทัดล่าง
ในซีรีส์ AK "ที่ร้อย" นักพัฒนาจาก Izhevsk ได้รวบรวมโมเดลใหม่ (AK 107/108/109) ที่ดีที่สุดจากรุ่นเก่าและโซลูชันที่เป็นนวัตกรรม การปรับปรุงใหม่ทำให้สามารถเพิ่มความแม่นยำในการยิง ความแม่นยำในการตี และยังลดผลกระทบจากการหดตัวอีกด้วย ผลลัพธ์ที่ได้คืออาวุธอัตโนมัติซึ่งเริ่มเป็นที่ต้องการไม่เพียงแต่ในเท่านั้น กองทัพแห่งชาติแต่ยังมาจากพันธมิตรต่างประเทศอย่างเป็นทางการด้วย
การแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ: รถถังทหารราบเอ็มเค.ทู
การกำหนดทางเลือก: "Matilda", "Matilda II", A12
เริ่มออกแบบ: 1937
วันที่สร้างต้นแบบแรก: พ.ศ. 2481
ขั้นตอนความสำเร็จของงาน: สร้างสำเนา 2890 (2897) ชุด
มีตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์ของการสร้างรถถังเมื่อใด เครื่องต่อสู้ที่นำมาให้บริการภายในระยะเวลาที่กำหนดก็ล้าสมัยภายในไม่กี่อย่าง ปีหน้าและถูกถอดออกจากราชการโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันสำคัญแก่กองทัพ แต่ก็มีสถานการณ์ที่ตรงกันข้ามเช่นกันเมื่อรถถังหรือในช่วงเวลาสั้น ๆ ของการให้บริการ ปืนขับเคลื่อนด้วยตนเองได้รับชื่อเสียงที่ดีและอาชีพของพวกเขาเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่สดใสและสำคัญ หนึ่งในรถถังที่ "สมควร" เหล่านี้คือ British A12 "Matilda" โดยไม่ต้องพูดเกินจริง
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2479 เมื่อรถถังทหารราบ A11 Matilda เพิ่งเริ่มเข้าประจำการกับ Royal Armoured Corps ผู้เชี่ยวชาญทางการทหารส่วนใหญ่เห็นด้วยกับความแตกต่างระหว่างเกราะอันทรงพลังกับอาวุธที่อ่อนแอโดยสิ้นเชิง งานด้านเทคนิคใหม่ที่มอบให้กับวิศวกรของ Vickers นั้นเกี่ยวข้องกับการพัฒนาส่วนดัดแปลงใหม่ที่ติดตั้งปืน 2 ปอนด์และปืนกลร่วมแกน 7.71 มม. ดังนั้นจึงมีการเพิ่มลูกเรือคนที่สาม (ตัวโหลด) ซึ่งกำหนดไว้ล่วงหน้าว่ามีป้อมปืนสองคน ความเร็วสูงสุดความเร็วของรถถังถูกกำหนดไว้ที่ 15 ไมล์ต่อชั่วโมง (24 กม./ชม.) และน้ำหนักไม่ควรเกิน 14 “ยาว” ตัน
การประเมินเบื้องต้นของข้อกำหนดทางเทคนิคที่ได้รับแสดงให้เห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิบัติตามทุกประเด็นในเอกสารนี้ การติดตั้งเท่านั้น หอคอยใหม่จาก 2 ปืนปอนด์เพิ่มน้ำหนักรถถังจาก 11.12 เป็น 13 ตัน และสิ่งนี้ไม่มี อุปกรณ์เพิ่มเติมและกระสุน นอกจากนี้ ตัวถังแคบของ Matilda รุ่นแรกไม่เอื้อต่อความสะดวกของลูกเรือสามคนและการติดตั้งเครื่องยนต์ที่ทรงพลังและใหญ่กว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แม้ว่าจะถึงน้ำหนักการออกแบบก็ตาม
จากการคำนวณที่นำเสนอ คณะกรรมการได้เสนอข้อกำหนดใหม่ซึ่งมีพื้นฐานมาจากเกราะ 60 มม. และตะแกรงด้านข้างที่ครอบคลุมส่วนประกอบของแชสซีเกือบทั้งหมด อาวุธยุทโธปกรณ์ยังคงเหมือนเดิม แม้ว่าในตอนแรกจะมีแนวคิดที่จะติดตั้งปืนกลร่วมแกนสองกระบอกให้กับรถถังก็ตาม นอกจากนี้ ถังยังต้องติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล AEC เชิงพาณิชย์ด้วย
วิศวกรจากคลังแสงวูลวิช (โรงงานอาวุธยุทโธปกรณ์) ได้ทำการพัฒนารถถังทหารราบใหม่และตัดสินใจที่จะใช้เป็นพื้นฐาน รถถังกลาง- รถต้นแบบได้รับการทดสอบในปี พ.ศ. 2474-2480 แต่ถูกปฏิเสธโดย RAC เนื่องจากความไม่เพียงพอทางเทคนิค จากต้นแบบทั้งสามรุ่น ที่ทันสมัยที่สุดคือ A7E3 ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของ Matilda ตัวที่สอง จาก ของรถถังคันนี้ยืมตัวถังและติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล 2 เครื่อง อย่างไรก็ตาม ตัวถังและป้อมปืนต้องได้รับการออกแบบตั้งแต่เริ่มต้น
โครงการที่เสนอนี้ได้รับการชื่นชมอย่างดีจากกรมทหาร และในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2479 ก็มีคำสั่งให้สร้างแบบจำลองไม้ขนาดเต็มและต้นแบบสองแบบที่ทำจากเหล็กไม่มีเกราะ แผนผังได้รับการตรวจสอบในเดือนเมษายน พ.ศ. 2480 เมื่อรถถังได้รับดัชนีแล้ว A12E1และชื่อเรื่อง “มาทิลด้ารุ่นพี่”- คณะกรรมการจำลองพอใจกับงานที่ทำเสร็จ แต่หลังจากการปรึกษาหารือกับผู้พัฒนาหลายครั้ง ก็ตัดสินใจวางแผนการติดตั้งปืนครกขนาด 3 นิ้ว (คล้ายกับการปรับเปลี่ยน "การสนับสนุนอย่างใกล้ชิด" ของ CS) และ องค์ประกอบการออกแบบอื่นๆ มากมายที่จะทำให้สามารถใช้ความสามารถของยานพาหนะนี้ได้อย่างเต็มที่ยิ่งขึ้น การติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล AEC สองตัวและกระปุกเกียร์ดาวเคราะห์ของ Wilson ก็ได้รับการอนุมัติเช่นกัน
รถถังทหารราบ A12 มีรูปแบบคลาสสิกและโครงแบบหลายลูกกลิ้ง ซึ่งสืบทอดมาจากรถถังรุ่นก่อนๆ ที่พัฒนาโดย Vickers
ตัวถังถูกรวมเข้าด้วยกัน ส่วนหน้า กล่องป้อมปืน และด้านหลังถูกหล่อ ขณะที่ด้านข้างและป้อมปราการเป็นส่วนประกอบที่ทำจากเหล็กเกราะม้วน ทุกส่วนเชื่อมต่อกันด้วยกูจอน ที่หัวเรือตามแนวแกนตามยาวจะมีที่นั่งคนขับและอุปกรณ์ควบคุมรถถัง ทัศนวิสัยในโหมดการต่อสู้นั้นมั่นใจได้ด้วยอุปกรณ์กล้องส่องทางไกล Mk.IV และช่องตรวจสอบ ขณะเดินทาง ผู้ขับขี่สามารถใช้ฟักบนหลังคาห้องควบคุมได้ ฝาครอบฟักหุ้มเกราะมีอยู่อันหนึ่ง คุณสมบัติที่น่าสนใจ– ในตำแหน่งเดินทัพ มันจะเคลื่อนกลับและถูกฝังเข้าไปในลำตัวโดยสมบูรณ์ โดยมีกลไกพิเศษยึดไว้
ในห้องต่อสู้ซึ่งครอบครองอยู่ ส่วนตรงกลางลำเรือมีสถานที่พนักงานวิทยุกระจายเสียง สถานีวิทยุหมายเลข 11 และที่เก็บกระสุน การสื่อสารภายในจัดทำโดยอินเตอร์คอมสำหรับสมาชิกสี่ราย
บนหลังคา ช่องต่อสู้มีการติดตั้งป้อมปืนรูปกรวยคู่แบบหล่อ ในแผ่นด้านหน้าของป้อมปืนซึ่งมีความหนา 75 มม. ปืน Mk.IX ขนาด 2 ปอนด์ที่มีความยาวลำกล้อง 52 ลำกล้องถูกติดตั้งในเกราะทั่วไป มุมสูงสุดการนำทางแนวตั้งอยู่ระหว่าง +20 ถึง -15 ทางด้านซ้ายของปืนคือกล้องส่องทางไกล No.24B Mk.I ที่มีกำลังขยาย 1.9 เท่า และทางด้านขวาคือปืนกล Vickers ขนาด 7.71 มม. นอกจากนี้ สามารถติดตั้งเครื่องยิงลูกระเบิดควันขนาด 10.6 มม. ทางด้านขวามือได้ กระสุนประกอบด้วย 92 นัด, กระสุน 2,800 นัด (นิตยสาร 100 ฉบับ) และระเบิดควัน 8 ลูก
บนหลังคาหอคอยก็มี โดมของผู้บัญชาการพร้อมฟักบนสองใบ มีการติดตั้งกล้องปริทรรศน์ Mk.IV อีกเครื่องที่ปีกหน้าและด้านหน้าป้อมปืน ทางด้านขวามือคือฟักของตัวโหลด หอคอยนี้ติดตั้งชั้นวางโลหะและสามารถหมุนได้ด้วยตนเองหรือใช้ระบบขับเคลื่อนไฮดรอลิก เวลาขั้นต่ำสำหรับการหมุนป้อมปืนทั้งหมดคือ 18 วินาที แต่ในความเป็นจริงแล้วแทบจะไม่น้อยกว่า 24 วินาทีเลย
โรงไฟฟ้าและระบบส่งกำลังอยู่ที่ด้านหลังของตัวถัง ดังที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ต้นแบบของรถถัง A12 ได้รับการติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล AEC สองตัวที่มีกำลัง 87 แรงม้าต่อตัวซึ่งติดตั้งขนานกับแกนตามยาว เครื่องยนต์แต่ละเครื่องทำงานแยกกันและติดตั้งระบบกำลัง ระบบทำความเย็น และระบบหล่อลื่นของตัวเอง ในการดัดแปลง Mk.I ท่อไอเสียจะอยู่ทางด้านซ้ายเท่านั้น ในการสตาร์ทเครื่องยนต์นั้นใช้สตาร์ทเตอร์ 24V ที่มีกำลัง 2.5 แรงม้า เบรกเป็นแบบแบนด์เบรก พร้อมปลอกเฟอโรโด
รวมส่งแล้ว องค์ประกอบต่อไปนี้:
— กล่องเกียร์ดาวเคราะห์ Wilson (เกียร์เดินหน้า 6 เกียร์และเกียร์ถอยหลัง 1 อัน)
— ระบบส่งกำลังตามขวางพร้อมเพลาทั่วไป
— คลัตช์แผ่นเดียวแบบรถยนต์สำหรับแต่ละเครื่องยนต์
— คลัตช์ข้างแบบหลายดิสก์แบบแห้ง
— ไดรฟ์สุดท้ายขั้นตอนเดียว
ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวก็ได้ ประเภทปิดด้วยการระบายอากาศแบบบังคับ การไหลเวียนของอากาศมาจากพัดลมสามใบพัดสองตัวที่ติดตั้งอยู่บนกระปุกเกียร์ ขั้นพื้นฐาน การไหลของอากาศผ่านบานเกล็ดด้านบน เป่าลมไปเหนือหม้อน้ำน้ำมันและเครื่องยนต์ จากนั้น หลังจากผ่านหม้อน้ำแบบท่อ อากาศจะถูกเป่าออกโดยใช้พัดลมเพิ่มเติม มีการจ่ายอากาศเพิ่มเติมผ่านบานเกล็ดในฝาปิดกล่องเครื่องมือ เมื่อผ่านห้องควบคุมและห้องต่อสู้ มันพัดผ่านห้องข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์แล้วเชื่อมต่อกับกระแสหลัก
ความจุของถังเชื้อเพลิงสองถังคือ 225 ลิตร ถังน้ำมัน - 46 ลิตร ที่ด้านล่างของถังมีช่องฟักสามช่องซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อการอพยพลูกเรือ การเข้าถึงเครื่องยนต์และกระปุกเกียร์ รวมถึงรูสำหรับระบายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมัน
แชสซีของรถถัง A12 เป็นแบบที่เรียกว่า "แบบญี่ปุ่น" และจำเป็นต้องมีการติดตั้ง ปริมาณมากลูกกลิ้งรองรับเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็ก เทคนิคการออกแบบนี้รับประกันว่าการขับขี่ของถังจะราบรื่นขึ้น แต่มีส่วนทำให้ส่วนประกอบแชสซีสึกหรอเร็วเกินไป (โดยหลักแล้วคือลูกกลิ้งแบบเดียวกัน) เกี่ยวกับรถถัง A12 วิศวกรตัดสินใจใช้โบกี้ลูกกลิ้งคู่ 5 อันที่ด้านหนึ่งและล้อหน้าเพิ่มเติมซึ่งเล่นบทบาทของลูกกลิ้งปรับแรงตึงและในขณะเดียวกันก็ช่วยให้เอาชนะอุปสรรคในแนวดิ่งได้ดีขึ้น โครงการค่าเสื่อมราคายังคงรักษา "สายเลือด" ซึ่งเริ่มต้นจากถัง วิคเกอร์ มีเดียม C แล้วใช้ในรูปแบบที่ทันสมัยบน A7 โบกี้แต่ละอันได้รับระบบกันสะเทือนแบบกรรไกรที่ล็อคอย่างสมดุลพร้อมสปริงสปริงแนวนอน โซ่ตีนตะขาบก็ยืมมาจากแท็งก์ A7 เช่นกัน แต่ประกอบด้วยรางโลหะหล่อ 69 ท่อน แต่ละหน้าแปลน ความกว้างของรางคือ 355 มม. ระยะห่าง 152 มม. สาขาด้านบนของหนอนผีเสื้อได้รับการสนับสนุนโดยลูกกลิ้ง 6 ตัวซึ่งติดตั้งอยู่บนวงเล็บที่ติดกับด้านข้างของตัวถัง
ล้อคนขี้เกียจและกลไกปรับความตึงของรางตั้งอยู่ด้านหน้า ส่วนล้อขับเคลื่อนอยู่ด้านหลัง จากความเสียหายจากเปลือกหอยและเศษกระสุน แชสซีได้รับการปกป้องโดยป้อมปราการหุ้มเกราะขนาดใหญ่พร้อมช่องเจาะห้าช่องสำหรับทิ้งสิ่งสกปรกจากกิ่งด้านบนของตัวหนอน
แม้จะมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่การก่อสร้างต้นแบบ A12E1 ก็ล่าช้าไปเกือบหนึ่งปี ปัญหาหลักเกิดจากการได้รับกระปุกเกียร์ของ Wilson และการดีบักในภายหลัง เฉพาะในเดือนเมษายน พ.ศ. 2481 ต้นแบบ“มาทิลด้า รุ่นพี่” เข้ารับการทดสอบ โดยทั่วไปการวิ่ง 1,000 ไมล์ (1,609 กม.) จะเป็นที่น่าพอใจ ยกเว้นเครื่องยนต์ร้อนจัดอย่างต่อเนื่อง ภัยคุกคามจากไฟไหม้เสริมด้วยการไม่สามารถพัฒนาได้แม้แต่บนถนนลาดยาง ความเร็วการออกแบบและสุดท้ายก็ถูกจำกัดไว้ที่ 15 กม./ชม. ในทางกลับกัน ความสามารถในการข้ามประเทศของรถถังได้รับการประเมินในเชิงบวก ซึ่งได้รับการอำนวยความสะดวกอย่างมากจากการใช้รางที่ออกแบบใหม่
ก่อนที่จะเริ่มการทดสอบ กรมทหารได้สั่งซื้อรถถัง 65 คัน ซึ่งมีการวางแผนการผลิตต่อเนื่องที่บริษัท Vulcan Foundry ในเมือง Warrington หลังจากได้รับผลการวิ่งครั้งแรก ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2481 คำสั่งซื้อก็เพิ่มเป็น 140 คัน ในเดือนสิงหาคมนี้ ทางบริษัท Ruston & Hornsby Ltd. ลงนามในสัญญาเพิ่มเติมสำหรับการจัดหารถถังอีก 40 คัน แต่นี่ไม่ใช่ขีดจำกัด...
ต่อไป การปรับเปลี่ยนแบบอนุกรมซึ่งเป็นที่รู้จักโดยดัชนี "มาทิลด้า" เอ็มเค.ไอไอเอยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ หลังจากการปรับปรุงอาวุธให้ทันสมัยในปี พ.ศ. 2482 รถถังใหม่ทั้งหมดเริ่มติดตั้งปืนกลเบรน 7.92 มม. ทำให้สามารถรื้อระบบระบายความร้อนขนาดใหญ่สำหรับ Vickers รุ่นเก่าได้ ซึ่งรวมถึงปลอกหุ้มเกราะและปั๊มไฟฟ้า นอกจากนี้ลูกกลิ้งรองรับยังถูกแทนที่ด้วยรางไถล
กระบวนการปรับปรุงให้ทันสมัยยังคงดำเนินต่อไปพร้อมกับรูปลักษณ์ของแบบจำลอง "มาทิลด้า" เอ็มเค.ไอไอเอ*- คราวนี้การเปลี่ยนแปลงมีความเป็นสากลและได้รับผลกระทบมากขึ้น โรงไฟฟ้า- เครื่องยนต์ AEC ที่ใช้ในเวอร์ชันการผลิตครั้งแรกไม่เป็นที่พอใจอย่างสมบูรณ์สำหรับ RAC และตั้งแต่ปี 1939 ก็มีการค้นหาตัวเลือกอื่น ๆ อย่างแข็งขัน Fowlers และ Perkins เสนอผลิตภัณฑ์ของตน แต่ผู้เชี่ยวชาญทางทหารเลือกเครื่องยนต์ดีเซล Leyland ขนาด 7 ลิตร เครื่องยนต์เหล่านี้พัฒนากำลังสูงสุดประมาณ 95 แรงม้า ที่ 2,000 รอบต่อนาที และไม่สามารถใช้แทนกันได้ เนื่องจากตำแหน่งต่างกัน กลไกเสริม- ตัวอย่างเช่น เครื่องยนต์ด้านซ้ายมีดัชนี E-148 และ E-164 และเครื่องยนต์ด้านขวาถูกกำหนดเป็น E-149 และ E-165 ในเวลาเดียวกัน ซีรีส์ที่ 140 มีกล่องข้อเหวี่ยงอะลูมิเนียม ในขณะที่ซีรีส์ 160 มีกล่องข้อเหวี่ยงเหล็กหล่อ
การปรับเปลี่ยน "มาทิลด้า" Mk.IIIพวกเขาต่างกันเพียงการติดตั้งสถานีวิทยุหมายเลข 19 Mk.II พร้อมเสาอากาศแส้สองอัน รายการการเปลี่ยนแปลงสำหรับการแก้ไข "มาทิลด้า" เอ็มเค.ไอ.วียาวกว่า: พวกเขาติดตั้งไฟสัญญาณบนหลังคาของหอคอย เสริมโครงยึดเครื่องยนต์ให้แข็งแรง วางท่อน้ำมันและท่อน้ำอย่างมีเหตุผลมากขึ้น และยังเพิ่มความจุของถังเชื้อเพลิงด้วย
เวอร์ชันการผลิตล่าสุดคือ “มาทิลด้า” เอ็มเค.วีซึ่งได้รับเครื่องขยายสัญญาณควบคุมการส่งกำลังแบบนิวแมติกจากเวสติ้งเฮาส์ อย่างไรก็ตาม รถถังของการดัดแปลงทั้งสามรายการนั้นแทบไม่มีความแตกต่างกันในด้านรูปลักษณ์
นอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนแบบ "เชิงเส้น" แล้ว ยังมีโมเดล "แนวรับแบบใกล้ชิด" ซึ่งมีดัชนีอยู่ด้วย CS (ปิดการสนับสนุน)- มีรถถังประเภทนี้ค่อนข้างน้อยตามการดัดแปลง Mk.III และ Mk.IV และความแตกต่างที่สำคัญคือการติดตั้งปืนครก 76.2 มม. 3 นิ้ว Howitzer Mk.I หรือ Mk.IA ปืนครกแทนปืน 2 ปอนด์ . อังกฤษเข้าหาปัญหากระสุนด้วยวิธีที่ผิดปกติ - ตามแนวคิดที่แพร่หลายในขณะนั้น รถถังประเภท CS ควรจะครอบคลุมทหารราบที่รุกคืบเท่านั้น เนื่องจากกระสุนรวมเพียงกระสุนควันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไม่นานก็ปรากฏชัดว่า ความคิดนี้มีการเพิ่มกระสุนกระจายตัวที่ระเบิดแรงสูงและไม่สามารถป้องกันได้เข้าไปด้วย กระสุนเต็มตอนนี้ประกอบด้วย 67 นัดและกระสุน 3,150 นัด
แน่นอนว่าการปรับปรุงทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นได้เพิ่มคุณภาพการต่อสู้และการปฏิบัติการของ Matildas แต่ถึงกระนั้น เวลาของรถถังทหารราบก็ผ่านไปอย่างไม่อาจเพิกถอนได้ ในการรบปี พ.ศ. 2484-2485 มาทิลดาสทำได้ดีเพียงต่อเกมเท่านั้น รถถังอิตาลีซึ่งมีเกราะที่อ่อนแอและอาวุธที่ทรงพลังไม่เพียงพอ แต่การพบกับ Pz.III และ Pz.IV ของเยอรมัน การปรับเปลี่ยนล่าสุดมักจะจบลงอย่างน่าเศร้าสำหรับพวกเขา เหนือสิ่งอื่นใดก็ดีขึ้น ปืนใหญ่ต่อต้านรถถังและการมีคุณสมบัติความเร็วต่ำก็กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จของการผลิตรถถังมาทิลด้า
ไม่สามารถพูดได้ว่าไม่มีความพยายามในการปรับปรุงให้ทันสมัยอย่างถึงรากถึงโคนเลย ในปีพ.ศ. 2485 มีการเสนอให้ติดตั้งป้อมปืนด้วยปืนขนาด 6 ปอนด์ ถังลาดตระเวน A27. การทดลองไม่ประสบผลสำเร็จ - สายรัดป้อมปืนของ Matilda มีความยาว 54 นิ้ว แทนที่จะเป็น 57 นิ้วที่จำเป็น ซึ่งจำเป็นต้องมีการดัดแปลงกล่องป้อมปืนอย่างรุนแรง ถึงกระนั้นก็มีการสร้างแบบจำลองของหอคอยขึ้นมาแต่งานก็ไม่ได้คืบหน้าไปไกลกว่านี้
ในกระบวนการถอดรถถัง Matilda ออกจากหน่วยรบ เป็นที่ชัดเจนว่าส่วนใหญ่อยู่ในสภาพการปฏิบัติงานที่ดีทีเดียว การใช้เครื่องจักรเหล่านี้เพื่อการฝึกอบรมเพียงอย่างเดียวถือเป็นการสิ้นเปลือง เนื่องจากในช่วงต้นปี 1938 John Fowler & Co. ได้พัฒนาคันไถต่อต้านรถถังสำหรับ Matilda หรือในแง่สมัยใหม่คืออุปกรณ์เก็บกวาดทุ่นระเบิด
ลักษณะทางยุทธวิธีและทางเทคนิคของรถถังทหารราบ
“มาทิลด้า” Mk.II รุ่น 2482
น้ำหนักการต่อสู้ | 26950กก |
ลูกเรือ ผู้คน | 4 |
ขนาดโดยรวม | |
ความยาว มม | 5715 |
ความกว้าง มม | 2515 |
ความสูง, มม | 2565 |
ระยะห่างจากพื้นดิน mm | 400 |
อาวุธ | ปืน 2 ปอนด์ (42 มม.) หนึ่งกระบอก ปืนกล Besa ขนาด 7.92 มม. หนึ่งกระบอก และปืนครกคู่ขนาด 101.6 มม. หนึ่งกระบอก |
กระสุน | 92 นัด, 3150 นัด และระเบิดควัน 8 ลูก |
อุปกรณ์เล็ง | กล้องส่องทางไกลหมายเลข 24B Mk.I |
การจอง | หน้าผากตัวถัง - 78 มม ด้านข้างตัวถัง - 40-70 มม ป้อมปราการ - 25 มม ตัวถังด้านหลัง - 55 มม หลังคา - 13-20 มม ด้านล่าง - 13-20 มม หน้าผากป้อมปืน - 75 มม ด้านป้อมปืน - 75 มม ฟีดป้อมปืน - 75 มม หลังคาทาวเวอร์ - 20 มม |
เครื่องยนต์ | Ford V-8, น้ำมันเบนซิน, 8 สูบ, 70 แรงม้า; สำรองน้ำมันเชื้อเพลิง - 190 ลิตร |
การแพร่เชื้อ | ประเภทกลไก: เกียร์ธรรมดา (เกียร์เดินหน้า 4 เกียร์ และเกียร์ถอยหลัง 1 เกียร์) |
แชสซี | (ด้านหนึ่ง) ล้อถนนคู่ 10 ล้อเชื่อมต่อกันเป็น 5 โบกี้ ลูกกลิ้งหน้าเพิ่มเติม 1 อัน ลูกกลิ้งรองรับ 6 อัน ล้อนำด้านหน้าและล้อขับเคลื่อนด้านหลัง ตัวหนอนโลหะลิงค์ขนาดใหญ่ที่มีความกว้างของราง 355 มม. และระยะพิทช์ 152 มม |
ความเร็ว | 24 กม./ชม. บนทางหลวง 15 กม./ชม. บนภูมิประเทศ |
ช่วงทางหลวง | ทางหลวงหมายเลข 257 กม 129 ในภูมิประเทศ |
อุปสรรคที่จะเอาชนะ | |
มุมเงย องศา | 24° |
ความสูงของผนังม | 0,61 |
ความลึกในการลุย, ม | 0,91 |
ความกว้างของร่อง ม | 2,40 |
การสื่อสาร | สถานีวิทยุหมายเลข 19 Mk.II |