มังกรมีจริงไหม? มังกรมีอยู่จริงบนโลก
ผู้คนเกือบทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในโลกของเราบรรยายถึงมังกรในประเพณี ตำนาน และตำนานของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นโดยไม่คำนึงถึงถิ่นที่อยู่ของคนใดคนหนึ่ง ตำนานเหล่านี้ทั้งหมดมีความคล้ายคลึงกันมาก นักวิทยาศาสตร์อธิบายความคล้ายคลึงนี้โดยข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนประดิษฐ์มังกรเพื่อแสดงความกลัวงู เพราะพวกมันพบได้ทุกที่ และผู้คนก็กลัวงูทุกที่ อย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่จะบอกว่าคำอธิบายดังกล่าวเป็นไปได้ เนื่องจากคำอธิบายของมังกรส่วนใหญ่ชวนให้นึกถึงจระเข้ซึ่งมีเกล็ดปกคลุมมากกว่างู ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงตั้งสมมติฐานอีกข้อหนึ่งว่ามังกรเป็นลูกหลานของไดโนเสาร์ที่มีชีวิตอยู่จนกระทั่งการกำเนิดของมนุษยชาติ ต้องบอกว่าสมมติฐานนี้ได้รับการสนับสนุนจากคริสตจักรด้วย แต่ในขณะเดียวกัน เราสังเกตว่าการกำเนิดฟอสซิลมังกรนั้นไม่ตรงกับช่วงเวลา "ทางศาสนา" ของการสร้างโลก แต่จากที่ไหนสักแห่ง มีบางอย่างปรากฏบนเกาะโคโมโดที่ดูเหมือนมังกรมาก เพียงแต่มันไม่พ่นไฟและไม่บิน นอกจากนี้ยังมีหลักฐานของกะลาสีเรือและนักเดินทางที่เคยพบเห็นกิ้งก่ามีชีวิตซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทะเลและมหาสมุทร
แน่นอนว่าใครๆ ก็คิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงนิยาย แต่แล้วคำถามก็เกิดขึ้น: เหตุใดผู้คนและแม้แต่กลุ่มใหญ่จึงประดิษฐ์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมา?
เป็นที่ทราบกันว่าในตำนานโบราณมังกรมีส่วนโดยตรงในการสร้างโลกแล้วควบคุมองค์ประกอบต่างๆ ชาวจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีวาดภาพมังกรตัวใหญ่เป็นสัญลักษณ์ของวันหยุดสำคัญๆ เป็นที่น่าสังเกตว่าตามความเชื่อของชาวยุโรปมังกรนั้นชั่วร้าย แต่ตามความเชื่อของชาวตะวันออกมังกรนั้นเป็นสิ่งที่ดี
รายงานฉบับแรกเกี่ยวกับมังกรปรากฏขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ก่อนเริ่มยุคของเรา โดยมีแหล่งข้อมูลที่เป็นลายลักษณ์อักษรชิ้นแรกเกิดขึ้น เฮโรโดทัสจึงเขียนเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมังกร ตามที่เขาพูดมังกรตัวหนึ่งอาศัยอยู่นอกชายฝั่งไครเมียซึ่งมีความยาว 20 เมตร เขามีร่างกายสีเข้มขนาดใหญ่ มีหงอนอยู่เหนือศีรษะ หางยาว อุ้งเท้ามีกรงเล็บ ดวงตาเรืองแสงสีแดง และปากที่น่ากลัวและมีฟันแหลมคมหลายแถว สัตว์เคลื่อนไหวเร็วมากและในขณะเดียวกันก็ส่งเสียงแหลม
นอกจากนี้ยังมีบันทึกมากมายที่ระบุว่าในสมัยโบราณสิ่งมีชีวิตลึกลับที่มีลักษณะคล้ายกิ้งก่าอาศัยอยู่บนโลกของเราอย่างหนาแน่นและอาศัยอยู่เคียงข้างผู้คน พวกเขาถูกเรียกด้วยชื่อที่แตกต่างกัน แต่ชื่อที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "มังกร" ซึ่งตั้งโดยชาวยุโรป
สิ่งที่น่าสนใจคือคำอธิบายของมังกรโดยส่วนใหญ่เกือบจะตรงกับคำอธิบายของไดโนเสาร์โดยสิ้นเชิง ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษามังกรจึงมีแนวโน้มที่จะคิดว่าเรากำลังพูดถึงสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน อาจเป็นไปได้ว่าผู้คนพบซากสัตว์เลื้อยคลานโบราณและมีตำนานเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดลึกลับที่น่ากลัว มังกรมักปรากฏเป็นภาพศิลปะบนหินและมีตำนานเกี่ยวกับงูมีปีกที่ลงมาจากสวรรค์อยู่ในหมู่คนจำนวนมาก นักวิทยาศาสตร์มั่นใจว่ามังกรมีอยู่จริงเพราะคนโบราณสามารถตัดสินได้เฉพาะสิ่งที่พวกเขาเห็นในความเป็นจริงและสิ่งที่พวกเขาเผชิญเท่านั้น
บางทีผู้คนอาจจะยังคงระบุมังกรกับไดโนเสาร์ต่อไป หากไม่ใช่เพราะการค้นพบอันน่าตื่นเต้นครั้งหนึ่งที่เกิดขึ้นในปี 1972 ไม่ไกลจากถิ่นฐานของชาวแอซเท็กโบราณ มีการค้นพบซากสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะใกล้เคียงมังกรมาก ในระหว่างการขุดค้นเพิ่มเติม พบว่าซากศพนั้นเป็นของสัตว์มีปีกที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก ซึ่งมีปีกกว้าง 15 เมตร ภายนอกสัตว์ตัวนี้มีลักษณะคล้ายค้างคาวยักษ์ หลังจากตรวจสอบซากศพแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็สรุปได้ว่าพวกมันคือเรซัวร์ จากการศึกษาเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นต้นกำเนิดของมังกร แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าทำไมผู้คนที่ไม่เคยข้ามเส้นทางในชีวิตจึงมีคำอธิบายเกี่ยวกับไดโนเสาร์ที่เกือบจะเหมือนกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์แนะนำว่าในตอนแรกผู้คนเข้าใจผิดว่าไดโนเสาร์ที่อาศัยอยู่ข้างๆ เป็นมังกร
แล้วมังกรและไดโนเสาร์คืออะไร?
ในสมัยโบราณพวกมันถูกเรียกว่าเมกาลาเนีย - กิ้งก่าขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่บนโลกเมื่อหลายพันปีก่อน ความยาวเฉลี่ยประมาณเจ็ดเมตร และน้ำหนักถึง 400 กิโลกรัม พวกเขาทำร้ายสัตว์ พวกเขาสามารถรับมือกับแรดได้ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อแต่เป็นความจริงที่ว่ากิ้งก่ายักษ์ตัวสุดท้ายถูกชายคนหนึ่งฆ่า ตามที่นักวิทยาศาสตร์ระบุ สัตว์ชนิดนี้สูญพันธุ์เกือบจะในทันทีหลังจากที่ผู้คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในทวีปออสเตรเลีย นักวิทยาศาสตร์บางคนมั่นใจว่าเมกาลาเนียเป็นมังกร เพื่อเป็นหลักฐาน พวกเขาอ้างถึงตำนานเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตพ่นไฟ แม้ว่าเมกาลาเนียจะไม่สามารถจุดไฟได้ แต่บางคนก็มีพิษร้ายแรงซึ่งทำให้บาดแผลคล้ายกับรอยไหม้บนร่างกายของเหยื่อ ตามที่นักวิทยาศาสตร์ระบุว่า นอกจากปอดและรูจมูกแล้ว มังกรยังมีถุงที่สะสมไฮโดรคาร์บอนอีกด้วย เมื่อเกิดการปะทุจะรวมเข้ากับออกซิเจนทำให้เกิดเปลวไฟ
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานการเผชิญหน้ากับงูทะเลอีกด้วย ดังนั้นในปี พ.ศ. 2436 นอกชายฝั่งสกอตแลนด์ แพทย์ประจำลอนดอน เอฟ. แมทธีสัน ได้พบกับปีศาจทะเล ตามที่เขาพูด วันนั้นอากาศดีมาก ทันใดนั้นมีสิ่งที่ไม่สามารถเข้าใจได้งอกขึ้นมาจากน้ำตรงหน้าเรือ: สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีคอยาวที่มีลักษณะคล้ายกิ้งก่าขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตนั้นมีสีน้ำตาลและมีแถบสีดำอยู่ใต้หัว
มีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับกิ้งก่าทะเลในรัสเซีย ดังนั้นหนึ่งในกิ้งก่านกน้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดที่พบในรัสเซียก็คือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในลาโดกา ปรากฏการณ์นี้อธิบายโดยนักเขียนและนักชาติพันธุ์วิทยาชื่อดัง Alexei Popov ในหนังสือของเขามีหลักฐานการเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่ไม่รู้จัก: ในฤดูร้อนปี 2516 เขากำลังตกปลาที่ลาโดกา มันเป็นวันที่สงบและมีแดด ทันใดนั้น บนพื้นผิวเรียบของทะเลสาบ วัตถุหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ส่องแสงระยิบระยับในดวงอาทิตย์ ตอนแรกชาวประมงคิดว่าเป็นเรือล่ม แต่ต่อมาสังเกตเห็นว่าวัตถุยังมีชีวิตอยู่ สิ่งมีชีวิตนั้นว่ายช้าๆ ไปตามชายฝั่ง ค่อยๆ เข้าใกล้เรือ ชาวประมงรีบไปที่ฝั่งด้วยความกลัวและเฝ้าสังเกตต่อไป ผู้คนเห็นว่าสัตว์ตัวนี้มีความยาวประมาณ 10 เมตร มีลำตัวขนาดใหญ่และมีสีผิวสีเทาเข้ม หัวของสัตว์นั้นใหญ่และพาดอยู่บนคอยาว ดวงตาเบิกกว้างและจ้องมองด้วยความโกรธและดุร้าย ทันใดนั้นสัตว์นั้นก็ดำดิ่งลงใต้น้ำและไม่ปรากฏอีกเลย
ความจริงที่ว่าจิ้งจก Ladoga มีอยู่จริงนั้นมีหลักฐานจากประเพณีและตำนานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับอาราม Valaam ในแหล่งโบราณเหล่านี้ เรามักจะพบการอ้างอิงถึงสัตว์ขนาดยักษ์ที่ไม่รู้จัก ซึ่งเอาอวนที่พระสงฆ์วางไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่เคยถูกจับได้
มีตำนานมากมายเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของมังกรน้ำ ดังนั้นหากคุณศึกษาตำนานของชนชาติต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่บนชายฝั่งทะเลทางเหนืออย่างรอบคอบคุณจะเห็นว่าคนเหล่านี้แต่ละคนมีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวของตัวเองที่อาศัยอยู่ในน้ำ ตัวอย่างเช่น ในไอซ์แลนด์ ยังคงมีข่าวลือว่ามีสัตว์ลึกลับอาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งหนึ่ง ซึ่งคนในท้องถิ่นเรียกว่า Skrimsl หมายเหตุปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสื่อของสวีเดนเกี่ยวกับการมีอยู่ของสัตว์ลึกลับในอ่างเก็บน้ำหกแห่ง และในไอร์แลนด์ในปี พ.ศ. 2488 สัตว์ที่ไม่รู้จักถูกพบเห็นพร้อมกันในทะเลสาบสี่แห่ง ในแคนาดา เกือบทุกคนเคยได้ยินเกี่ยวกับ Ogopogo ซึ่งอาศัยอยู่ในทะเลสาบ Okanagan อย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต ตามที่ผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่ามีลักษณะคล้ายกับท่อนไม้มีความยาวถึงหกเมตรและความหนาของมันคือ 60 เซนติเมตร หัวของสัตว์มีลักษณะคล้ายหัวม้า การกล่าวถึงการปรากฏตัวของ Ogopogo ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2415
กิ้งก่าน้ำยอดนิยมอีกชนิดหนึ่งที่นักสัตววิทยาพยายามติดตามมาเป็นเวลานานคือสัตว์ประหลาด Loch Ness หรือ Nessie ที่รู้จักกันดี ตามตำนาน Nesie เป็นงูทะเลที่อาศัยอยู่ในสกอตแลนด์ ห่างจากอินเวอร์เนสใน Loch Ness 40 กิโลเมตร (อันที่จริงจึงเป็นชื่อของมัน) แม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะต้องเผชิญกับความล้มเหลว แต่ประชากรในท้องถิ่นก็ยืนยันว่าการพบปะกับ Nesi เกิดขึ้นเป็นประจำตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 นอกจากนี้นักชีววิทยารู้แน่ว่ามีงูตัวใหญ่อยู่ในทะเล ก่อนหน้านี้เชื่อกันว่าอาศัยอยู่ในป่า แต่ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ที่ทะเลและอ่าว
ปัจจุบันทะเลสาบเกือบทุกแห่งในนอร์เวย์มีตำนานเกี่ยวกับงูตัวใหญ่เป็นของตัวเอง จริงอยู่ที่พวกมันมีให้เห็นน้อยมาก แต่ในยุคกลางพวกเขาพบบ่อยกว่ามาก ดังนั้น ใน Bollarvatn จึงมีงูทะเลตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ซึ่งมีความหนาเท่ากับลูกวัว มีกรณีที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีงูตัวใหญ่คลานไปบนก้อนหินแต่กลับติดอยู่ระหว่างก้อนหิน สัตว์ตัวนี้ดูน่ากลัว ดวงตาของมันมีขนาดเท่าก้นถัง และมีแผงคอห้อยลงมาจากคอ งูถูกฆ่าด้วยการยิงธนูเข้าตาหลายนัด พื้นดินรอบๆ เต็มไปด้วยเลือดสีเขียว และศพก็ส่งกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมาจนคนในพื้นที่เผามัน
แม้แต่ในนวนิยายเรื่อง "The Pirate" ของวอลเตอร์ สก็อตต์ ยังมีคำอธิบายเกี่ยวกับงูทะเลที่โผล่ขึ้นมาจากส่วนลึกของทะเล โดยยืดคอยาวที่ปกคลุมไปด้วยแผงคอ และเคลื่อนไหวด้วยดวงตาเป็นประกายขนาดใหญ่เพื่อค้นหาเหยื่อ
คำอธิบายโดยละเอียดที่สุดของสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในน่านน้ำทะเลนอร์เวย์เป็นของปากกาของ Eric Iontopidian เขาอ้างว่าสิ่งที่เรียกว่ามังกรอาศัยอยู่ใต้น้ำลึกและจะขึ้นสู่ผิวน้ำเฉพาะในสภาพอากาศที่อบอุ่นและไม่มีลมเท่านั้น หนังสือเล่มหนึ่งของเขาให้คำอธิบายเกี่ยวกับงู หัวที่มีลักษณะคล้ายม้า จมูกสีดำ ส่วนที่เหลือของร่างกายเป็นสีเทา ดวงตาที่โตมากและสีดำ มีแผงคอสีขาวยาว ลำตัวหนาและยาวมาก
น่าแปลกที่มังกรก็มีอยู่ในโลกสมัยใหม่เช่นกัน ไม่เชื่อฉันเหรอ? นี่คือคำจำกัดความที่ให้ไว้ในสารานุกรมฉบับหนึ่ง: มังกรเป็นประเภทของสัตว์เลื้อยคลานเรียงตามกิ้งก่าที่มีความยาวถึง 30 เซนติเมตร มีหางยาว ลำตัวแคบและแบน พวกมันมีความสามารถในการเหินได้ไกลถึง 20 เมตรโดยใช้รอยพับของผิวหนังที่อยู่ตามขอบลำตัว มังกรมีทั้งหมด 14 สายพันธุ์ ทุกสายพันธุ์มีสีสันสดใส อาศัยอยู่บนต้นไม้ กินตัวอ่อนและแมลงเป็นอาหาร
ถ้าเราพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่เหมือนมังกรโบราณแล้วล่ะก็ มันก็มีอยู่จริง จริงอยู่เรียกว่าแตกต่างกันเล็กน้อย ดังนั้นบนเกาะโคโมโด (ซึ่งกล่าวไว้ข้างต้น) จึงพบมังกรที่มีชีวิตนั่นคือเฝ้าติดตามกิ้งก่าที่มีความยาวสูงสุดสามเมตร นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่าเคยมีกิ้งก่ามอนิเตอร์ขนาดใหญ่กว่ามาก ซึ่งสูงถึง 10 เมตร พวกเขาอาศัยอยู่ในออสเตรเลีย และในนิวกินีตามคำให้การของประชากรในท้องถิ่นมีสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ตัวใหญ่อาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเราถ่ายภาพมันได้ ปรากฎว่า "สัตว์ประหลาด" นั้นมีความยาวไม่ถึงสามเมตรด้วยซ้ำ...
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถแยกความเป็นไปได้ของการดำรงอยู่ของอารยธรรมกิ้งก่าทั้งหมดที่แสดงต่อผู้คนเป็นระยะ สิ่งที่เหลืออยู่คือการรอช่วงเวลาที่เหมาะสมในการถ่ายภาพอย่างน้อยหนึ่งตัวและพิสูจน์ว่ามีมังกรอยู่จริง
1. บทนำ
2. มังกรมีอยู่จริงบนโลก!
3. บทสรุป
4. รายการข้อมูลอ้างอิงที่ใช้
5. การใช้งาน
ตั้งแต่วัยเด็ก ฉันสนใจมังกร ชีวิตและพฤติกรรมของพวกมัน ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจเล่าให้คุณฟังเล็กน้อยเกี่ยวกับสัตว์ที่น่าอัศจรรย์ สวยงาม และน่าทึ่งเหล่านี้
ไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับวิทยามังกร อาจเป็นวิทยาศาสตร์ที่เก่าแก่และน่าสนใจที่สุด แม้ว่ามังกรจะได้รับการศึกษามาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่พวกมันก็ยังคงลึกลับที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตบนโลก ตามที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่ศึกษาพืชและสัตว์หลากหลายชนิดของโลก วิทยาศาสตร์ของมังกรนั้นเต็มไปด้วยการค้นพบใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น
ผู้เชี่ยวชาญด้านมังกรหักล้างความเห็นที่ว่าไม่มีมังกรเลยและไม่เคยมีเลย เมื่อนักวิทยาศาสตร์ได้ยินครั้งแรกเกี่ยวกับตุ่นปากเป็ด ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีจะงอยปากเป็ด เขา และคอเหมือนยีราฟ ในปี พ.ศ. 2340 ปฏิกิริยาของพวกเขาคือการหัวเราะ และในปี 1901 นักวิทยาศาสตร์ตระหนักว่านี่คือสัตว์สายพันธุ์ใหม่และตั้งชื่อมันว่าโอคาปิ อนิจจา ยังไม่พบวิญญาณผู้กล้าที่จะเตรียมการเดินทางเพื่อค้นหามังกร เช่นเดียวกับกรณีของตุ่นปากเป็ด...
หลังจากอ่านงานของชาร์ลส ดาร์วินเรื่อง “กำเนิดสายพันธุ์โดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติ” นักมังกรวิทยาได้สรุปว่า เช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในโลก มังกรได้วิวัฒนาการและปรับให้เข้ากับถิ่นที่อยู่ของพวกมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ วิวัฒนาการคือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกายเพื่อทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ผู้ขี้ระแวง (ผู้ที่ไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้) โต้แย้งว่ามังกรไม่สามารถมีสี่ขาและสองปีกได้ เนื่องจากสัตว์มีกระดูกสันหลังใดๆ บนโลกมีแขนขาไม่เกินสี่ขา แต่นี่เป็นผลมาจากวิวัฒนาการของมังกร
มังกรอาศัยอยู่ในเกือบทุกส่วนของโลก ดังนั้นนักวิจัยจึงไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่ปลายโลกเพื่อศึกษาพวกมัน นักเดินทางบางคนสับสนระหว่างมังกรกับงูทะเล - ปลาหมึกยักษ์
เหล่านี้เป็นสัตว์ที่แตกต่างกัน มังกรไม่เหมือนกับงูทะเล แมลงวัน พ่นไฟ อาศัยอยู่บนบก และสะสมทรัพย์สมบัติ
มังกรคือ:
ชาวยุโรป (ถิ่นที่อยู่ของพวกเขาคือถ้ำในเทือกเขาแอลป์ของเยอรมัน ป่าไม้ บ่อน้ำ บ่อน้ำ) เม็กซิกัน (เมืองเม็กซิกันโบราณที่สูญหายไปในป่า) น้ำแข็ง (รังของพวกเขาอยู่ในภูเขาน้ำแข็งกรีนแลนด์) ทิเบต (ระหว่างยอดเขาหิมาลัย) , ชาวจีน (ในน้ำตกบนภูเขาในประเทศจีน), กระเป๋าหน้าท้องของออสเตรเลีย (ในภูเขาสีน้ำเงินของออสเตรเลียพร้อมลมหายใจของมังกร), แอฟริกัน (ทะเลทราย) ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่ามังกรอาศัยอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ ที่เหมาะกับถิ่นที่อยู่ของพวกมัน เช่น ป่า ภูเขา สเตปป์ น้ำแข็ง ป่า และทะเลทราย มังกรมีหลากหลายสี แดง เขียว ขาว ทอง ขึ้นอยู่กับชนิดของมังกร พวกมันมีขนาดความยาวตั้งแต่ 7 ถึง 15 เมตร กินวัว ปลาหมึก หมีขั้วโลก กวาง สัตว์เลี้ยงในบ้าน อูฐ วัวภูเขา ปลา นก และสามารถโจมตีผู้คนได้ เมื่อโจมตี พวกมันจะใช้กรงเล็บ เขา ลมหายใจน้ำแข็ง ไฟจากปาก และหางเพื่อรัดคอ มังกรเกือบทั้งหมดสามารถพูดได้ (ไม่ได้มีความหมายทั้งหมด) ชอบเครื่องประดับ เปลี่ยนผิวหนังเป็นประจำ บินได้ และดูแลไข่และลูกอ่อนที่ออกมาจากไข่อย่างอ่อนโยนสามปีหลังจากวางไข่
มังกรสามารถฝึกให้เชื่องได้ แต่สามารถทำได้ง่ายโดยคนที่เลี้ยงมังกรและผูกมิตรกับมันเท่านั้น คุณสามารถใช้คาถาลับได้ แต่เมื่อผลของมันสิ้นสุดลง มังกรจะหงุดหงิดอย่างมาก การบินบนมังกรนั้นคุ้มค่าในกรณีร้ายแรงเท่านั้น และต้องได้รับความยินยอมจากเขาเสมอ แต่ความรู้สึกนั้นน่าทึ่งมาก!
ทุกส่วนในร่างกายของมังกร (ผิวหนัง ฟัน เกล็ด ขน เลือด กระดูก ฝุ่นที่เก็บมาจากผนังถ้ำ ดวงตา เขา) มีพลังวิเศษและนำไปใช้ในเวทมนตร์เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ และเพื่อการรักษา
ไม่มีสัตว์ร้ายในโลกอีกต่อไป
ใครจะเทียบได้กับมังกรผู้ยิ่งใหญ่
พลังและความยิ่งใหญ่อันเหลือล้นของเขา
ฉันบอกคุณเกี่ยวกับมังกรเพื่อให้คุณรู้ว่าอาจมีบางอย่างที่เราไม่รู้ มีน้ำใจและใจดีต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด! อย่าพยายามโน้มน้าวผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องมังกรและไม่สนใจมังกรเหมือนกัน มาปกป้องมังกรที่เหลืออยู่บนโลกและสัตว์ใกล้สูญพันธุ์กันเถอะ
อ้างอิง
· Dr. Ernest Drake “Dragonology”, สำนักพิมพ์ “Makhaon”, มอสโก, 2551 แปลโดย N. Ivanov และ V. Bolotnikov
ปรากฎว่ามังกร - สัตว์ประหลาดลึกลับที่มีร่างเป็นงู, ปีกของนก, หลายหัว, ลมหายใจที่ลุกเป็นไฟ, กอปรด้วยสติปัญญา - ยังคงอาศัยอยู่ในหมู่พวกเรา!
ยิ่งใหญ่และแย่มาก
ตามคำอธิบายโบราณข้อหนึ่งย้อนหลังไปถึงปี ค.ศ. 600 e. มังกรเป็น "งูที่ใหญ่ที่สุดและโดยทั่วไปแล้วเป็นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อาศัยอยู่บนโลก มันมีจมูกขนาดใหญ่และช่องลมแคบสำหรับหายใจและยื่นลิ้นออกมา”
มังกรมักถูกมองว่าเป็นสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายงูขนาดใหญ่ที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว พวกเขากล่าวว่าแผ่นดินสั่นสะเทือนจากเสียงคำรามของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น มังกรที่กินเนื้อมนุษย์มักจะกลืนหญิงสาวสวยทั้งตัวเสมอ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมทั้งฮีโร่และอัศวินจึงถือว่าเป็นเรื่องของเกียรติที่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดทันที
อย่างไรก็ตาม บรรพบุรุษของเราเป็นนักปรัชญาที่แท้จริง กฎบัตรกลัวสัตว์ประหลาดพ่นไฟพวกมันเปลี่ยนให้กลายเป็นสัญลักษณ์ธรรมดาของน้ำและไฟ นักประวัติศาสตร์ได้ไปไกลกว่านี้อีกเล็กน้อย ตามสมมติฐานของนักวิทยาศาสตร์ A. Leroy-Gourhan และ V. Ya. มังกรเป็นสัญลักษณ์ของการรวมโลก: ด้านบน (ตามหลักฐานที่มีความคล้ายคลึงกับนก) และด้านล่าง (ลำตัวของงู)
มีเพียงสัตว์ประหลาดเหล่านี้เท่านั้นที่ไม่น่ากลัวนัก มีหลายกรณีที่พวกเขาไปอย่างสันติกับผู้คน ดังนั้นในตำนานจีนโบราณ มังกรมีปีกจึงช่วยพระเอกหยู ผู้ก่อตั้งราชวงศ์เซี่ย ในการวางหางเพื่อส่งน้ำประปา สัตว์ประหลาดยังช่วยช่างตีเหล็กชาวสลาฟสองคนด้วย พวกเขาควบคุมมังกรด้วยคันไถและช่วยขุดก้นแม่น้ำของนีเปอร์ และ Nikita Kozhemyaka ก็สามารถปลอบ Serpent Gorynych และไถดินใส่เขา ยิ่งไปกว่านั้น มังกรยังมอบสมบัติที่พวกเขาปกป้องให้กับผู้คนอีกด้วย แท้จริงแล้วคนเนรคุณมักฆ่าพวกเขาเพราะความกลัว มีเพียงงู Poluchato ที่บินได้จากกลุ่มย่อยโวลก้าของ Katskari เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่เสมอเพราะมันนำความมั่งคั่งมาสู่ผู้ที่ไม่กลัวการทำงานหนัก
อย่างไรก็ตาม ลูกหลานของ Katskars หลายคนยังคงวางจานรองนมไว้บนขอบหน้าต่างเพื่อล่องูแห่งความโชคดี
หากเราพิจารณาว่าคำนี้เป็นวัตถุ และตำนานมีพื้นฐานในความเป็นจริงอยู่เสมอ เราสามารถสรุปได้อย่างปลอดภัยว่าภาพของสัตว์ประหลาดดังกล่าวแทบจะไม่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ต้น สิ่งนี้ได้รับการยืนยันจากนักวิทยาศาสตร์หลายคน! เมื่อเร็ว ๆ นี้นักวิจัยจาก International Union of Cryptozoologists ได้ข้อสรุปที่ไม่คาดคิดและน่าตื่นเต้น: บนแขนเสื้อของมอสโก St. George the Victorious เจาะมังกรปีกตัวเล็กตัวจริง (!) ด้วยหอกและไม่ใช่มังกรในตำนาน! โดยทั่วไปแล้ว ภาพวาดไอคอนรัสเซียโบราณนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่มีแถบต่างๆ - สีแดงเลือด มีเมฆไฟปลิวออกมาจากปากของมัน และตัวเล็กๆ มากซึ่งมีสายจูงจูงเหมือนสุนัขเลี้ยงสัตว์ Irina Tsareva หัวหน้าโครงการสิ่งแวดล้อมทางวิทยาศาสตร์ RICANN (Russian Intellectual Corps of Current Scientific Directions) เชื่อว่าสัตว์เหล่านี้สามารถอาศัยอยู่ในป่ารัสเซียได้ดี แม้ว่าผู้แต่งมหากาพย์ มหากาพย์ และไอคอนต่างๆ จะพูดเกินจริงเล็กน้อยเกี่ยวกับภาพผลงานของพวกเขา แต่พวกเขายังคงใช้เรื่องราวจริงเป็นพื้นฐาน ค่อนข้างเป็นไปได้ว่าในส่วนยุโรปของรัสเซียมีสัตว์ประหลาดกระหายเลือดฉีกนักเดินทางเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กรณีดังกล่าวได้บันทึกไว้ในเอกสารแล้ว! ดังนั้นพงศาวดารรัสเซียชุดหนึ่งจึงมีข่าวจากโนฟโกรอดตั้งแต่ปี 1582: “ ... ในฤดูร้อน Corcodyles Lutia ออกมาจากแม่น้ำและปิดทางกินคนจำนวนมากและทำให้ผู้คนน่าสะพรึงกลัวและสวดภาวนาต่อพระเจ้าไปทั่วโลก . แล้วเธอก็ซ่อนตัวอีกครั้งและทุบตีคนอื่น...” เนื่องจากไม่เคยพบจระเข้ในรัสเซีย นักวิทยาศาสตร์จึงสันนิษฐานว่าพงศาวดารหมายถึงมังกรธรรมดา
อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งทุกวันนี้ก็ยังมีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับสัตว์ประหลาด ดังนั้นในปี 1958 นักธรณีวิทยานักบรรพชีวินวิทยาและนักเขียน Ivan Efremov ในหนังสือของเขา "The Road of the Winds" พูดถึงการเดินทางของเขาไปมองโกเลียซึ่งตามคำอธิบายของชาวท้องถิ่นมีหนอนสีเหลืองตัวมหึมา Olgoi -คอคอยซึ่งมีพิษคร่าชีวิตผู้คน มีการสำรวจทางวิทยาศาสตร์หลายครั้งในส่วนเหล่านี้มาโดยตลอด แต่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่เข้าใจได้สำหรับคำถาม: "นี่คือหนอนชนิดใด" นักวิทยาการเข้ารหัสลับชาวฝรั่งเศส Michel Raynal เคยแนะนำว่า Olgoy-Khorkhoi เป็นสัตว์เลื้อยคลานขนาดยักษ์ที่สูญเสียขาระหว่างวิวัฒนาการ และสามารถพ่นพิษจากระยะไกลได้...
รัสเซียยังเต็มไปด้วยผู้เห็นเหตุการณ์เผชิญหน้ากับมังกร ตัวอย่างเช่น ในภูมิภาค Lipetsk, Novgorod และ Leningrad มีข่าวลือแพร่สะพัดเป็นระยะเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดใต้น้ำพ่นเปลวไฟออกจากปากของพวกมัน ยูเครนก็ไม่ล้าหลังเช่นกัน นี่ไม่ใช่ปีแรกที่ข่าวลือเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดในทะเลดำที่เชิงเขาคาราดักสร้างความตื่นเต้นให้กับจินตนาการ มังกรและงูยักษ์มักพบเห็นได้ทั่วไปในแอฟริกา เรื่องราวของชาวแอฟริกันเกี่ยวกับนักล่าที่ดุร้าย “tonpondrano” (“เจ้าแห่งท้องทะเล”) ที่มีลำตัวมีเกล็ดยาว 25 เมตร น่าประทับใจมาก ในทะเลทรายแอลจีเรีย ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยยิงสิ่งมีชีวิตสูง 20 เมตรด้วย มีตำนานที่น่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับ "เจ้าแห่งป่า" ของมาดากัสการ์ - สัตว์ประหลาดที่มีลำตัวยาวและกรงเล็บขนาดใหญ่ โดยทั่วไปแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ประหลาดยุคใหม่สามารถดำเนินต่อไปได้เป็นเวลานานมาก แต่ยังคงมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพวกมัน!
เราว่ามังกร เราหมายถึงอัซดาร์ชิด
ตัวอย่างเช่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บนเกาะต่างๆ ของอินโดนีเซีย มังกรโคโมโดอาศัยอยู่ - จิ้งจกที่ใหญ่ที่สุดในโลก กิ้งก่ามอนิเตอร์ขนาดใหญ่เหล่านี้มีความยาวถึงสามเมตรและกินลิงและแพะเป็นอาหาร บรรพบุรุษของพวกเขาอาศัยอยู่บนโลกเมื่อ 2 ล้านปีก่อน ทายาทของพวกเขาในรูปแบบเดียวกันมีชีวิตอยู่ได้ดีทุกวันนี้ โดยไม่สงสัยด้วยซ้ำว่าตามข้อมูลของดาร์วิน พวกเขาต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงเชิงวิวัฒนาการบางอย่าง
อย่างไรก็ตาม บนเกาะเดียวกันนี้ ฟอสซิลที่มีชีวิตอื่นๆ (โบราณวัตถุสายวิวัฒนาการ) ได้รับการเก็บรักษาไว้ ซึ่งเกือบจะสอดคล้องกับฟอสซิลที่สูญพันธุ์ไปเมื่อสิบหรือหลายร้อยล้านปีก่อนอย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น ทัวทาราหรือทัวทาราเป็นตัวแทนที่มีชีวิตเพียงชนิดเดียวของประเภทย่อยของสัตว์เลื้อยคลานที่มีหัวจะงอยปาก การค้นพบนี้สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ให้กับนักวิทยาศาสตร์
แม้ว่าเป็นเรื่องปกติที่จะถือว่ามังกรเป็นสัตว์เลื้อยคลานบินกินเนื้อเป็นอาหาร และกิ้งก่าสมัยใหม่ (เช่น กิ้งก่า อิกัวน่า อากาเว กิ้งก่า ฯลฯ) ก็เป็นลูกหลานของพวกมันที่ฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและลืมวิธีบินไป แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอย่างแน่นอน กรณี. แน่นอนว่านักบรรพชีวินวิทยาถือว่ากิ้งก่าเป็นสัตว์ที่ได้รับการดัดแปลงมากที่สุดในชีวมณฑลของโลก และไม่อายุน้อยกว่า แต่มีอายุมากกว่าไดโนเสาร์! จริงอยู่ กิ้งก่าเหล่านั้นในสมัยโบราณอาศัยอยู่ข้างๆ ไดโนเสาร์ไม่เคยบินเลย ต่างจากเรซัวร์ที่เรียนรู้ที่จะทำสิ่งนี้อย่างเชี่ยวชาญ แม้จะมีร่างกายที่ใหญ่โต (ตัวใหญ่ที่สุดหนัก 300 กก. และปีกกว้างถึง 15 ม.) จริงอยู่ ทำไมและอย่างไรพวกมันจึงบินยังคงเป็นปริศนาสำหรับนักวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม สิ่งมีชีวิตดังกล่าวได้ครองราชย์บนท้องฟ้าของโลกเราเป็นเวลาเกือบ 200 ล้านปีติดต่อกัน และในขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าพวกมันเป็นสัตว์เลื้อยคลานหรือไม่
อย่างไรก็ตามเมื่อเรซัวร์หายไปจากพื้นโลกในช่วงกลางยุคครีเทเชียส (90 ล้านปีก่อน) ดาวเคราะห์ดวงนี้ถูกครอบงำโดยตระกูลอัซดาร์คิดส์ซึ่งเป็นกิ้งก่าบินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของโลก ยักษ์ที่มีคอยาวเหินด้วยความเร็วสูงถึง 40 กม./ชม. คว้าเกมที่ไม่ระวังด้วยปากอันทรงพลังของพวกมันแล้วกลืนพวกมันทั้งหมด ค่อนข้างเป็นไปได้ที่ตำนานเกี่ยวกับมังกรมีต้นกำเนิดมาจากพวกมัน สิ่งที่น่าสนใจคือนักบรรพชีวินวิทยาเรียกอัซดาร์ชิดตัวสุดท้ายว่า Quetzalcoatlus นี่คือวิธีที่ชาวอินเดียนแดงมายันตั้งชื่องูศักดิ์สิทธิ์ของตน ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในตำนานมากมายเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตามที่นักบรรพชีวินวิทยาระบุว่า สิ่งมีชีวิตลึกลับเหล่านี้สูญพันธุ์ไปโดยสิ้นเชิงเมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อน ฉันสงสัยว่าใครที่อินเดียเห็นใครอยู่ช้ากว่าเฆี่ยนตีมาก?
นักบรรพชีวินวิทยาแนะนำว่าว่าวบินถูกแทนที่ด้วยสิ่งมีชีวิตขั้นสูงที่ปรับตัวให้เข้ากับการบินได้อย่างสมบูรณ์แบบ (นก) หรือไม่ก็สูญพันธุ์เนื่องจากการเย็นลงของโลกที่เกิดขึ้นเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ตามความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ บุคคลบางคนเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงกลายเป็นต้นแบบของมังกรและว่าวบินในวัฒนธรรมอินเดีย และกิ้งก่าบินสามารถลงมาจากสวรรค์สู่โลกและเปลี่ยนวิถีชีวิตแบบอยู่ประจำที่ สิ่งที่น่าสนใจคือเรซัวร์ตอนปลายมีความคล้ายคลึงกับนกกระทุงสมัยใหม่อย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเรซัวร์หลังนี้จึงมักถูกเรียกว่าเรซัวร์ตัวเล็กด้วยซ้ำ
โดยทั่วไปแล้ว คุณไม่ควรแปลกใจหากวันหนึ่งขณะเก็บเห็ดในป่าหรือว่ายน้ำในแม่น้ำ มีมังกรตัวน้อยน่ารักกระโดดออกมาพบคุณ วิทยาศาสตร์ยอมให้มีความเป็นไปได้นี้ “การไม่พบสิ่งที่ค้นพบไม่ได้หมายความว่าสัตว์ดังกล่าวไม่มีอยู่จริงและไม่มีอยู่จริง แต่เพียงแต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะตรวจพบร่องรอยของการมีอยู่ของพวกมันบนโลก” อเล็กซานเดอร์ ดูบรอฟ แพทย์ศาสตร์ชีววิทยาแห่งรัสเซีย กล่าว
ไม่ว่าในกรณีใด Alexander Gorodnitsky ปริญญาเอกสาขาธรณีวิทยาและแร่วิทยาพนักงานของสถาบันสมุทรศาสตร์ที่ได้รับการตั้งชื่อตาม Shirshov RAS ยังยอมรับความเป็นไปได้ที่กิ้งก่าบินอาศัยอยู่ในช่วงเวลาที่ถูกลืมจริงๆ และญาติของพวกมันก็สามารถอยู่รอดได้ที่ไหนสักแห่ง: “สัตว์ประหลาดที่อธิบายไว้ในตำราโบราณมีอยู่จริงและสามารถดำรงอยู่ได้จริง” ตัวอย่างเช่น “ปลาซีลาแคนท์ครีบกลีบยุคก่อนประวัติศาสตร์ เชื่อกันมานานแล้วว่าสายพันธุ์นี้สูญพันธุ์ไปเมื่อ 200-300 ล้านปีก่อน แต่ค่อนข้างบังเอิญในช่วงทศวรรษ 1990 ปลาถูกจับนอกชายฝั่งแอฟริกาใต้ น่าแปลกใจที่ตลอดหลายล้านปีที่ผ่านมาแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย แม้ว่ามันจะเล็กลงก็ตาม โครงสร้างของโครงกระดูกของเธอเหมือนกับโครงกระดูกของบรรพบุรุษของเธอที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 200 ล้านปีก่อน”
แล้วพวกเขาก็เป็นเช่นนั้น!
แต่ Alexey Rozanov นักวิชาการผู้อำนวยการสถาบันบรรพชีวินวิทยาแห่ง Russian Academy of Sciences ทุบตีเวอร์ชันของการมีอยู่จริงของมังกรจนกลายเป็นโรงตีเหล็ก: "มังกรเป็นสัตว์ในตำนาน (...) พวกมันคล้ายกับกิ้งก่าและนกในเวลาเดียวกัน เวลา และสิ่งนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงเพราะกิ้งก่า "เป็นสัตว์เลื้อยคลาน และนกเป็นเลือดอุ่น" เรซัวร์เป็นเรื่องที่แตกต่างกัน พวกมันเป็น "สิ่งมีชีวิตลึกลับที่เรารู้น้อยมาก แต่เป็นที่ชัดเจนว่าการบินที่กระฉับกระเฉงของพวกมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพวกเขามีอัตราการเผาผลาญสูงเพียงพอ ซึ่งเป็นข้อโต้แย้งที่สนับสนุนการมีเลือดอุ่นของพวกมัน ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์มีแนวโน้มที่จะสรุปว่าไดโนเสาร์โดยทั่วไป (อย่างน้อยก็เป็นสายพันธุ์ที่บินได้) ไม่ใช่สัตว์เลื้อยคลาน เป็นไปได้ทีเดียวที่มันเป็นเลือดอุ่นที่ฆ่ากิ้งก่าบินได้” ปรากฎว่าสัตว์เลื้อยคลานได้รับการปรับให้เข้ากับสภาพความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนแปลงได้ดีกว่า (หลักฐานจากฟอสซิลสายพันธุ์ที่มีชีวิต - กิ้งก่าเลือดเย็นและจระเข้) อย่างไรก็ตามในภาพเขียนหินของชาวออสเตรเลียดึกดำบรรพ์มักพบภาพสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายมังกร นักบรรพชีวินวิทยายืนยันว่านี่คือเมกาลาเนีย ซึ่งเป็นกิ้งก่าขนาดใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายกับกิ้งก่ามอนิเตอร์ที่เคยอาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีเพียงนัก cryptozoologists เท่านั้นที่มั่นใจอย่างยิ่งว่าสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้ยังคงใช้ชีวิตของฤาษีในพุ่มไม้พุ่มของออสเตรเลีย ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าเมกาลาเนียเป็นกิ้งก่ายาว 4-6 เมตร มีกรงเล็บขนาดใหญ่และมีลำตัวจุดสีน้ำตาล แม้ว่ามังกรจะทำให้ชาวออสเตรเลียกลัว แต่มันก็ไม่เคยมีพฤติกรรมก้าวร้าวเลย หรือบางทีอาจจะไม่มีพยานถึงอารมณ์ไม่ดีของเขาเลย? แต่กระดูกเมกาลาเนียยังคงอยู่ ยังคงพบเห็นได้ตามสถานที่ต่างๆ แม้ว่านักบรรพชีวินวิทยายังไม่ได้ค้นพบโครงกระดูกที่สมบูรณ์ แต่พวกเขาได้รวบรวมโครงกระดูกของมังกรออสเตรเลียประมาณ 80% จากเศษชิ้นส่วนแล้ว
แต่นักโหราศาสตร์เชื่ออย่างจริงใจว่ามังกรมีจริงและทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ! มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง แต่อยู่ในโลกแห่งดวงดาว! แต่เราพร้อมช่วยเหลือเสมอและในทุกสิ่ง! มังกรที่เป็นมิตรจะคอยปกป้องบ้านอยู่เสมอ ช่วยให้คุณมองไปสู่อนาคตและช่วยให้คุณใช้พลังงานที่ไม่สิ้นสุดของมัน นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนมีพิธีกรรมมากมายเพื่อส่งพลังมังกรไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการ
ตามที่ D. J. Conway นักเขียนชาวอเมริกันกล่าวไว้ มังกรช่วยให้บุคคลรวบรวมความแข็งแกร่งภายใน ต้านทานการควบคุมที่กำหนดได้สำเร็จ โปรแกรมจิตวิทยาเชิงลบ และกำจัดแรงกดดันของผู้ที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดทางจิต อย่างไรก็ตาม ผู้ติดตามประเพณีของนางฟ้าซึ่งเป็นระบบตำนานนอกรีตตามปฏิทินเซลติกทางจันทรคติของต้นเบธ-หลุยส์-นียง ก็พูดถึงการดำรงอยู่และพลังของมังกรด้วย
ตามความเห็นของพวกเขา มังกรมีร่างกายและพบได้ทุกที่ในทุกวัตถุ การกระทำใดๆ อาจเป็นผลจากพลังมังกร อย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่ามังกรจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกิจการของมนุษย์ โดยถือว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ด้อยกว่า เมื่อมีสิ่งเลวร้ายคุกคามบุคคลเท่านั้น มังกรจึงจะเข้ามาแทรกแซงและให้ความช่วยเหลืออย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม มังกรบางตัวชอบที่จะสื่อสารกับเด็ก ๆ โดยเฉพาะพวกที่มีความสามารถด้านจิตศาสตร์
และเนื่องจากมังกรที่มีชีวิตยังไม่ได้ถูกบันทึกไว้ทั้งบนพื้นมหาสมุทรหรือในป่าที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ เราจึงสรุปได้ว่าพวกมันอาจซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง...
มังกรเป็นตัวละครสำคัญในแนวแฟนตาซี สามารถพบได้ในภาพยนตร์ เกมคอมพิวเตอร์ หนังสือ พวกมันมีอยู่ในตำนานของหลายชาติ... แต่มังกรเป็นสิ่งมีชีวิตในจินตนาการ และไม่มีอะไรจะบังคับให้พวกมันกลายเป็นความจริงได้ แต่บางทีวิวัฒนาการอันยิ่งใหญ่อาจเกิดขึ้นในลักษณะที่มังกรปรากฏบนโลกจริงแทนที่จะเป็นเรื่องโกหกอันเป็นผลมาจากเหตุผลบางประการ
หากคุณมองดูสัตว์ต่างๆ ที่เคยอาศัยอยู่บนโลกนี้อย่างใกล้ชิด หรือกำลังอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ ในบางส่วนคุณจะพบชิ้นส่วนของร่างกายที่มีลักษณะเป็นมังกรแฟนตาซีมาตรฐาน หากเราสามารถ "ประกอบมังกร" จากสัตว์ต่างๆ ได้ ก็เป็นไปได้ทีเดียวที่วิวัฒนาการจะทำแบบเดียวกันได้ภายใต้สถานการณ์บางอย่าง
สิ่งแรกที่มังกรต้องทำคือบินได้ หากคุณศึกษาสัตว์มีกระดูกสันหลังที่พบได้ทั่วไปบนโลกของเรา คุณจะสังเกตเห็นว่าไม่มีสัตว์มีกระดูกสันหลังใดที่มีแขนขาสามคู่ ไม่มีการค้นพบสัตว์ดังกล่าวในระหว่างการขุดค้นทางโบราณคดี - เห็นได้ชัดว่าธรรมชาติไม่ได้คำนึงถึงความเป็นไปได้ของการมีอยู่ของสัตว์มีกระดูกสันหลังที่มีแขนขาสามคู่ขึ้นไปด้วยซ้ำ ดังนั้นปีกที่มักจะวาดไว้บนหลังมังกรจึงไม่น่าจะปรากฏได้ แต่แทนที่จะเป็นพวกมัน มังกรอาจมีปลายแขนเป็นพังผืดและอุ้งเท้าหน้าที่ยาวขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มันบินได้ อย่างเช่น ที่มีอยู่เมื่อประมาณ 65 ล้านปีก่อนบินไป Quetzalcoatlus.
สัตว์มีกระดูกสันหลังไม่มีแขนขาสามคู่ ดังนั้นมังกรจึงมีเพียงความสามารถเดียวเท่านั้นที่จะบินได้ นั่นคือปีกที่เป็นพังผืด
แต่ร่างกายและชุดเกราะที่ดาบและลูกธนูไม่สามารถรับได้ล่ะ? ในกรณีนี้ มังกรสามารถยืมการป้องกันจากจระเข้ได้ เป็นที่ทราบกันว่าหลังของสัตว์เลื้อยคลานมีเกราะที่แข็งแกร่งจนเจาะด้วยดาบหรือลูกธนูได้ยาก จริงอยู่จระเข้มีจุดอ่อน - จุดอ่อน แต่สิ่งสำคัญคือสิ่งมีชีวิตในตัวอย่างที่มีชีวิตสามารถมีเกราะที่ค่อนข้างหนาและในเวลาเดียวกัน
เกราะจระเข้ที่อยู่ด้านหลังนั้นแข็งแกร่งพอที่จะต้านทานการโจมตีจากอาวุธมีดได้ระยะหนึ่ง
และแน่นอนว่ามังกรทุกตัวมีอาวุธร้ายแรง - ลมหายใจที่ลุกเป็นไฟซึ่งเผาทั้งกองทัพ แน่นอนว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถรักษาอุณหภูมิในร่างกายให้สูงเช่นนี้ได้ อย่างไรก็ตามเราคุ้นเคยกับแมลงเต่าทองปืนใหญ่ซึ่งสามารถยิงส่วนผสมทางเคมีที่ให้ความร้อนได้เองซึ่งมีอุณหภูมิถึง 100 ° C
ด้วงปืนใหญ่ยิงส่วนผสมทางเคมีที่ให้ความร้อนได้เองถึงอุณหภูมิ 100 ° C
เจ็ทดังกล่าวสามารถทำให้เกิดแผลไหม้อย่างรุนแรงบนผิวหนังมนุษย์ได้ ทำไมมังกรไม่ควรใช้กลไกการป้องกันนี้ แต่คายส่วนผสมออกไม่ใช่จากช่องท้อง แต่จากต่อมที่อยู่ในปาก? และถ้าคุณมีความคิดสร้างสรรค์และเพิ่มระบบการจุดไฟส่วนผสมให้กับมังกร (เช่นที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยไฟฟ้าที่ผลิตโดยปลาไหลไฟฟ้า) คุณจะได้รับลมหายใจที่ร้อนแรงแบบเดียวกับที่ฆ่าทั้งกองทัพ
แน่นอนว่าทั้งหมดข้างต้นเป็นทฤษฎีล้วนๆ ซึ่งอาจพบกับข้อจำกัดที่คาดไม่ถึงเมื่อได้รับการทดสอบในทางปฏิบัติ แต่การปรากฏตัวในสัตว์จริงที่มีลักษณะและกลไกที่มีอยู่ในมังกรในเทพนิยายทำให้เรามีโอกาสคิดว่าในการวิวัฒนาการรอบต่อไป ภายใต้สถานการณ์บางอย่าง มังกรที่แท้จริงอาจปรากฏบนโลกได้
คนสมัยใหม่เป็นคนขี้ระแวงโดยธรรมชาติ บางทีมันอาจเกิดขึ้นเพราะพวกเขาโตมากับการอ่าน ฟัง และดูเรื่องราวที่ยอดเยี่ยม แล้วพบว่าชีวิตจริงน่าเบื่อกว่ามาก? ปีศาจไม่มีจริง เวทมนตร์ไม่มีอยู่จริง เช่นเดียวกับ Father Frost, Snow Maiden, Baba Yaga และ Brownie แต่เพียงเพราะซานตาคลอสไม่ใช่เจ้าเหนือหัวแห่งเวทมนตร์ที่ทรงพลัง ก็ไม่ได้หมายความว่าในชีวิตจริงจะไม่มีใครที่ไม่ทำสิ่งดี ๆ เพื่อมนุษยชาติอย่างไม่เห็นแก่ตัว และจะไม่ทิ้งสิ่งดี ๆ ไว้มากมาย .
เราพักความสงสัยของเราไว้สักครู่แล้วลองดูสิบสิ่งด้านล่าง (บวกโบนัส) ที่ถือว่าเป็นตำนานแต่มีอยู่จริงหรือเทียบเท่าในโลกแห่งความเป็นจริง
10. มังกร
ทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับมังกรนั้นอาศัยกระดูกที่หายไปของจระเข้และไดโนเสาร์ อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถเรียกสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ว่ามังกรจริงๆ ได้ เพราะมนุษย์ไม่เคยเจอไดโนเสาร์และจระเข้ก็มีขนาดเล็กเกินไป และนั่นคือจุดที่เมกาลาเนีย ซึ่งเป็นญาติในสมัยโบราณของมังกรโคโมโดที่คุกคามชาวพื้นเมืองออสเตรเลียเข้ามามีบทบาท มันมีความยาวได้ถึง 8 เมตร และหนักได้ถึง 1.9 ตัน น้ำลายที่เป็นพิษของเธอซึ่งมีสารป้องกันการแข็งตัวของเลือดทำให้เหยื่อของเธอมีเลือดออกถึงตาย
9. ฮอบบิท
ในระหว่างการขุดค้นในถ้ำหินปูนบนเกาะฟลอเรสในอินโดนีเซีย ได้มีการค้นพบโครงกระดูกที่สูงประมาณ 1 เมตร ซึ่งมีขนาดกะโหลกศีรษะเพียง 1 ใน 3 ของฮอบบิทมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น นักวิจัยได้ค้นพบซากศพของบุคคลดังกล่าว 9 ราย โดยโครงกระดูกที่อายุน้อยที่สุดมีอายุประมาณ 12,000 ปี พวกเขายังค้นพบเครื่องมือและสัญลักษณ์อื่น ๆ ของอารยธรรมอีกด้วย มีคนขี้ระแวงที่เชื่อว่าฮอบบิทเป็นเพียงคนที่เป็นโรคที่ยับยั้งการเจริญเติบโตบางประเภท เช่น ภาวะศีรษะเล็ก อย่างไรก็ตาม ความเชื่อทั่วไปในหมู่นักวิทยาศาสตร์ก็คือฮอบบิทเป็นสายพันธุ์ที่แยกจากกัน เช่นเดียวกับสายพันธุ์ของมนุษย์ยุคหินซึ่งมีบรรพบุรุษร่วมกันกับมนุษย์ นอกจากนี้ ยังมีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งหากจำเป็น คุณสามารถปาแหวนได้...
8. คราเคน
มีความเห็นว่าภาพลักษณ์ของคราเคนได้รับแรงบันดาลใจจากการเผชิญหน้ากับปลาหมึกยักษ์ อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดใช่ไหม? ด้วยดวงตาที่มีขนาดเท่าวอลเลย์บอลชายหาด ปลาหมึกยักษ์จึงมีขนาดมหึมาอย่างแท้จริง แต่ก็ขาดความน่ากลัว เขาดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตที่เราจินตนาการถึงการฉีกเรือเป็นชิ้นๆ
อย่างไรก็ตาม ปลาหมึกยักษ์เพิ่งถูกค้นพบในมหาสมุทรใต้ เชื่อกันว่ามีความยาวลำตัวถึง 14 เมตร และจะงอยปากและดวงตาจะใหญ่กว่าปลาหมึกยักษ์มาก สิ่งที่ทำให้ปลาหมึกแตกต่างจากปลาหมึกอื่นๆ ก็คือ นอกจากตัวดูดแล้ว แขนขาของมันยังหุ้มด้วยตะขอแหลมคม บางตัวโค้งเข้าด้านใน และบางตัวมีปลายเล็บสามอัน นี่เป็นสิ่งที่สามารถสร้างความเสียหายได้อย่างแท้จริง
7. แอมะซอน
คุณคงเคยได้ยินเกี่ยวกับชาวแอมะซอน ชนเผ่าหญิงล้วนที่เป็นนักรบที่ดุร้าย พวกเขายังเป็นที่รู้จักจากตำนานเกี่ยวกับการหาประโยชน์ของเฮอร์คิวลีส เฮโรโดทัสนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกบรรยายถึงชะตากรรมของชาวแอมะซอนดังนี้: เขาบอกว่าพวกเขาถูกจับและขนส่งไปยังดินแดนอื่นจากนั้นพวกเขาก็โค่นล้มผู้จับกุมของพวกเขาถูกเรืออับปางและจบลงที่บริภาษยูเรเชียนซึ่งพวกเขาต่อสู้กับไซเธียนส์ ด้วยความเชื่อว่าชาวแอมะซอนอาจเป็นภรรยาที่เข้มแข็งได้ ชายชาวไซเธียนจึงตัดสินใจต่อสู้กับพวกเขาในด้านความรักเท่านั้น หลังจากรอดพ้นจากช่วงขึ้นๆ ลงๆ เหล่านี้ ชาวแอมะซอนจึงตกลงที่จะแต่งงานกับชายชาวไซเธียน แต่มีเงื่อนไขว่าพวกเขาจะยอมให้ลูกสาวของตนสืบสานประเพณีอันน่าภาคภูมิใจของแม่และกลายเป็นนักรบ
เฮโรโดตุสขึ้นชื่อในเรื่องความรักในการประดับประดาประวัติศาสตร์ ดังนั้นจึงไม่ควรเชื่อเขาเว้นแต่คำพูดของเขาจะได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางโบราณคดี อย่างไรก็ตาม มีการสำรองข้อมูลไว้แล้ว การขุดหลุมศพโบราณบนที่ราบยูเรเชียนแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงชาวไซเธียนในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญได้รับความเสียหายจากกระดูกที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ และพวกเธอถูกฝังไว้ด้วยดาบ คันธนู มีดสั้น และอาวุธอื่นๆ ของนักรบ
6. หมาป่าดิเรก
หมาป่าร้ายกาจปรากฏตัวในเกมสวมบทบาทหลายเกม และคุณอาจเพิ่งอ่านหรือเห็นเขาใน Game of Thrones เมื่อไม่นานมานี้ ในชีวิตจริง หมาป่าที่น่ากลัวอยู่ร่วมกับมนุษย์ยุคแรกในสัตว์ขนาดใหญ่ในยุคไพลสโตซีน พวกมันตัวใหญ่และแข็งแกร่งกว่าหมาป่าธรรมดา และฟันของพวกมันก็คมกว่า
อย่างไรก็ตาม เมื่อสัตว์ขนาดใหญ่เริ่มสูญพันธุ์ หมาป่าที่ดุร้ายก็สูญเสียแหล่งอาหารหลักไป พวกเขาช้าเกินไปที่จะล่าเหยื่อแบบที่หมาป่าสีเทาสมัยใหม่ล่าโดยบังคับให้พวกมันกลายเป็นคนเก็บขยะ - แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งนี้ก็ตาม ในที่สุดพวกเขาก็สูญพันธุ์
5. ซิลล่าและชาริบดิส
วันหนึ่งระหว่างการเดินทาง Odysseus ถูกบังคับให้บังคับเรือของเขาผ่านถ้ำแคบ ๆ ซึ่งมีสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวรอเขาและลูกเรืออยู่ทั้งสองด้าน บนชายฝั่งแห่งหนึ่ง Scylla สัตว์ประหลาดหลายหัวกำลังรอเรือของเขา ซึ่งลากลูกเรือส่วนหนึ่งของ Odysseus ออกจากดาดฟ้า ในอีกด้านหนึ่ง Charybdis สัตว์ทะเลที่รอเขาอยู่ซึ่งใช้กรวยดูดเรือลงไปที่ก้นทะเล โอดิสสิอุ๊สตัดสินใจล่องเรือไปใกล้ซิลลา โดยเชื่อว่าจะต้องสูญเสียคนไปไม่กี่คน แต่ยอมให้ทุกคนมีชีวิตรอด ดีกว่าเสียเรือทั้งลำและคนของเขาทั้งหมด
ช่องแคบเมสซีนาวิ่งระหว่างซิซิลีและแผ่นดินใหญ่อิตาลี ตามตำนานเล่าว่า Skilla และ Charybdis อาศัยอยู่ที่นี่ Charybdis จริงๆ แล้วเป็นช่องทาง เพียงแต่ไม่มีสัตว์ประหลาดอยู่ในนั้น และกระแสของมันก็สงบมากกว่าที่อธิบายไว้ในตำนานมาก อีกฝั่งของช่องแคบมีน้ำตื้นที่เป็นหิน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนสร้างตำนานเกี่ยวกับศีรษะของซิลลา ในความเป็นจริง Odysseus คงจะดีกว่าถ้าเลือก Charybdis
4. เบอร์เซิร์กเกอร์
Berserkers ไม่ใช่แค่ฮีโร่ที่นำมาจากภาพหน้าจอของเกม Skyrim เท่านั้น การกล่าวถึงครั้งแรกเหล่านี้สามารถพบได้ในบทกวีนอร์เวย์เก่า ๆ พวกเขาเป็นนักรบที่ค่อนข้างน่ากลัวในสมัยของพวกเขา แต่พวกเขาได้รับความแข็งแกร่งและความคงกระพันเหนือธรรมชาติได้อย่างไร? แน่นอนว่าความบ้าคลั่งในตำนานของพวกเขาในการต่อสู้นั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการปรุงแต่งประวัติศาสตร์? แต่ไม่ สิ่งนี้เกิดขึ้นจริง พวกเขาเสพยาก่อนการต่อสู้ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นสารหลอนประสาท ซึ่งทำให้พวกเขากล้าหาญ แข็งแกร่ง และต้านทานต่อความเจ็บปวดและอันตราย นักวิจัยพบว่ายาบูโฟทีนีนสามารถจำลองผลของความโกรธที่รุนแรงได้
3. หอคอยแห่งบาเบล
การก่อสร้างหอคอยบาเบลต่างจากสวนแขวนตรงที่มีหลักฐานจากการค้นพบทางโบราณคดีที่พบในสถานที่ขุดค้นบาบิโลน และพิสูจน์ว่าเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 ได้รับสิทธิ์ในการก่อสร้าง
อย่างไรก็ตาม มันไม่ใช่สถานที่ที่ผู้คนพูดเรื่องไร้สาระที่พระเจ้าทำลาย มันคือซิกกุรัตที่เรียกว่าเอเทเมนันกิ ซึ่งเป็นวิหารของเทพเจ้ามาร์ดุก ซึ่งต่อมาถูกทำลายโดยอเล็กซานเดอร์มหาราช เขาต้องการสร้างมันขึ้นมาใหม่ตามที่เห็นสมควร แต่ก็เสียชีวิตก่อนที่จะทำได้ หลังจากนั้นหลายคนพยายามสร้างวัดขึ้นใหม่ตามความคิดของตนเอง โดยรื้อสิ่งที่เคยสร้างไว้ทุกครั้งเพื่อเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่ไม่มีใครสามารถทำอะไรให้สำเร็จได้ ปรากฎว่าสถานที่แห่งนี้อาจเป็นสัญลักษณ์ของการที่มนุษย์ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้
2. โมบี้ ดิ๊ก และกัปตันอาหับ
Moby Dick สร้างจากเรื่องราวเกี่ยวกับวาฬสเปิร์มขาวยักษ์ในชีวิตจริง ยิ่งกว่านั้นวาฬสเปิร์มตัวจริงยังเจ๋งกว่าในหนังสือมาก จริงๆ แล้วชื่อของเขาคือ Mocha Dick อาจเป็นเพราะเขาอาศัยอยู่ใกล้เกาะ Mocha เขาชนะการต่อสู้ด้วยเรือล่าวาฬหลายร้อยลำ ทุบบางส่วนเป็นชิ้น ๆ แล้วส่งลงสู่ก้นทะเล วันหนึ่งเขาต่อสู้กับเรือล่าวาฬสามลำพร้อมกันและได้รับชัยชนะ
ตัวละครของกัปตันอาหับมีพื้นฐานมาจากบุคคลจริงที่อาศัยอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับพี่ดิ๊ก กัปตันพอลลาร์ดไม่ได้ต้องการแก้แค้นหลังจากที่วาฬทำลายเรือของเขา เขาและลูกเรือต้องหันไปพึ่งการกินเนื้อคนเพื่อความอยู่รอด แต่เขาออกทะเลอีกครั้งในฐานะกัปตันบนเรือลำใหม่...ซึ่งจมลงเช่นกัน คราวนี้เนื่องจากพายุ เขาใช้เวลาหลายปีที่เหลือทำงานเป็นยามกลางคืน
1. อิมูกิ หรือ มังกรเกาหลี
ตำนานเกาหลีเล่าถึงอิมูจิ - งูหลามตัวใหญ่ที่ถือว่าเป็นมังกรอายุน้อย ตามตำนานเล่าว่า Imuji อาศัยอยู่ในน้ำหรือถ้ำ และต้องอาศัยอยู่บนโลกเป็นเวลาพันปีก่อนที่พวกมันจะขึ้นสู่สวรรค์และกลายเป็นมังกรที่แท้จริงและมีรูปร่างสมบูรณ์
แม้ว่ามันจะอาศัยอยู่ในอเมริกาใต้ไม่ใช่เกาหลี แต่ก็มีงูเหลือมขนาดมหึมาเช่นนี้อยู่ เขาตัวใหญ่มากจนเราเข้าใจผิดว่าเป็นมังกรหนุ่มได้ Titanoboa มีความยาวประมาณ 14 เมตร และหนักมากกว่า 1 ตัน เขาบีบคอเหยื่อด้วยแรง 400psi ซึ่งเทียบเท่ากับการที่สะพานบรูคลินล้มทับคุณ ซึ่งหนักกว่าเพียง 1.5 เท่าเท่านั้น งูหลามชนิดนี้สามารถกลืนคนโดยที่ร่างกายไม่ขยายตัวในขณะที่ร่างกายของบุคคลนั้นเคลื่อนผ่านระบบย่อยอาหาร พวกมันสูญพันธุ์ไปเมื่อหลายปีก่อน แต่ฉันอยากจะคิดว่าพวกมันขึ้นไปและกลายเป็นมังกร
โบนัส:
ทวารกา - อาณาจักรแห่งกฤษณะ (เมืองทวารกาของกฤษณะ)
ตามตำนาน พระกฤษณะ (ชาวฮินดูเทียบเท่ากับพระเยซู) ปกครองเมืองทวารกาจนกระทั่งเมืองถูกกลืนหายไปในทะเล การค้นหาเมืองทวารกาที่สาบสูญจะเทียบเท่ากับการค้นหาจอกศักดิ์สิทธิ์หรือเรือโนอาห์สำหรับชาวฮินดู
นักโบราณคดีได้ค้นพบเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำนอกชายฝั่งอินเดียแล้ว ภาพนูนหินที่พบในเมืองนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันว่าเป็นเมืองทวารกาซึ่งเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของพระกฤษณะอีกด้วย