เมฆที่หายากที่สุด เมฆชนิดหายาก
เมฆเป็นผลจากการควบแน่นของไอน้ำที่ลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศและมองเห็นได้ในท้องฟ้าจากพื้นผิวโลก เมฆประกอบด้วยหยดน้ำและ/หรือผลึกน้ำแข็งเล็กๆ (เรียกว่า องค์ประกอบของเมฆ) องค์ประกอบของเมฆหยดสังเกตได้เมื่ออุณหภูมิอากาศในเมฆสูงกว่า −10 °C; เมฆที่มีองค์ประกอบผสมระหว่าง -10 ถึง −15 °C (หยดและคริสตัล) และที่อุณหภูมิในเมฆต่ำกว่า -15 °C องค์ประกอบของเมฆจะเป็นผลึก เมื่อองค์ประกอบของเมฆมีขนาดใหญ่ขึ้นและอัตราการตกเพิ่มขึ้น พวกมันก็จะตกลงมาจากก้อนเมฆในรูปแบบของการตกตะกอน
เมฆแม่และเด็ก
เมฆแม่และเด็ก (Altocumulus lenticularis) เป็นคำที่อ้างถึงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ค่อนข้างหายาก การก่อตัวของเมฆเลนติคูลาร์เกิดขึ้นบนยอดคลื่นอากาศหรือระหว่างอากาศสองชั้น สภาวะในการก่อตัวของเมฆเลนติคูลาร์คืออากาศชื้นที่ไหลผ่านภูเขาหรือทิวเขา ก่อตัวเป็นคลื่นนิ่งขนาดใหญ่หลายลูกทางด้านลม หากอุณหภูมิที่ยอดคลื่นลดลงถึงจุดน้ำค้าง ความชื้นในอากาศอาจก่อตัวเป็นเมฆเลนส์ได้
คุณลักษณะเฉพาะของเมฆประเภทนี้คือไม่เคลื่อนไหวแม้ว่าลมจะแรงมากก็ตาม เมื่อกระแสลมที่เคลื่อนผ่านพื้นผิวโลกผ่านสิ่งกีดขวางจะทำให้เกิดคลื่นอากาศ ตามกฎแล้วพวกมันจะอยู่ทางด้านใต้ของเทือกเขาที่ระดับความสูง 2 ถึง 15 กิโลเมตรตั้งฉากกับทิศทางของลม เมฆแม่และเด็กถูกจัดประเภทโดยนักอุตุนิยมวิทยาของสหรัฐอเมริกาเป็น altocumulus lenticular (ACSL), stratocumulus lenticular (SCSL) และ cirrocumulonticular (CCSL) เนื่องจากรูปร่างของมัน เมฆเลนติคูลาร์จึงมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวัตถุบินที่ไม่ปรากฏชื่อ
คลื่นหยาบ (Undulatus asperatus)
Undulatus asperatus หรือที่รู้จักกันในชื่อ " " คือการก่อตัวของเมฆรูปแบบใหม่ที่ได้รับการจำแนกเป็นสายพันธุ์ที่แยกจากกันในปี 2009 โดยผู้ก่อตั้ง Cloud Appreciation Society เขาเป็นผู้เสนอให้แนะนำเมฆประเภทนี้ใน International Cloud Atlas จากองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หากข้อเสนอนี้ได้รับการยอมรับ ก็จะเป็นกลุ่มเมฆแรกที่เพิ่มเข้ามาในแผนที่นี้นับตั้งแต่ปี 1951 เมื่อมีการเพิ่มเซอร์รัส อินตอร์ตัส ชื่อนี้แปลมาจากภาษาละตินว่า "คลื่นที่เพิ่มขึ้น"
เมฆประเภทนี้มีลักษณะคล้ายกับเมฆหยักมากที่สุด แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีสีเข้มและมีพายุ แต่โดยทั่วไปแล้วเมฆเหล่านี้จะสลายไปอย่างรวดเร็วและไม่ก่อให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนอง เมฆ Undulatus asperatus ที่ดูเป็นลางร้ายพบได้ทั่วไปในรัฐที่ราบต่ำของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมักพบเห็นในช่วงเช้าหรือบ่ายหลังเกิดพายุฝนฟ้าคะนองแบบหมุนเวียน
เมฆกลางคืน (เรืองแสงหรือมีชั้นบรรยากาศ)
นี่เป็นปรากฏการณ์บรรยากาศที่ค่อนข้างหายาก เมฆดังกล่าวสามารถสังเกตได้เฉพาะในช่วงพลบค่ำเท่านั้น มักพบเห็นได้ในช่วงฤดูร้อนที่ละติจูดระหว่าง 50° ถึง 70° เหนือและใต้ เมฆเหล่านี้ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็ง เหล่านี้เป็นเมฆที่สูงที่สุดในชั้นบรรยากาศของโลก โดยทั่วไปเมฆกลางคืนจะก่อตัวในชั้นมีโซสเฟียร์ที่ระดับความสูงประมาณ 85 กิโลเมตร พวกมันซีดเกินกว่าจะสังเกตด้วยตาเปล่าได้ เมฆเหล่านี้จะมองเห็นได้ก็ต่อเมื่อได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์จากเหนือขอบฟ้า ในขณะที่ชั้นบรรยากาศชั้นล่างอยู่ใต้เงาโลก เป็นไปไม่ได้ที่จะสังเกตเห็นเมฆดังกล่าวในระหว่างวัน นอกจากนี้ ความหนาแน่นของแสงยังต่ำมากจนมองเห็นดาวฤกษ์ได้ชัดเจนผ่านดาวฤกษ์ส่วนใหญ่ เมฆ Noctilucent ยังคงเป็นปรากฏการณ์ที่ยังไม่มีใครสำรวจจนกระทั่งปี 1885 จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาธรรมชาติของพวกเขาอย่างสมบูรณ์
เมฆ Noctilucent สามารถก่อตัวได้ภายใต้สภาวะที่รุนแรงมากเท่านั้น และการปรากฏตัวของเมฆเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชั้นบรรยากาศชั้นบนซึ่งนักอุตุนิยมวิทยายังไม่ได้ทำการศึกษา ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องนี้เชื่อว่าการปรากฏตัวของเมฆกลางคืนมีความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในคืนหลังภัยพิบัติ Tunguska เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2451 มีการสังเกตเห็นเมฆกลางคืนทั่วทุกแห่งในยุโรปตะวันตกและรัสเซีย กลายเป็นที่มาของความผิดปกติทางการมองเห็น
เมฆเซอร์โรคิวมูลัสผิดรูป
เมฆเซอร์โรคิวมูลัสบางก้อนมีลักษณะเป็นวงกลมไม่ต่อเนื่องขนาดใหญ่ หลุมดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิของน้ำในเมฆต่ำกว่าศูนย์ แต่น้ำยังไม่แข็งตัวเนื่องจากไม่มีนิวเคลียสของอนุภาคน้ำแข็ง
เมื่อน้ำบางส่วนเริ่มแข็งตัว ผลโดมิโนจะเกิดขึ้นเนื่องจากกระบวนการเบอร์เกอรอน ทำให้ไอน้ำกลายเป็นน้ำแข็งและบางครั้งก็ตกลงสู่พื้น ผลที่ได้คือรูขนาดใหญ่ที่มักเป็นทรงกลมในก้อนเมฆ เมฆดังกล่าวไม่ได้มีอยู่เฉพาะในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ใดๆ และได้รับการถ่ายภาพจากสหรัฐอเมริกาไปยังรัสเซีย เนื่องจากมีลักษณะที่ผิดปกติ เมฆดังกล่าวจึงมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวัตถุบินที่ไม่ปรากฏชื่อ
เมฆ "เต้านม"
เมฆแมมมาตัสเป็นคำอุตุนิยมวิทยาที่ใช้กับการก่อตัวของโครงสร้างเซลล์ใต้ฐานเมฆ ชื่อ mammatus มาจากภาษาละติน mamma (แปลว่า "เต้านม" หรือ "เต้านม") และหมายถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างรูปร่างลักษณะเฉพาะของเมฆเหล่านี้กับหน้าอกของผู้หญิง พวกมันหายากและส่วนใหญ่อยู่ในละติจูดเขตร้อนเพราะว่า เกี่ยวข้องกับการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน
เมฆ “รูปร่างคล้ายเต้านม” สามารถแผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้าเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรในทิศทางที่แตกต่างกัน และการก่อตัวของพวกมันเองก็คงที่เป็นระยะเวลาหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วเมฆ "เต้านม" ถือเป็นลางสังหรณ์ของพายุเฮอริเคนที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือสภาพอากาศสุดขั้วอื่นๆ พวกมันมักก่อตัวบนพื้นฐานของเมฆคิวมูโลนิมบัส แต่เมฆอัลโตคิวมูลัส อัลโตสเตรตัส เมฆสตราโตคิวมูลัส และเมฆเซอร์รัสก็สามารถก่อตัวเป็นพื้นฐานสำหรับการก่อตัวได้ เถ้าภูเขาไฟ
เมฆหยัก
เมฆหยักคือเมฆที่เกิดจากกระบวนการคลื่นในชั้นบรรยากาศ ตรงข้ามกับเมฆสเตรตัสที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนตัวขึ้นด้านบนและเมฆคิวลิฟอร์มที่เกี่ยวข้องกับการพาความร้อน
เมฆสีรุ้ง
สิ่งที่เรียกว่าเมฆสีรุ้งหรือสีรุ้งบนเมฆเป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างหายาก เมฆเหล่านี้สามารถทาสีด้วยสีที่เป็นไปได้ทั้งหมดของสเปกตรัม แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นสีพาสเทล เมฆสีรุ้งเกิดจากหยดน้ำเล็กๆ ที่มีขนาดเกือบเท่ากัน เมฆสีรุ้งปรากฏขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ครอบครองตำแหน่งที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดบนท้องฟ้าและเกือบจะซ่อนอยู่หลังเมฆที่หนาแน่นกว่า เนื่องจากการเลี้ยวเบนของแสงอาทิตย์บนเมฆบางๆ ที่สอดคล้องกัน เมฆเหล่านี้จึงมีสีที่แตกต่างกัน เนื่องจากรังสีแสงที่มีความยาวคลื่นต่างกันจะเบนเหไปทางมุมที่ต่างกัน
มันมักจะเกิดขึ้นที่เมฆสีรุ้งจางหายไประยะหนึ่ง เมฆสีรุ้งสามารถก่อตัวจากเมฆอัลโตคิวมูลัส เซอร์โรคิวมูลัส และเลนติคูลาร์ และน้อยมากที่จะเกิดขึ้นจากเมฆเซอร์รัส
เมฆท่อ
เมฆแบบท่อหรือที่เรียกว่าปกพายุฝนฟ้าคะนองหรือปกพายุเป็นเมฆแนวนอนต่ำที่มีรูปร่างคล้ายท่อและค่อนข้างหายาก คอพายุฝนฟ้าคะนองอาจก่อตัวใกล้แนวหน้าหนาวที่กำลังจะมาถึง หากกระแสลมที่พัดลงมาจากพายุที่กำลังใกล้เข้ามาบังคับให้อากาศอุ่นและชื้นลอยขึ้น อากาศจะเย็นลงต่ำกว่าจุดน้ำค้างและก่อตัวเป็นเมฆ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันในแนวหน้าที่ขยายออกไป อาจเกิดสิ่งที่เรียกว่าคอพายุฝนฟ้าคะนองได้ ในเมฆดังกล่าว อากาศจะหมุนรอบแกนนอนอันยาวของมัน เชื่อกันว่าคอพายุไม่สามารถกลายเป็นพายุทอร์นาโดได้ ต่างจากเมฆที่ยื่นออกมาหรือเมฆชั้นที่คล้ายกัน คอพายุฝนฟ้าคะนองแยกจากเมฆคิวมูโลนิมบัสที่กำเนิดเมฆโดยสิ้นเชิง
ตัวอย่างที่มีชื่อเสียงที่สุดของปลอกคอพายุฝนฟ้าคะนองคือ Morning Glory ซึ่งเกิดขึ้นในอ่าวคาร์เพนทาเรียในรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ตามกฎแล้วปลอกคอพายุฝนฟ้าคะนองนี้ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 100-200 เมตร สามารถเข้าถึงระดับที่สำคัญและเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ปกพายุฝนฟ้าคะนองชายฝั่งได้รับการบันทึกบริเวณแคลิฟอร์เนีย ช่องแคบอังกฤษ หมู่เกาะเชตแลนด์ ลิทัวเนีย รัสเซียตะวันออก และภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงออสเตรเลีย นอกชายฝั่งเม็กซิโกในทะเลคอร์เตซ อุรุกวัย โนวาสโกเชีย และออนแทรีโอ รวมถึงในบราซิลด้วย ในอ่าวโคโรเนลวิวิดา
ชั้นเมฆ (ยื่นออกมา)
เมฆเด่นหรือชั้นเมฆเป็นเมฆแนวนอน ต่ำ รูปทรงลิ่ม ซึ่งโดยทั่วไปมักเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง โดยปกติจะมองเห็นเมฆที่โดดเด่นก่อนเกิดพายุ อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญของอากาศที่ค่อนข้างเย็นได้ เมฆที่ยื่นออกมาแตกต่างจากกลุ่มเมฆฝนฟ้าคะนองตรงที่พวกมันมักจะเชื่อมโยงกับระบบเมฆที่ใหญ่กว่าด้านบนเสมอ
คลาวด์ชั้นวางมักสับสนกับธนาคารคลาวด์ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเมฆประเภทนี้ก็คือ เมฆชั้นเป็นผู้ก่อกวนของพายุ ในขณะที่ธนาคารเมฆมาภายหลังพายุ
เมฆแบบไพโรคิวมูเลชัน
เมฆไพโรคิวมูลัส (ไพโรคิวมูลัส) หรือเมฆไฟได้ชื่อมาจากการที่เปลวไฟก่อให้เกิดกระแสลมพัดพา ซึ่งเมื่อสูงขึ้นและถึงระดับการควบแน่นทำให้เกิดเมฆ
การปรากฏตัวของเมฆ pyrocumulative อาจเกิดจากการปะทุของภูเขาไฟ การเผาป่า ไฟไหม้อุตสาหกรรม และจากการระเบิดของปรมาณูด้วย
เมฆสตราโตสเฟียร์ขั้วโลก
เมฆสตราโตสเฟียร์ขั้วโลกหรือที่รู้จักกันในชื่อเมฆเนเคอร์รัส ก่อตัวที่ระดับความสูง 15 ถึง 25 กิโลเมตรในพื้นที่หนาวเย็นของสตราโตสเฟียร์ (อุณหภูมิต่ำกว่า -78°) มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อตัวของหลุมโอโซน และผลกระทบต่อการสูญเสียโอโซนก็เนื่องมาจากข้อเท็จจริงที่ว่ามันสนับสนุนปฏิกิริยาเคมีที่ก่อให้เกิดคลอรีนที่ใช้งานอยู่ ซึ่งกระตุ้นการทำลายโอโซน อากาศในชั้นสตราโตสเฟียร์แห้งมาก ดังนั้นจึงมักไม่เกิดเมฆในบริเวณนั้น แต่ในฤดูหนาวบางครั้งอุณหภูมิของสตราโตสเฟียร์จะลดลงจนถึงค่าที่เมฆยังคงก่อตัวอยู่
เมฆปกคลุมสามารถก่อตัวเหนือเมฆเถ้าหรือเมฆไฟระหว่างการปะทุของภูเขาไฟ
เมฆเซอร์รัส
เมฆเซอร์รัสเป็นเมฆบางๆ คล้ายเส้นด้ายที่แยกจากกัน มีลักษณะเป็นเส้นใยบางๆ สีขาว หรือมีสันและกระจุกยาวเป็นสีเทาเล็กน้อย มักมีลักษณะเป็นเคราขนนก ซึ่งมักเป็นสีขาว บางครั้งพวกมันอยู่ในแถบลายที่ตัดผ่านนภาเหมือนเส้นเมอริเดียน และด้วยมุมมองที่ดูเหมือนว่าจะมาบรรจบกันที่จุดหนึ่งหรือสองจุดที่อยู่ตรงข้ามกันบนขอบฟ้า (ส่วนใหญ่มักจะอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ) ในช่วงรุ่งเช้าและพลบค่ำ เมฆเซอร์รัสจะกลายเป็นสีชมพูและสีทอง
ที่การวางแนวของผลึกน้ำแข็งที่ประกอบกันเป็นเมฆเซอร์รัส จะสามารถสังเกตปรากฏการณ์ทางแสง เช่น ส่วนโค้งแนวนอนเป็นวงกลมกับพื้นหลังได้
เมฆเรย์
เมฆเรย์หรือแอกติโนฟอร์มเป็นกลุ่มเมฆต่ำที่ก่อตัวเป็นวงกว้างในพื้นที่ชายฝั่งทะเลซึ่งมีรูปทรงหลากหลาย พวกมันตั้งชื่อตามคำภาษากรีกที่แปลว่า "รังสี" เนื่องจากมีโครงสร้างเป็นรัศมี เมฆเรย์สามารถขยายออกไปได้ไกลถึง 300 กิโลเมตร คุณสามารถดูได้ด้วยความช่วยเหลือจากดาวเทียมเท่านั้น
ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายลักษณะของชั้นบรรยากาศเหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ
นอกจากโลกแล้ว ยังมีการสังเกตเมฆบนดาวเคราะห์ยักษ์ทุกดวง บนดาวอังคาร ดาวศุกร์ และดาวเทียมไททันและไทรทัน เมฆนอกโลกมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น บนดาวศุกร์ ชั้นเมฆที่หนาที่สุดประกอบด้วยกรดซัลฟิวริกเป็นส่วนใหญ่ เมฆของไททันเป็นแหล่งของฝนมีเทนที่อุณหภูมิ -180°C รุ่งอรุณมีเมฆมากบนดาวอังคาร:
เมฆคืออะไร? สิ่งเหล่านี้คือหยดน้ำหรือผลึกน้ำแข็งเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศและมองเห็นได้บนท้องฟ้าจากพื้นผิวโลก เมฆยังเป็นภาพโคลงสั้น ๆ ที่รู้จักกันดีซึ่งเกี่ยวข้องกับสันติภาพและความสงบสุข
เมฆมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ในทุกส่วนของโลกของเรา แต่ในธรรมชาติก็มีเช่นกัน เมฆชนิดหายากที่น้อยคนจะโชคดีได้เห็น.
ภาพรวมขนาดใหญ่ของเมฆประเภทที่หายากที่สุด
คอฟ้าร้อง
ปรากฏการณ์สภาพอากาศที่สวยงามนี้เรียกว่า คอพายุ- เมฆยาวที่หายากซึ่งมักก่อตัวก่อนเคลื่อนตัวเข้าสู่แนวหนาว
เมฆประเภทนี้ก่อตัวได้อย่างไร? อากาศอุ่นและชื้นที่เพิ่มขึ้นจะเย็นลงต่ำกว่าจุดน้ำค้างและควบแน่นจนกลายเป็นเมฆ หากกระบวนการดังกล่าวเกิดขึ้นตลอดความยาวตลอดแนวหน้าอากาศที่ยาวออกไป ก็อาจเกิดคอพายุฝนฟ้าคะนองได้
กระแสอากาศในบริเวณปกพายุฝนฟ้าคะนองสามารถไหลเวียนรอบแกนนอนได้ แต่พายุทอร์นาโดไม่สามารถก่อตัวจากเมฆดังกล่าวได้
เมฆเลนซ์ติคูลาร์
เมฆแม่และเด็ก (แม่และเด็ก)- ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ค่อนข้างหายาก ก่อตัวบนยอดคลื่นอากาศหรือระหว่างอากาศสองชั้น
ลักษณะที่น่าทึ่งของเมฆเหล่านี้ก็คือ พวกมันไม่ขยับและคงอยู่บนท้องฟ้าราวกับติดกาว ไม่ว่าลมจะแรงแค่ไหนก็ตาม พวกมันดูเหมือนยูเอฟโอที่ลอยอยู่ในอากาศ
โดยปกติเมฆจะลอยอยู่ในแนวเทือกเขา หลังสันเขา และยอดเขาแต่ละแห่งที่ระดับความสูง 2 ถึง 15 กิโลเมตร
การปรากฏตัวของเมฆแม่และเด็กบ่งบอกว่าอากาศมีความชื้นค่อนข้างสูง ซึ่งมักเกิดจากการเข้าใกล้ของแนวหน้าบรรยากาศ
เมฆ Noctilucent (กลางคืนเรืองแสง)
เมฆ Noctilucent เป็นกลุ่มเมฆที่สูงที่สุด ปรากฏที่ระดับความสูง 75-95 กม. พ.ศ. 2428 ถือเป็นช่วงเวลาที่เมฆประเภทนี้ถูกค้นพบ
อีกชื่อหนึ่งของเมฆ - เมฆส่องสว่างยามค่ำคืน - สอดคล้องกับรูปลักษณ์ของมันอย่างแม่นยำที่สุด ในระหว่างวัน แม้จะอยู่บนท้องฟ้าที่แจ่มใส เมฆเหล่านี้ก็ไม่สามารถมองเห็นได้ เพราะมันบางมาก: มองเห็นดวงดาวได้ชัดเจนผ่านพวกมัน
เมฆ Noctilucent สามารถสังเกตได้เฉพาะในฤดูร้อนเท่านั้น: ในซีกโลกเหนือในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ในซีกโลกใต้ในช่วงปลายเดือนธันวาคมและมกราคม
ในคืนหลังภัยพิบัติ Tunguska เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2451 มีการสังเกตเห็นเมฆกลางคืนทั่วทุกแห่งในยุโรปตะวันตกและรัสเซีย กลายเป็นที่มาของความผิดปกติทางการมองเห็น
ปรากฏการณ์ฟอลส์สตรีคในเมฆเซอร์โรคิวมูลัส
ผลกระทบที่หาได้ยากนี้สามารถเห็นได้ในเมฆเซอร์โรคิวมูลัส ซึ่งเป็นรอยแยกวงกลมขนาดใหญ่ที่เรียกว่าฟอลส์สตรีค
“รู” ในเมฆดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิของน้ำในนั้นต่ำกว่าศูนย์ แต่ยังไม่แข็งตัว เมื่อน้ำบางส่วนในก้อนเมฆเริ่มแข็งตัว บางครั้งน้ำจะตกลงสู่พื้นทำให้เกิด "รู" ขนาดใหญ่
เนื่องจากเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้จึงมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นยูเอฟโอ
เมฆไวเปอร์
เมฆเหล่านี้ (เมฆแมมมาทัส) มีรูปร่างเซลล์ที่ผิดปกติ พวกมันหายากและส่วนใหญ่อยู่ในละติจูดเขตร้อนเพราะว่า เกี่ยวข้องกับการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน
เซลล์คลาวด์มักจะมีขนาดประมาณ 0.5 กม. และส่วนใหญ่มักมองเห็นได้ชัดเจน แม้ว่าอาจมีขอบเบลอก็ตาม
เมฆมีสีเทาน้ำเงินเหมือนกับเมฆหลัก แต่เนื่องจากรังสีของดวงอาทิตย์ เมฆเหล่านั้นจึงอาจปรากฏเป็นสีทองหรือสีแดง
เมฆหยัก
เมื่อดูลักษณะที่ปรากฏของเมฆเหล่านี้ ก็ชัดเจนว่าเหตุใดจึงเรียกว่าเมฆเป็นคลื่น
ความแวววาวในเมฆ
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ค่อนข้างหายากนี้สัมพันธ์กับการปรากฏตัวของสีในเมฆ คล้ายกับที่พบในฟิล์มน้ำมันบนแอ่งน้ำ มักพบในเมฆอัลโตคิวมูลัส, เซอร์โรคิวมูลัส และเมฆเลนติคูลาร์ (ดูด้านบน)
เมื่อแสงแดดกระทบหยดน้ำขนาดเล็กหรือผลึกน้ำแข็งในเมฆที่มีขนาดต่างกัน แสงจะหักเหทำให้เกิดสีต่างๆ ที่เรียกว่าสีรุ้ง
เมฆที่ยื่นออกมา
เมฆชั้นสร้างความประทับใจอย่างมาก โดยปกติจะมองเห็นได้ก่อนเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง แม้ว่าจะสามารถอยู่ข้างหน้าอากาศที่ค่อนข้างเย็นได้ก็ตาม
เมฆที่ยื่นออกมา ดูเหมือนปลอกคอฟ้าร้อง(ดูด้านบน) แต่มีความแตกต่างเนื่องจากจะเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่ด้านบนเสมอ
เมฆไฟ
เมฆไฟหรือ pyrocumulus (เมฆ Pyrocumulus, เมฆไฟ) เกิดขึ้นระหว่างที่อากาศร้อนจัดที่พื้นผิวโลก
เมฆประเภทนี้สามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างไฟป่า ภูเขาไฟระเบิด หรือการระเบิดปรมาณู
แท้จริงแล้วพวกมันดูเหมือนเมฆฝุ่นมากหลังการระเบิด:
เมฆเรย์
เมฆเรย์ถูกค้นพบในทศวรรษ 1960 ชื่อของพวกเขา (actinoform) มาจากคำภาษากรีกที่แปลว่า "รังสี" และหมายถึงโครงสร้างรัศมี ขนาดของมันสามารถเข้าถึงเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 300 กิโลเมตร ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นได้จากดาวเทียมเท่านั้น
ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถให้คำอธิบายที่แน่ชัดว่าเมฆชนิดหายากนี้ก่อตัวได้อย่างไร
เมฆสตราโตสเฟียร์ขั้วโลก
เมฆสตราโตสเฟียร์ขั้วโลกหรือเมฆเนเคอร์รัสก่อตัวที่ระดับความสูง 15 ถึง 25 กม. ในพื้นที่หนาวเย็นของสตราโตสเฟียร์ (อุณหภูมิต่ำกว่า –80C)
เมฆประเภทนี้ปรากฏน้อยมาก บางทีในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของฟิสิกส์บรรยากาศ มีการสังเกตเมฆสตราโตสเฟียร์ขั้วโลกเพียงประมาณ 100 ครั้งเท่านั้น ประเด็นก็คือในสตราโตสเฟียร์ความเข้มข้นของไอน้ำน้อยกว่าในส่วนล่างของบรรยากาศ (โทรโพสเฟียร์) หลายพันเท่า
หมวกเมฆ
เหล่านี้เป็นเมฆอัลโตสตราตัสแนวนอนขนาดเล็กที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักจะอยู่เหนือเมฆคิวมูลัสและคิวมูโลนิมบัส เมฆปกคลุมสามารถก่อตัวเหนือเมฆเถ้าหรือเมฆไฟ (ดูด้านบน) ในระหว่างการระเบิดของภูเขาไฟ
ผักบุ้ง
เหล่านี้เป็นเมฆแนวนอนยาวที่แปลกประหลาดซึ่งมีลักษณะเหมือนท่อหมุน: ยาวได้ถึง 1,000 กม. และสูงตั้งแต่ 1 ถึง 2 กม. พวกมันอยู่เหนือพื้นดินเพียง 100 ถึง 200 เมตร และสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุด 60 กม./ชม.
เมฆชนิดหายากนี้สามารถมองเห็นได้ทั่วโลก แต่เฉพาะในฤดูใบไม้ผลิเหนือเมืองบอร์กทาวน์ ควีนส์แลนด์ (ออสเตรเลีย) เท่านั้นที่จะสังเกตเห็นได้ไม่มากก็น้อยอย่างต่อเนื่องและคาดเดาได้ การก่อตัวของผักบุ้งมักมาพร้อมกับลมพายุกะทันหัน
คลื่นหยาบ (Undulatus asperatus)
เฉพาะในปี 2009 เท่านั้นที่เสนอให้แยกแยะปรากฏการณ์สภาพอากาศที่ผิดปกตินี้ออกเป็นเมฆประเภทอื่น - Undulatus asperatus ครั้งล่าสุดที่การก่อตัวของเมฆใหม่เข้ามาใน International Cloud Atlas คือในปี 1951!
คำแปลโดยประมาณของชื่อเมฆชนิดใหม่คือ “คลื่นหยาบ”
เหล่านี้เป็นเมฆที่เป็นลางร้ายและชั่วร้ายที่สุด พวกมันดูเหมือนทะเลที่มีพายุ เป็นพื้นผิวที่ "ยู่ยี่" ที่มืดมนอย่างแปลกประหลาด
บางคนถึงกับเชื่อมโยงการปรากฏตัวของเมฆ Undulatus asperatus กับเหตุการณ์สันทรายในปี 2012
เมฆไวเปอร์ 13 พฤษภาคม 2558
นี่คือสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นในธรรมชาติ แต่ในกรณีของเรา มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นฉันก็คิดจะเรียกมันว่า :-) คุณอาจคิดว่านี่คือ Photoshop อะไรสักอย่าง? ไม่ นี่คือเราที่นี่ และสิ่งเหล่านี้เป็นของจริงโดยสมบูรณ์
เมฆคิวมูลัส ซึ่งเป็นเมฆคิวมูลัสประเภทหนึ่ง มักอยู่ใต้กระจุก “แม่” ของเมฆคิวมูลัสหรือเมฆคิวมูโลนิมบัส โดยปกติแล้วพวกมันจะมีสีเทาและมีองค์ประกอบแขวนอยู่ในเฉดสีเข้มกว่า แต่ในช่วงพระอาทิตย์ตก เช่น (เมื่อดวงอาทิตย์อยู่ต่ำบนขอบฟ้า) พวกมันอาจมีสีเทา-ชมพู เทา-น้ำเงิน สีแดงหรือสีทอง
มาดูพวกเขากันดีกว่า...
ฐานของเมฆเหล่านี้มีรูปร่างเป็นเซลล์หรือกระเป๋าหน้าท้องโดยเฉพาะ พวกมันหายาก ส่วนใหญ่อยู่ในละติจูดเขตร้อน และสัมพันธ์กับการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน โดยปกติเซลล์เหล่านี้จะมีขนาดประมาณครึ่งกิโลเมตร ซึ่งส่วนใหญ่มักมีโครงร่างที่คมชัด แต่ก็มีขอบที่เบลอเช่นกัน โดยทั่วไปสีของมันจะเป็นสีเทาน้ำเงินเหมือนเมฆหลัก แต่เนื่องจากแสงแดดโดยตรงหรือแสงย้อนจากเมฆอื่น จึงอาจปรากฏเป็นสีทองหรือสีแดง
รูปภาพที่ 3
เมฆเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความไม่มั่นคงของเรย์ลีห์-เทย์เลอร์
รูปภาพที่ 4
ในอุตุนิยมวิทยา เมฆ "รูปทรงเต้านม" เรียกว่า แมมมาทัส
รูปที่ 5.
เนื่องจากมีลักษณะเป็นลางร้าย เมฆเต้านมจึงมักถูกมองว่าเป็นลางบอกเหตุของพายุหรือเฮอริเคนที่กำลังจะเกิดขึ้น
รูปที่ 6.
แมมมาทัสมักจะเกี่ยวข้องกับพายุฝนฟ้าคะนองเสมอ ดังนั้นเมฆคิวมูโลนิมบัสจึงเกิดขึ้น นอกจากนี้เมฆเหล่านี้ยังสามารถอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดพายุฝนฟ้าคะนองได้หลายสิบกิโลเมตร แมมมาทัสคงอยู่บนท้องฟ้าตั้งแต่ไม่กี่นาทีจนถึงหลายชั่วโมง ค่อยๆ หายไปพร้อมกับพายุฝนฟ้าคะนองที่กำลังจางหายไป
รูปภาพที่ 7
“กลีบ” ของแมมมาทัสแต่ละกลีบมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1-3 กม. และมีความยาวเฉลี่ย 0.5 กม. กลีบดอกหนึ่งกลีบมีอายุเฉลี่ย 10 นาที แต่ทั้งคลัสเตอร์มีอายุตั้งแต่ 15 นาทีถึงหลายชั่วโมง
รูปภาพที่ 8
สำหรับการก่อตัวของแมมมาตัส หมายถึง ความใกล้ชิดของมวลอากาศชื้นและไม่เสถียรในตอนกลางและตอนบนของโทรโพสเฟียร์ (ชั้นบรรยากาศซึ่งสูงถึง 10-12 กม. ในละติจูดพอสมควร) เหนือมวลอากาศแห้งซึ่งครอบครองส่วนล่าง ส่วนหนึ่งของโทรโพสเฟียร์เป็นสิ่งจำเป็น
รูปภาพที่ 9
ในสภาวะเช่นนี้ ภายใต้ผลึกน้ำแข็งจากมากไปน้อยของ “ทั่ง” ของเมฆคิวมูโลนิมบัส ระบบกระแสลมขึ้นและลงเล็กน้อยจะปรากฏขึ้นบนพื้นหลังของการไหลของอากาศลงโดยทั่วไป กระแสน้ำเหล่านี้นำไปสู่การก่อตัวของลักษณะรูปร่างของเมฆ
รูปที่ 10.
ในสหรัฐอเมริกา การปรากฏตัวของแมมมาทัสมีความเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของพายุทอร์นาโดในกลุ่มเซลล์คิวมูโลนิมบัส แต่ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าการปรากฏตัวของแมมมาทัสไม่ได้บ่งชี้ว่าพายุทอร์นาโดหรือพายุทอร์นาโดกำลังจะปรากฏขึ้น
รูปที่ 11.
อย่างไรก็ตาม พายุฝนฟ้าคะนองที่ทำให้เกิดเมฆเต้านมมีลักษณะพิเศษคือมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดฟ้าผ่าและลมเฉือน ดังนั้น ลูกเรือเครื่องบินจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงไม่เพียงแต่เมฆคิวมูโลนิมบัส (คิวมูโลนิมบัส) เท่านั้น แต่ยังต้องหลีกเลี่ยงเมฆแมมมาทัสด้วย
อย่างไรก็ตาม การปรากฏตัวของแมมมาตัสบนท้องฟ้าบ่งบอกว่าพายุฝนฟ้าคะนองส่วนที่มีพลังและอันตรายที่สุดได้ผ่านไปแล้ว
รูปที่ 12.
แมมมาตัสสามารถพบเห็นได้ในละติจูดกลางของรัสเซีย แต่ก็พบได้ไม่บ่อยนัก มักเกิดขึ้นในช่วงพายุฝนฟ้าคะนองที่จางหายไปทางด้านหลัง (ทางลง) ของ “ทั่งตีเหล็ก”
รูปที่ 13.
ความจริงที่ว่าเมฆก่อตัวขึ้นจากการเคลื่อนที่ของอากาศด้านล่างซึ่งทำให้พวกมันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เนื่องจากดังที่ทราบกันดีว่าเมฆจะก่อตัวขึ้นในระหว่างการไหลขึ้นด้านบน
รูปที่ 14.
รูปที่ 15.
ธรรมชาติได้สร้างเมฆหลายประเภทที่มีรูปร่าง ขนาด และสีต่างกันออกไป อย่างไรก็ตาม มีบางชนิดที่หายากมากจนวิธีเดียวที่จะพบพวกมันได้คือทำความคุ้นเคยกับพวกมันในรายการด้านล่าง โดยไม่เรียงตามลำดับใดเป็นพิเศษ
ผักบุ้งเป็นปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาที่หาได้ยากซึ่งประกอบด้วยคลื่นบรรยากาศที่อยู่ต่ำ พบเห็นได้ในสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกเป็นครั้งคราว โดยสามารถพบเห็นได้ไม่มากก็น้อยในอ่าวคาร์เพนทาเรียตอนใต้ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย เมฆเหล่านี้มีความยาวได้ถึง 1,000 กม. โดยปรากฏที่ระดับความสูง 100 ถึง 200 เมตร และมักจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 10–20 เมตรต่อวินาที มีสมมติฐานหลายประการเกี่ยวกับการก่อตัวของพวกมัน แต่ยังไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนสำหรับปรากฏการณ์นี้
คอพายุฝนฟ้าคะนองหรือเมฆที่ยื่นออกมา (Cumulonimbus arcus) เป็นชื่อสามัญของเมฆคิวมูโลนิมบัสหลายชนิดที่มีลักษณะคล้ายก้านยาว เมฆประเภทนี้มักก่อตัวบริเวณขอบแนวหน้าของชั้นบรรยากาศ และมักก่อตัวบริเวณขอบหน้าของพายุฝนฟ้าคะนองเสมอ ตามกฎแล้วในพื้นที่ที่เกิดฝนตกหนักลมกระโชกแรงและพายุก็ปรากฏขึ้น
รายชื่อเมฆประเภทที่หายากที่สุด ได้แก่ ปรากฏการณ์ฟอลสตรีค นี่เป็นปรากฏการณ์ทางอุตุนิยมวิทยาที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ซึ่งประกอบด้วยการแตกเป็นวงกลมหรือทรงรีขนาดใหญ่ที่สามารถปรากฏในเมฆเซอร์โรคิวมูลัสหรือเมฆอัลโตคิวมูลัส
เมฆแม่และเด็กก่อตัวที่ระดับความสูง 2 ถึง 15 กม. ใกล้กับเทือกเขาบนยอดคลื่นใต้ลมซึ่งเป็นผลมาจากลมที่พัดผ่านสิ่งกีดขวาง สิ่งเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับการเข้าใกล้แนวหน้าบรรยากาศ
เมฆคาลวิน เฮล์มโฮลทซ์ หรือเมฆหยัก ซึ่งเป็นเมฆชนิดพิเศษที่มีลักษณะคล้ายคลื่นทะเล เกิดขึ้นเมื่ออากาศสองชั้นเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่ต่างกันในชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้ ชั้นบนยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกว่าชั้นล่าง และด้วยความไม่แน่นอนของเคลวิน-เฮล์มโฮลทซ์ โครงสร้างคล้ายคลื่นที่สวยงามเหล่านี้จึงก่อตัวขึ้น สามารถสังเกตพบได้ในชั้นโทรโพสเฟียร์ตอนบน โดยปกติในวันที่มีลมแรงซึ่งมีความหนาแน่นของอากาศแตกต่างกัน เช่น การผกผันของอุณหภูมิ
เมฆรูปเห็ดหรือเห็ดนิวเคลียร์ปรากฏขึ้นไม่เพียงแต่หลังจากการระเบิดของนิวเคลียร์หรือแสนสาหัสเท่านั้น แต่ยังเป็นผลมาจากการระเบิดที่มีพลังงานเพียงพอ รวมถึงการระเบิดของภูเขาไฟ อุกกาบาตตก ฯลฯ ในระหว่างการระเบิดในระดับความสูงสูงและใต้ดิน เมฆรูปเห็ดจะเกิดขึ้น ไม่ใช่รูปแบบ
เมฆ Noctilucent เป็นปรากฏการณ์บรรยากาศที่หาได้ยากซึ่งสามารถมองเห็นได้ในความมืดมิดเท่านั้น โดยปกติจะเป็นในช่วงฤดูร้อน เหล่านี้เป็นเมฆที่สูงที่สุดในโลก พวกมันเคลื่อนที่ในชั้นมีโซสเฟียร์ที่ระดับความสูง 76–85 กม. ด้วยความเร็วเฉลี่ยประมาณ 27.8 เมตรต่อวินาที
Altocumulus Castelanus เรียกอีกอย่างว่าเมฆแมงกะพรุน - เมฆหายากที่ก่อตัวที่ระดับความสูงประมาณ 5,000 ม. อาจเป็นลางสังหรณ์ของฝนและพายุฝนฟ้าคะนองหนัก
เมฆรูปงูหรือท่อเป็นเมฆหายาก (สามารถสังเกตได้ 1-2 ครั้งในช่วงหลายทศวรรษ) โดยมีเซลล์หรือโครงสร้างกระเป๋าหน้าท้องเฉพาะขนาดประมาณ 0.5 กม. พบได้ในละติจูดเขตร้อนและสัมพันธ์กับการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน
เมฆ Nacreous คือเมฆที่ก่อตัวในสตราโตสเฟียร์ที่ระดับความสูงประมาณ 20–30 กม. สังเกตได้ค่อนข้างน้อย สามารถมองเห็นได้เฉพาะในช่วงฤดูหนาว-ฤดูใบไม้ผลิ โดยส่วนใหญ่อยู่ในละติจูดขั้วโลกที่อุณหภูมิต่ำผิดปกติหลังพระอาทิตย์ตกดินหรือก่อนพระอาทิตย์ขึ้น เมื่ออยู่ต่ำกว่าขอบฟ้า 1 ถึง 6 องศา ในระหว่างวัน เมฆสีมุกจะมองไม่เห็นโดยมีฉากหลังเป็นแสงพร่า
แบ่งปันบนโซเชียลมีเดีย เครือข่าย
เมฆแม่และเด็กเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาได้ยากซึ่งก่อตัวบนยอดคลื่นอากาศหรือระหว่างอากาศสองชั้น คุณลักษณะเฉพาะของเมฆเหล่านี้ก็คือ พวกมันไม่เคลื่อนไหวไม่ว่าลมจะแรงแค่ไหนก็ตาม
เมฆแม่และเด็ก
กระแสลมที่พัดผ่านพื้นผิวโลกไหลไปรอบๆ สิ่งกีดขวาง และในขณะเดียวกันก็เกิดคลื่นอากาศขึ้น โดยปกติเมฆจะลอยอยู่ทางด้านใต้ของเทือกเขา หลังสันเขาและยอดเขาแต่ละแห่งที่ระดับความสูง 2 ถึง 15 กิโลเมตร
แอสเพอราทัส
มีลักษณะเป็นก้อนหยักหรือเป็นก้อนเมฆ Asperatus (Asperatus) เป็นเมฆชนิดหายากที่มีรูปร่างผิดปกติและน่ากลัว
ในการไหลของคลื่น กระบวนการควบแน่นของไอน้ำอย่างต่อเนื่องเกิดขึ้นเมื่อถึงความสูงของจุดน้ำค้าง และการระเหยเกิดขึ้นในระหว่างการเคลื่อนที่ลงของอากาศ ดังนั้นเมฆแม่และเด็กจึงไม่เปลี่ยนตำแหน่งในอวกาศ แต่ยืนอยู่บนท้องฟ้าราวกับติดกาว
Hole Punch Cloud (โพรงจมูกหรือที่เรียกว่าฟอลส์สตรีค)
การปรากฏตัวของเมฆเลนติคูลาร์บ่งบอกว่ามีกระแสลมแนวนอนแรงในชั้นบรรยากาศ ก่อตัวเป็นคลื่นเหนือสิ่งกีดขวางบนภูเขา และอากาศมีความชื้นค่อนข้างสูง ซึ่งมักเกิดจากการเข้าใกล้ของชั้นบรรยากาศหรือการลำเลียงอากาศที่มีพลังจากพื้นที่ห่างไกล
ม้วนเมฆ - "ผักบุ้ง"
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2496 นักอุตุนิยมวิทยาได้พูดถึงเมฆรูปแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น เมฆเหล่านี้ดูเหมือนทะเลที่มีพายุหรือพื้นผิวโลก พวกมันมืด "ยู่ยี่" อย่างแปลกประหลาด มี “เขา” หมุนวนยื่นออกมาจากพวกมัน รูปลักษณ์น่ากลัวเป็นลางไม่ดี ภาพของเมฆดังกล่าวมาจากทั่วทุกมุมโลก
“เมื่อพิจารณาจากสี โครงสร้างเหล่านี้มีความชื้นอยู่มาก” ศาสตราจารย์พอล ฮาร์เดเกอร์ หัวหน้าผู้บริหารของ Royal Meteorological Society แห่งสหราชอาณาจักรกล่าว “เมฆต้องใช้พลังงานและความร้อนมากจึงจะก่อตัวเช่นนั้น” บางคนเชื่อมโยงการปรากฏตัวของเมฆแอสเพอราทัสกับเหตุการณ์สันทรายในปี 2012
เมฆหมวก คือ เมฆขนาดเล็กที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในแนวนอนและมีชั้นสูง โดยทั่วไปจะพบเหนือเมฆคิวมูโลนิมบัสและเมฆคิวมูโลนิมบัส สามารถก่อตัวเหนือเมฆเถ้าหรือเมฆไฟระหว่างการปะทุของภูเขาไฟ
เมฆ Noctilucent เป็นปรากฏการณ์บรรยากาศที่หาได้ยาก เมฆดังกล่าวมองเห็นได้ในช่วงพลบค่ำ เหล่านี้เป็นเมฆที่สูงที่สุดในชั้นบรรยากาศของโลก ก่อตัวขึ้นในชั้นมีโซสเฟียร์ที่ระดับความสูงประมาณ 85 กิโลเมตร และมองเห็นได้ก็ต่อเมื่อได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์จากเหนือขอบฟ้า ในขณะที่ชั้นบรรยากาศชั้นล่างอยู่ในเงาของโลก ในระหว่างวันจะมองไม่เห็น ยิ่งกว่านั้น ความหนาแน่นทางแสงของพวกมันไม่มีนัยสำคัญมากจนดาวฤกษ์มักจะมองผ่านพวกมัน
เมฆแม่และเด็ก (แม่และเด็ก)
เมฆที่ผิดปกติเหล่านี้เปรียบเสมือน "ประตูสู่สวรรค์" ซึ่งเป็นหลุมที่น่าอัศจรรย์และแปลกประหลาดบนท้องฟ้า สมมติฐานที่พบบ่อยที่สุดระบุว่ารูบนเมฆเกิดจากผลึกน้ำแข็งที่ตกลงมา ผลึกน้ำแข็งสามารถก่อตัวในเมฆที่อยู่สูงขึ้นไปหรือในควันไอเสียของเครื่องบินที่กำลังแล่นผ่าน หากอากาศมีอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม ผลึกที่ตกลงมาจะดูดซับน้ำจากอากาศและเติบโต เพื่อให้สิ่งนี้เกิดขึ้น น้ำจะต้องเย็นมากจนต้องมีพื้นผิวที่เหมาะสมเท่านั้นที่จะแข็งตัว การสูญเสียความชื้นจากอากาศจะเพิ่มอัตราการระเหยของหยดน้ำในเมฆ และกระจายตัวกลายเป็นรู ผลึกน้ำแข็งที่หนักกว่าในขณะนี้ยังคงตกลงมาและก่อตัวเป็นตะกอนบางๆ คล้ายเมฆ ซึ่งมองเห็นได้ทั้งด้านในและด้านล่างของหลุม น้ำและน้ำแข็งในการตกตะกอนนี้จะระเหยก่อนที่จะถึงพื้น
อัลโตคิวมูลัส (altocumulus)
พวกมันหายาก ส่วนใหญ่อยู่ในละติจูดเขตร้อน และสัมพันธ์กับการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน โดยปกติเซลล์เหล่านี้จะมีขนาดประมาณครึ่งกิโลเมตร ซึ่งส่วนใหญ่มักมีโครงร่างที่คมชัด แต่ก็มีขอบที่เบลอเช่นกัน โดยทั่วไปสีของพวกมันจะเป็นสีเทา-น้ำเงิน เช่นเดียวกับเมฆหลัก แต่เนื่องจากรังสีจากดวงอาทิตย์โดยตรงหรือแสงย้อนจากเมฆอื่น จึงอาจปรากฏเป็นสีทองหรือสีแดง ในอุตุนิยมวิทยาเมฆ "รูปทรงเต้านม" เรียกว่า Mammatus (หรือ Mammatocumulus) นั่นคือเมฆเหล่านี้เป็นหนึ่งในเมฆคิวมูลัสที่มีโครงสร้างเซลล์และตามกฎแล้วจะอยู่ภายใต้กระจุก "แม่" ที่ทรงพลัง คิวมูลัสหรือเมฆคิวมูโลนิมบัส
เมฆเต้านมในเทือกเขาหิมาลัย
ที่ระดับความสูงต่ำของดวงอาทิตย์เหนือขอบฟ้า (เช่น เวลาพระอาทิตย์ตก) แมมมาทัสสามารถมีสีเทา-น้ำเงิน เทา-ชมพู สีทอง และแม้แต่สีแดงได้ แมมมาทัสมักจะเกี่ยวข้องกับพายุฝนฟ้าคะนองเสมอ ดังนั้นเมฆคิวมูโลนิมบัสจึงเกิดขึ้น เมฆเหล่านี้สามารถอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดพายุฝนฟ้าคะนองได้หลายสิบกิโลเมตร แมมมาทัสคงอยู่บนท้องฟ้าตั้งแต่ไม่กี่นาทีจนถึงหลายชั่วโมง ค่อยๆ หายไปพร้อมกับพายุฝนฟ้าคะนองที่กำลังจางหายไป อายุขัยของแมมมาทัสขึ้นอยู่กับขนาดของหยด (หรือผลึกน้ำแข็ง) ที่ไหลเวียนภายในกลุ่มเมฆ เนื่องจากยิ่งหยดหรือผลึกน้ำแข็งมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่าใด จะต้องใช้พลังงานในการระเหยของพวกมันมากขึ้นเท่านั้น ประกอบด้วยหยดเล็กๆ หรือผลึกน้ำแข็ง แมมมาทัสสามารถมองเห็นได้บนท้องฟ้าเพียงไม่กี่นาทีและหายไปอย่างรวดเร็ว
เมฆหยัก
นอกจากนี้ยังมีเมฆหยัก - เมฆในการก่อตัวของกระบวนการคลื่นในชั้นบรรยากาศมีส่วนร่วม ตรงข้ามกับเมฆสตราโตสเฟียร์ที่เกี่ยวข้องกับการร่อนขึ้น และเมฆคิวมูลัสที่เกี่ยวข้องกับการพาความร้อน (การแลกเปลี่ยนความร้อนชนิดหนึ่ง)
เมฆสเตรตัสเป็นเมฆสม่ำเสมอ สีซีด และต่ำ ซึ่งสามารถมองเห็นได้ในสภาพอากาศที่มีเมฆมากนอกจากนี้ยังมีเมฆสีรุ้งซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างหายาก เมฆเหล่านี้สามารถทาสีได้ทุกสีตามสเปกตรัม ประกอบด้วยหยดน้ำขนาดเล็กที่มีขนาดเกือบเท่ากัน เมฆสีรุ้งปรากฏขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ครอบครองตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งบนท้องฟ้าและถูกซ่อนไว้เกือบทั้งหมดหลังเมฆที่หนาแน่นกว่า การเลี้ยวเบนของแสงแดดบนเมฆบางๆ ที่เกือบจะสอดคล้องกันทำให้เมฆเหล่านี้ปรากฏเป็นสีที่ต่างกัน เนื่องจากรังสีแสงที่มีความยาวคลื่นต่างกันจะเบี่ยงเบนไปต่างกัน ดังนั้นแสงที่มีความยาวคลื่นต่างกันจึงมายังผู้สังเกตจากหลายทิศทาง มักเกิดขึ้นที่เมฆ ซึ่งในตอนแรกวาดด้วยสีรุ้ง มีความหนาแน่นมากเกินไปและต่างกัน และยังเคลื่อนตัวออกห่างจากดวงอาทิตย์ด้วย
เมฆสีรุ้ง
มีประตูพายุ - ซึ่งเกิดขึ้นในสภาวะที่มีความชื้นสูงอันเป็นผลมาจากปฏิสัมพันธ์ของการไหลของอากาศที่มีอุณหภูมิต่างกัน
ประตูสควอลล์
เมฆกลิ้งหรือเป็นลูกคลื่น มักก่อตัวในช่วงที่มีพายุฝนฟ้าคะนองและก่อนเกิดหน้าหนาว พวกมันดูเหมือนแถบเมฆดำหรือส่วนที่ยื่นออกมาแบบ “ชั้นวาง” ใต้ “ทรงพุ่ม” ของเมฆฝนฟ้าคะนอง ขอบด้านล่างฉีกขาดบางครั้งเหมือนกำลังเดือด ด้านล่างมีลมเพิ่มขึ้นเกือบตลอดเวลา ด้านหลังปล่องดังกล่าวมักจะมีกำแพงฝน คุณไม่ควรคาดหวังอะไรดีๆ จากพวกเขา และในทะเลทรายคลื่นเช่นนี้ก็ทำให้เกิดพายุฝุ่น
เมฆ Pyrocumulative หรือ pyrocumulus - หรือเรียกอีกอย่างว่าเมฆไฟเมฆไพโรคิวมูลัสหรือไพโรคิวมูลัส แปลตามตัวอักษรว่า "เมฆไฟ" - เมฆหมุนเวียน (cumulonimbus หรือ cumulonimbus) ที่เกิดจากไฟหรือการระเบิดของภูเขาไฟ เมฆเหล่านี้ได้ชื่อมาจากไฟทำให้เกิดการหมุนเวียนกระแสลมขึ้น ซึ่งเมื่อพวกมันเพิ่มขึ้นและถึงระดับการควบแน่น จะทำให้เกิดการก่อตัวของเมฆ - คิวมูลัสแรก และภายใต้สภาวะที่เอื้ออำนวย - คิวมูโลนิมบัส ในกรณีนี้ อาจมีพายุฝนฟ้าคะนองได้ สายฟ้าฟาดจากก้อนเมฆนี้จึงทำให้เกิดไฟใหม่ บ่อยครั้งที่ฝนตกจากเมฆจะจำกัดไฟใต้เมฆหรืออาจดับไฟได้
Pyrocumulus สามารถเห็นได้ทุกที่ที่เกิดเพลิงไหม้ขนาดใหญ่และยาวนาน เช่น ในแคลิฟอร์เนีย เฟรนช์ริเวียร่า และทางตะวันออกเฉียงใต้ของออสเตรเลีย เมฆไพโรคิวมูลัสมีเปอร์เซ็นต์ของฟ้าผ่าจากเมฆสู่พื้นเชิงบวกในระดับสูง ซึ่งแตกต่างจากเมฆคิวมูลัส "ปกติ"
เมฆ Pyrocumulus หรือ pyrocumulus - หรือแปลตรงตัวว่า "เมฆไฟ"ในระหว่าง ไฟป่าในรัสเซียณ สิ้นเดือนกรกฎาคมถึงต้นเดือนสิงหาคม 2553 ตามข้อมูลจากดาวเทียม NASA "Terra" (MISR สเปกโตรมิเตอร์) และ "Aqua" พบว่า pyrocumuli ถูกบันทึกในสตราโตสเฟียร์ - ยอดเขาสูงถึง 12 กม. ซึ่งตามข้อมูลของ NASA พนักงาน บ่งชี้ว่ามีเพลิงไหม้ที่มีความรุนแรงสูง
มารดาแห่งเมฆมุก ตั้งอยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 15 – 25 กม. ในชั้นสตราโตสเฟียร์และโทรโพสเฟียร์
มารดาแห่งเมฆมุก เมฆที่ก่อตัวบนท้องฟ้าที่ระดับความสูง (ประมาณ 20-30 กม.) และดูเหมือนประกอบด้วยผลึกน้ำแข็งหรือหยดน้ำที่มีความเย็นยิ่งยวด เหล่านี้เป็นเมฆบางและโปร่งแสง มักพบเห็นได้ไม่บ่อยนัก โดยปกติจะอยู่ที่ละติจูด 55-60° ทันทีหลังพระอาทิตย์ตกดินหรือก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ในระหว่างวัน พวกมันจะมองไม่เห็นพื้นหลังที่มีแสงกระจายจ้า
เมฆที่เกิดจากความไม่มั่นคงของเคลวิน-เฮล์มโฮลทซ์ (Cirrus Kelvin-Helmholtz)
ทั่งเมฆ บริเวณหลุมตกตะกอน (Fallstreak Hole) 9 เมฆ Nacreous สังเกตที่ละติจูดขั้วโลกอีกชื่อหนึ่งคือ เมฆสตราโตสเฟียร์ขั้วโลก
หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณเองก็จะสามารถระบุได้ว่านี่คือเมฆประเภทใด ลองมัน!