ปืนกลเบาลาห์ตี. ปืนกลเบาฟินแลนด์ "Valmet"
ปืนกลผลิตโดย Valtion Kivääritehdas ในปี พ.ศ. 2476-2487 ในทางเทคนิคแล้ว ปืนกลเป็นแบบสำเนาของ Maxim ที่มีอัตราการยิงและการระบายความร้อนด้วยอากาศที่สูงกว่า เวอร์ชันที่รู้จักคือ 7.62 ItKk/31-40 ซึ่งเริ่มให้บริการในปี 1940 ด้วยเครื่องจักรแบบท่อ มีการผลิตปืนกล ItKk/31 และ 467 ItKk/40 ทั้งหมด 507 กระบอก ต ลักษณะการทำงานของปืนกล: ความยาว 1130 มม.; ความยาวลำกล้อง – 723 มม. น้ำหนักปืนกล - 47 กก. น้ำหนักการติดตั้ง - 104 กก. อัตราการยิง - 1,800 รอบต่อนาที; กระสุน - เข็มขัด 250 รอบ 7.62x53 มม. ความเร็วกระสุนเริ่มต้น - 800 ม. / วินาที; ระยะการยิงที่มีประสิทธิภาพ – 600 ม., สูงสุด – 1 กม. การคำนวณจำนวน 6 คน
ปืนกลถูกผลิตในปี พ.ศ. 2467-2476 อ้างอิงจาก Maxim รุ่น 1910 มันแตกต่างจากต้นแบบในเรื่องน้ำหนักที่ลดลงของเครื่องจักรและอุปกรณ์เล็ง ผลิตจำนวน 1,065 เรือน ลักษณะการทำงานของปืนกล: ลำกล้อง - 7.62 มม.; ความยาว – 1110 มม. ความยาวลำกล้อง – 720 มม. น้ำหนัก – 26.5 กก. กระสุน - เข็มขัด 250 รอบ 7.62x54 มม. อัตราการยิง - 600 รอบต่อนาที
ปืนกลดังกล่าวเป็นม็อดปืนกล Maxim ของรัสเซียรุ่นฟินแลนด์ 1910 และผลิตในปี 1933-1944 มันแตกต่างจากต้นแบบในเรื่องอัตราการยิงซึ่งสูงถึง 800 รอบต่อนาที สามารถติดตั้งบนปืนกลได้ สายตา- อนุญาตให้ใช้เครื่องได้ การยิงต่อต้านอากาศยาน- ผลิตจำนวน 1,200 เรือน ลักษณะการทำงานของปืนกล: ลำกล้อง - 7.62 มม.; ความยาว – 1180 มม. ความยาวลำกล้อง – 721 มม. น้ำหนักปืนกล - 24 กก. น้ำหนักเครื่อง - 30 กก. ระยะการยิงที่มีประสิทธิภาพ - 2 กม. กระสุน - เข็มขัดสำหรับตลับฟินแลนด์ 200 ตลับ 7.62x54R
ปืนกลเบา Lahti - Saloranta L/S-26
ปืนกลผลิตโดย VKT ในปี พ.ศ. 2473-2485 ในปี พ.ศ. 2474 ปืนกลได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยและได้รับหมายเลข L/S 26/31 พร้อมแม็กกาซีนดิสก์จำนวน 75 นัด ในปี 1932 รุ่น L/S 26/32 ปรากฏขึ้น ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งดิสก์และแม็กกาซีนแบบกล่อง ในปี 1937 ปืนกล 1,200 L/S 26/32 ถูกส่งไปยังประเทศจีน การทำงานแบบอัตโนมัตินั้นขึ้นอยู่กับการใช้พลังงานหดตัวด้วยจังหวะกระบอกปืนสั้น L/S-26 มีลำกล้องระบายความร้อนด้วยอากาศ ช็อก- สิ่งกระตุ้นอนุญาตให้ยิงนัดเดียวและระเบิดได้ เนื่องจากโครงสร้างที่ซับซ้อน การถอดแยกชิ้นส่วนและการบำรุงรักษาหน่วยนี้จึงได้รับอนุญาตโดยช่างปืนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษเท่านั้น ปืนกลติดตั้งก้นไม้ ระบบควบคุมการยิงด้วยด้ามปืนพก และขาตั้งสองขาแบบพับได้ ผลิตจำนวน 5,400 เรือน ลักษณะการทำงานของปืนกล: ลำกล้อง - 7.62 มม.; ความยาว – 1180 มม. ความยาวลำกล้อง – 500 มม. จำนวนปืนไรเฟิล - 4; น้ำหนัก – 9.3 กก. ความจุนิตยสาร - 20 รอบ 7.62x53 มม., ดรัมดิสก์ - 75; ความเร็วกระสุนเริ่มต้น – 800 ม./วินาที; อัตราการยิง - 450 - 550 รอบต่อนาที ระยะการยิงที่มีประสิทธิภาพ – 600 ม.
ปืนกลเบา M62 "Valmet"
ปืนกลเช็ก Vz.26 ที่รู้จักกันดีถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานสำหรับปืนกลเบา M62 "Valmet" ซึ่งพิสูจน์ตัวเองแล้วว่ายอดเยี่ยมในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองโดยเข้าประจำการกับกองทัพหลายกองทัพ (ประจำการ) ระบบนี้ได้รับการยอมรับใน 25 ประเทศ) ชาวฟินน์เริ่มมีการพัฒนาในปี พ.ศ. 2500 พวกเขาเอาโซเวียตมาเป็นพื้นฐาน ตลับหมึกกลาง 7.62x39 และแตกต่างจากรุ่นต้นแบบตรงที่การป้อนสายพานถูกเลือกเพื่อเพิ่มอัตราการยิง - การพัฒนาอาจได้รับอิทธิพลจาก Czech Vz.52
ในปี พ.ศ. 2503 มีการทดสอบตัวอย่างแรก และในปี พ.ศ. 2509 ปืนกล M62 (หรือที่รู้จักในชื่อ KK62) ก็เข้าประจำการ กองกำลังภาคพื้นดินฟินแลนด์. ปืนกลผลิตโดยบริษัท Valmet Oy นอกจากนี้ M62 Valmet ยังถูกส่งไปยังกองทัพกาตาร์อีกด้วย ปืนกลถูกยกเลิกแล้ว
ระบบอัตโนมัติมี "เครื่องยนต์แก๊ส" ท่อแก๊สยาวและห้องแก๊สอยู่ที่ด้านล่างของถัง รูกระบอกสูบจะถูกล็อคเมื่อโบลต์เอียงขึ้น ปืนกลขับเคลื่อนด้วยสายพานโลหะที่ไม่กระจัดกระจาย กล่องคาร์ทริดจ์และเทปถูกวางไว้ในกล่องที่มีที่จับ พวกเขาติดอยู่กับเครื่องรับทางด้านขวา
โหมดการยิงยังแตกต่างจากต้นแบบ และจะต่อเนื่องด้วยอัตราการยิงที่สูงเท่านั้น สถานที่ท่องเที่ยว - ภาพด้านหน้าแบบปรับได้และภาพเซกเตอร์พร้อมสายตาด้านหลังซึ่งมีรอยบากจาก 100 ถึง 600 เมตรโดยเพิ่มทีละ 100 ม. ด้วยคาร์ทริดจ์นี้รวมถึงใช้ในการต่อสู้ระยะประชิด หน่วยขนาดเล็กข้อจำกัด ระยะการมองเห็นดูค่อนข้างสมเหตุสมผล
ก้นตรงซึ่งมีตำแหน่งสูงบังคับให้วางสายตาด้านหน้าและสายตาไว้บนฐานสูง ตาม ผู้รับและก้นทางด้านขวามีกระทุ้งติดอยู่ - ในระหว่างการต่อสู้ในหิมะมีกระทุ้งอยู่ในมือมาก สิ่งที่มีประโยชน์- bipod นั้นมาพร้อมกับส่วนรองรับที่กว้างซึ่งช่วยให้คุณถ่ายภาพจากหิมะปกคลุมได้ อุปกรณ์ยึดช่วยให้อาวุธสามารถแกว่งเป็นสองระนาบได้ การ์ดไกปืนสามารถพับเก็บกลับเพื่อใช้ในฤดูหนาวได้
ลักษณะของปืนกลเบา M62 "Valmet":
คาร์ทริดจ์ – 7.62x39;
น้ำหนักของปืนกลที่ไม่มีคาร์ทริดจ์คือ 8.3 กก.
น้ำหนักของปืนกลพร้อมสายพานบรรจุคือ 10.6 กก.
ความยาวปืนกล - 1,085 มม.
ความยาวลำกล้อง - 470 มม.
ปืนไรเฟิล - 4 มือขวา;
ความเร็วกระสุนเริ่มต้น – 730 ม./วินาที;
อัตราการยิง - 1,000-1,100 นัดต่อนาที
อัตราการยิง - 300 รอบต่อนาที
ระยะการมองเห็น – 600 ม.
ระยะการยิงที่มีประสิทธิภาพ – 350-450 ม.
ความจุสายพาน – 100 รอบ
ปืนกลเบา M78 "Valmet"
อาวุธนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นของ” ปืนไรเฟิลจู่โจม-ปืนกล"(คล้ายกับ ARM Galil - โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าพวกมันใช้ระบบเดียวกัน) ปืนกล M78 ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอาวุธสนับสนุนเบาสำหรับหน่วยทหารราบและเป็นการดัดแปลง ปืนไรเฟิลจู่โจม M76 - สำเนา AK ของฟินแลนด์
ดังนั้นความแตกต่างจากปืนไรเฟิลจู่โจมปืนกล M78 จึงถูกทำซ้ำ ความแตกต่างของ RPKจาก AKM แต่ก็มีนวัตกรรมของตัวเองอยู่บ้าง
ลำกล้องที่หนักกว่าและยาวกว่าจะเพิ่มระยะการยิงที่มีประสิทธิภาพเป็น 600-700 เมตร รุ่น M78 ได้รับจากฐาน M76 ซึ่งเป็นตัวรับที่ทำจากเหล็กแผ่นเสริมแรงและได้รับการออกแบบเพื่อใช้ใน สภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยฤดูหนาว.
โหมดไฟ - ต่อเนื่องและเดี่ยว - ถูกกำหนดโดยฟิวส์ตัวแปลธง รุ่น M78 แตกต่างจาก RPK ในการติดตั้งที่มองเห็นด้านหน้า, การติดตั้งและการออกแบบของ bipod, การมีอยู่ของตัวป้องกันแฟลช, การออกแบบของด้ามปืนพกและก้น, การมีที่จับสำหรับพกพา, ชิ้นเดียว นิตยสารส่วนหน้าที่มีการระบายอากาศ รวมถึงนิตยสารปืนไรเฟิลจู่โจม
รุ่น M78 อยู่ในสายการผลิตตั้งแต่ 78 ถึง 86 แต่น่าจะเข้าประจำการกับกองทัพฟินแลนด์ใน ปริมาณเล็กน้อย- ภาษาฟินแลนด์ที่ตลาด ปืนกลเบา M78 มีจำหน่ายในตลับหมึกขนาด 5.56x45 และ 7.62x51 ตัวเลือกที่สองแบบบรรจุกระสุนเองทำหน้าที่เป็นปืนไรเฟิล "ersatz"
ลักษณะทางเทคนิคของปืนกลเบา M78 Valmet ของฟินแลนด์:
คาร์ทริดจ์ – 7.62x39/5.56x45;
น้ำหนักปืนกลไม่รวมปลอกกระสุน 4.7/5.9 กก.
ความยาวปืนกล - 1,060/1,060 มม.
ความยาวลำกล้อง – 526/526 มม.
จำนวนร่อง – 4;
ความเร็วกระสุนเริ่มต้น – 720/990 ม./วินาที;
อัตราการยิง - 650 นัดต่อนาที
ความจุแม็กกาซีน - 15, 30 และ 75 รอบ
ลาห์ติ-ซาโลรันตา M/26- ปืนกลเบาที่พัฒนาโดยนักออกแบบ Aimo Lahti และ Arvo Saloranta ในปี 1926 สำหรับ กองทัพฟินแลนด์.
ลักษณะทางยุทธวิธีและทางเทคนิค ปืนกล LAHTI-SALORANTA M/26 | |
---|---|
ผู้ผลิต: | วาลชั่น คิวาริทดาส (VKT) |
ตลับหมึก: | |
ความสามารถ: | 7.62 มม |
น้ำหนักไม่รวมตลับหมึก: | 9.6 กก |
น้ำหนักรวมตลับหมึก: | 10.4 กก |
ความยาว: | 1180 มม |
ความยาวลำกล้อง: | 500 มม |
จำนวนร่องในลำกล้อง: | ไม่มี |
กลไกทริกเกอร์ (ทริกเกอร์): | ประเภทผลกระทบ |
หลักการทำงาน: | หดตัวด้วยจังหวะลำกล้องสั้น |
อัตราการยิง: | 450–550 รอบ/นาที |
ฟิวส์: | ฟิวส์จะอยู่ด้านหลังฉากยึดนิรภัยทันที สิ่งกระตุ้น |
จุดมุ่งหมาย: | ภาพด้านหน้าและภาพเซกเตอร์ |
ช่วงที่มีประสิทธิภาพ: | 400 ม |
ระยะการมองเห็น: | 1500 ม |
ความเร็วกระสุนเริ่มต้น: | 800 ม./วินาที |
ประเภทของกระสุน: | นิตยสารที่ถอดออกได้ |
จำนวนตลับหมึก: | 20, 75 |
ปีที่ผลิต: | 1927–1942 |
ประวัติความเป็นมาของการสร้างสรรค์และการผลิต
หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ความต้องการเกิดขึ้นในประเทศฟินแลนด์ในการพัฒนาปืนกลเบาของตนเอง เนื่องมาจากข้อกำหนดเฉพาะบางประการ อาวุธดังกล่าวต้องได้รับการออกแบบสำหรับคาร์ทริดจ์ต่อสู้ฟินแลนด์ 7.62x53 มม. R และทำงานได้อย่างน่าเชื่อถือในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวย สภาพภูมิอากาศฟินแลนด์.
ในเวลาเดียวกัน Aimo Johannes Lahti ช่างทำปืนหนุ่มได้พัฒนาปืนกลมือ Suomi KP/31 ในเวลานั้นปืนกลมือไม่ถือเป็นอาวุธทางทหารที่ร้ายแรง และความทะเยอทะยานทำให้ Lahti พัฒนาปืนกลเบา นี่คือวิธีที่ปืนกลถือกำเนิด แอลเอส เอ็ม/26.
Lahti เริ่มพัฒนาปืนกลด้วยค่าใช้จ่ายของเขาเอง แต่ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2467 เขาได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการจากกระทรวงกลาโหม
แม้ว่า Lahti เองจะพัฒนาปืนกลมือโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครเลย แต่สำหรับข้าราชการเขายังคงเป็นเพียงนักประดิษฐ์ที่เรียนรู้ด้วยตนเองซึ่งไม่มี การศึกษาพิเศษในด้านการออกแบบอาวุธ ดังนั้นจึงมอบหมายร้อยโทให้ลาห์ตีเป็นผู้สอน อาร์โว ซาโลรันตาซึ่งศึกษาเทคโนโลยีที่ Royal Danish Military Academy
ในไม่ช้าก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ และลาห์ตีก็ทำงานต่อด้วยตัวเอง แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่ Saloranta เองที่ช่วยให้ Aimo Lahti ได้รับรางวัลมากมายสำหรับการพัฒนาปืนกล (ในตอนแรกรัฐบาลปฏิเสธที่จะชดเชยเขา แม้ว่าปืนกลจะถูกสร้างขึ้นจากเงินออมของนักออกแบบเป็นหลักก็ตาม) .
ผู้ออกแบบปืนกล Lahti-Saloranta M/26 คือ Aimo Lahti อย่างไม่ต้องสงสัย แต่การปรากฏตัวของชื่อ Saloranta ถัดจากชื่อ Lahti นั้นค่อนข้างสมเหตุสมผล สิ่งนี้ถือเป็นการยกย่องข้อดีของ Saloranta ในการทำงานเกี่ยวกับปืนกล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งความช่วยเหลือของเขาในการได้รับสัญญาจากรัฐบาล
หลังจากประมาณหนึ่งปีของการพัฒนาและการทดสอบ โดยเปรียบเทียบ M/26 กับรุ่นอื่นๆ (Madsen, BAR, Vickers-Berthier, Hotchkiss และ Breda) โมเดลของฟินแลนด์ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ชนะการแข่งขัน โดยมีการนำไปใช้ในภายหลังภายใต้ การกำหนด ปิกากิวารี m/26(หรือสั้นๆ. 7.62แพ็ก/26).
เริ่มผลิตในปี พ.ศ. 2470 ที่รัฐ โรงงานอาวุธ Valtion kivääritehdas(วีเคที). ต้องใช้เวลาหลายปีในการจัดการผลิตปืนกล และในปี พ.ศ. 2473 LS M/26 เท่านั้นที่เข้าประจำการร่วมกับกองทัพฟินแลนด์ในที่สุด
ในช่วงต้นทศวรรษ 1930 Aimo Lahti สร้างสรรค์ผลงาน กองทัพอากาศปืนกลรุ่นปรับปรุง แอลเอส เอ็ม/26/31พร้อมนิตยสารดิสก์ 75 รอบ อย่างไรก็ตามในไม่ช้าปืนกลก็เริ่มถูกใช้เป็นทหารราบ รุ่นแรกได้รับการออกแบบสำหรับนิตยสารดิสก์ที่มีความจุ 75 รอบเท่านั้น แต่เกือบจะในทันทีที่ Lahti ได้สร้างการดัดแปลงซึ่งสามารถป้อนคาร์ทริดจ์ได้จากทั้งดิสก์และนิตยสารแบบกล่อง หลังจากแนะนำองค์ประกอบใหม่หลายประการในการออกแบบ ปืนกลก็ได้รับตำแหน่ง แอลเอส เอ็ม/26/32- ทั้งสองตัวเลือกถูกนำมาใช้โดยกองทัพฟินแลนด์และในช่วงสงครามฤดูหนาวมีปืนกลหลายกระบอกเข้าประจำการกับกองทัพ
ในปี 1937 จีนสั่ง 30,000 M/26 จากฟินแลนด์ ซึ่งบรรจุกระสุนปืนเมาเซอร์ขนาด 7.92x57 มม. แต่หลังจากชุดแรกจำนวน 1,200 ชิ้น การส่งมอบก็หยุดลงเนื่องจากแรงกดดันทางการทูตจากญี่ปุ่น ต่อต้านกองกำลังยึดครองที่จีนวางแผนจะใช้ปืนกลของฟินแลนด์ .
นอกจากตัวอย่างที่บรรจุกระสุนสำหรับ 7.62x53 มม. R และ 7.92x57 มม. Mauser แล้ว ยังมีการพัฒนารุ่นต่างๆ สำหรับ 6.5x50 มม. SR Arisaka, 7x57 มม. (Argentine Mauser), .303 British และ 8x56 มม. R
มีการผลิตปืนกล 500 กระบอกต่อปี ชุดสุดท้ายถูกจัดส่งในปี 1942 โดยรวมแล้ว มีการผลิตกระสุนประมาณ 4,200 กระบอกสำหรับคาร์ทริดจ์ R 7.62x53 มม. สำหรับกองทัพฟินแลนด์
สาเหตุหลักในการยุติการผลิตคือในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองกองทัพฟินแลนด์ได้รับประมาณ 10,000 นาย ปืนกลโซเวียต Degtyarev DP และ Finns พบว่าการเริ่มผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับปืนกลโซเวียตที่ยึดได้ที่โรงงานของตนทำได้ง่ายกว่าและถูกกว่าการผลิตเอง
การออกแบบและหลักการทำงาน
ปืนกลอัตโนมัติทำงานบนหลักการใช้พลังงานหดตัวด้วยจังหวะลำกล้องสั้น โบลต์ถูกล็อคโดยคันโยกแบบแกว่งที่อยู่ในกล่องโบลต์ที่เชื่อมต่อกับลำกล้องเหนือแกนของรูลำกล้อง และเมื่อล็อค จะรองรับโบลต์จากด้านหลัง การยิงจะดำเนินการจากสายฟ้าแบบเปิด เมื่อยิงออกไป กระบอกปืน ตัวรับ และสายฟ้าจะม้วนกลับ ส่วนที่ยื่นออกมาของคันล็อคเลื่อนไปตามร่องโค้งของผนังกล่องปืนกล คันโยกจะขึ้นและปล่อยโบลต์ หลังจากนั้นคันเร่งความเร็วซึ่งติดตั้งบนแกนในตัวรับก็ชนกับส่วนบนของฝาปิดกล่องและ ด้านล่างโต้ตอบกับชัตเตอร์เพื่อเพิ่มความเร็วการหดตัว
คุณสมบัติพิเศษของปืนกลคือไพรเมอร์ถูกเจาะเมื่อระบบเคลื่อนที่ กลไกนี้ทำให้การออกแบบซับซ้อนขึ้นโดยการแนะนำกลไกเพิ่มเติมที่ยึดกระบอกปืนไว้ที่ตำแหน่งด้านหลังจนกระทั่งกระบอกเจาะถูกล็อคด้วยสลักเกลียว แต่สามารถลดการหดตัวของผู้ยิงได้อย่างมาก
กลไกไกปืนของปืนกล LS M/26 เป็นแบบค้อน พร้อมการเคลื่อนที่แบบแปลนไกปืน ค้อนจะถูกง้างเมื่อชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวของปืนกลถูกหมุนกลับ และไกปืนจะถูกปล่อยโดยอัตโนมัติเมื่อพวกมันเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งไปข้างหน้าสุดขั้ว ไกปืนอยู่ภายในตัวดันสปริงส่งคืน การยิงจากปืนกลสามารถทำได้ในนัดเดียวหรือเป็นชุด เครื่องแปลแบบธงตั้งอยู่ระหว่างสลักนิตยสารและตัวป้องกันไกปืน ตำแหน่งไปข้างหน้าสุดขีดของนักแปลสอดคล้องกับ โหมดอัตโนมัติการยิง เมื่อผู้แปลถูกย้ายกลับ ปืนกลจะเปลี่ยนเป็นโหมดการยิงนัดเดียว ความปลอดภัยตั้งอยู่ด้านหลังไกปืน
มีฝาปิดอยู่ด้านบนของกล่อง หมายเลขอ้างอิงสำหรับการโหลดใหม่ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน การออกแบบปืนกลไม่ได้จัดให้มีสปริงเพื่อคืนที่จับให้อยู่ในตำแหน่งไปข้างหน้าสุดขั้ว แต่จะต้องทำด้วยตนเอง
1 – ลำกล้อง, 2 – แกนม้วนสาย, 3 – องค์ประกอบเชื่อมต่อ, 4 – ตัวเร่งความเร็ว, 5 – Lutetin pidälttäjä, 6 – ล็อค, 7 – หมุดยิง, 8 – นิตยสาร Catch, 9 – แจ็คเก็ต, 10 – แบริ่งลำกล้อง, 11 – ลายบริเวณขา, 12 – ลายเกรน, 13 – ฝาปิดกล่อง, 14 – สลัก, 15 – คันเล็ง, 16 – ขอบเขตการใช้งานของตัวล็อค, 17 – ด้ามจับ, 18 – การ์ดไกปืน, 19 – สปริงท่อนำ Lukonpalauttajan, 20 – สปริงท่อนำ Lukonpalauttajan, 21 – โรลเลอร์สเกตรีเทิร์นเนอร์, 22 – ลูโค รีเทิร์นเนอร์, 23 – lskujousi, 24 – ทริกเกอร์, 25 – Alasveiäjä, 26 – ลูคอนปิดาตเตเย, 27 – ความปลอดภัย, 28 – คนเปลี่ยน, 29 – เลื่อย, 30 – มือจับ, 31 – เปราเลวี, 32 – ja, 33 – สตรัทหน้า, 34 – ที่พักเท้า
ลำกล้องและตัวรับของปืนกลเชื่อมต่อกันโดยใช้เกลียว กล่องและปลอกกระบอกเป็นชิ้นเดียว พื้นผิวด้านนอกของลำกล้องเป็นแบบครีบ ลำกล้องและตัวรับสามารถถอดประกอบได้ สภาพสนามแต่เนื่องจากการประกอบแต่ละชิ้นต้องใช้สลักเกลียวที่ติดตั้งแยกกัน แต่ละลำกล้องจึงไม่สามารถนำมาใช้แทนกันได้อย่างแท้จริง โดยทั่วไปแล้ว ปืนกลส่วนใหญ่ผลิตด้วยชุดลำกล้องอะไหล่และลำกล้องปืน ปากกระบอกปืนกลมีเกลียวภายในสำหรับติดตั้งตัวป้องกันแฟลชหรืออุปกรณ์สำหรับยิงคาร์ทริดจ์เปล่า
สายตามาตรฐานสำหรับปืนกลประเภทเซกเตอร์ ติดตั้งอยู่บนฝาครอบตัวรับสัญญาณ แถบเล็งถูกทำเครื่องหมายไว้ที่ระยะตั้งแต่ 300 ถึง 1,500 เมตร โดยเพิ่มขึ้นทีละ 100 เมตร แมลงวันตั้งอยู่บนกระแสน้ำ สำหรับการยิงที่ เป้าหมายทางอากาศมีการพัฒนาสายตาต่อต้านอากาศยานที่ถอดออกได้
ตลับหมึกจะถูกป้อนจากนิตยสารกล่องที่ถอดออกได้ซึ่งมีความจุ 20 ตลับหมึกซึ่งอยู่ติดกับด้านล่าง ตลับหมึกในร้านเซไป ตลับหมึกจะออกจากนิตยสารในแถวเดียว ซึ่งทำให้การโหลดด้วยตนเองโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษเป็นงานที่ยาก
ปืนกลมีก้นไม้พร้อมแผ่นก้นเหล็ก ระบบควบคุมการยิงที่ด้ามปืนพก และขาตั้งสองขาแบบพับได้ การออกแบบของ bipod นั้นทำให้กระบอกปืนกลสามารถหมุนรอบจุดยึดได้ไม่เพียง แต่ในแนวนอนเท่านั้น แต่ยังอยู่ในระนาบแนวตั้งด้วย
เทคโนโลยีการผลิต Lahti-Saloranta M/26 ค่อนข้างซับซ้อน และปืนกลเองก็มีราคาแพง นี่เป็นเรื่องปกติสำหรับหลายชนิด แขนเล็กในเวลานั้น ชิ้นส่วนปืนกลส่วนใหญ่ทำโดยการกัดจากเหล็กแผ่นแข็งหรือจากการตีขึ้นรูป
ช่องว่างระหว่างชิ้นส่วนที่เคลื่อนไหวของปืนกลนั้นเล็กเกินไปเพื่อให้การทำงานราบรื่นในสภาวะที่ยากลำบาก สิ่งนี้ชัดเจนใน วันที่หนาวจัด สงครามฤดูหนาวเมื่ออุณหภูมิลดลงถึง –40 °C และแม้ว่าปืนกลที่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมจะเชื่อถือได้แม้ในสภาพอากาศหนาวเย็น เนื่องจากความล้มเหลวบ่อยครั้ง แต่ความคิดเห็นเชิงลบอย่างมากเกี่ยวกับ M/26 ก็พัฒนาขึ้นในหมู่ทหารฟินแลนด์
การใช้งานปฏิบัติการและการต่อสู้
ปืนกล Lahti ถูกใช้ในสนามรบของสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาสำหรับตลับ Mauser 7.92x57 มม. และจำหน่ายให้กับประเทศจีน ปืนกลเบา LS M/26 รับใช้กองทัพฟินแลนด์ตลอดสงครามโลกครั้งที่สองและหลังสงครามจนถึงต้นทศวรรษ 1960
วีดีโอ
การยิงจากปืนกล การจัดการอาวุธ ฯลฯ:
แอลเอส เอ็ม/26ในปี 1940 Aimo Lahti พัฒนาปืนกลเดี่ยวเพื่อทดแทนแม็กซิมจำนวนมากที่หนักและไม่สะดวกในกองทัพฟินแลนด์ อย่างไรก็ตาม เวลาสำหรับการทดลองไม่ดีที่สุด: ปืนกลเข้าสู่การผลิตขนาดเล็กและ การทดสอบทางทหารในปี พ.ศ. 2484 ชุดแรกมีข้อบกพร่องทางเทคโนโลยี พวกเขาถูกส่งกลับไปยังโรงงานและซ่อมแซม แต่ถึงกระนั้นในระหว่างการปฏิบัติการทางทหารก็ยังพบความล้มเหลวมากมาย ชาวฟินน์ทราบว่าไม่มีอะไรถึงตายในหมู่พวกเขา แต่ปืนกลจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุง ในสภาวะสงคราม สิ่งนี้เต็มไปด้วย...
มีการตัดสินใจที่จะแทนที่ Maxims ซึ่งควรจะแทนที่ในกองทัพด้วยปืนกลเดี่ยว MG-42 ของเยอรมัน "หนังสือเวียนของฮิตเลอร์" ในเวลานั้นมีชื่อเสียงระดับนานาชาติที่มั่นคงอยู่แล้ว ปัญหากลายเป็นว่า Finns ไม่เห็นด้วยกับคาร์ทริดจ์ Mauser 7.92x57 มม. แต่ตัดสินใจเปลี่ยน MG-42 เป็น 7.62x54R ซึ่งจ่ายให้กับกองทัพฟินแลนด์
Aimo Lahti ออกแบบมาสำหรับ MG-42 ระบบใหม่ฟีดเหมาะสำหรับคาร์ทริดจ์รัสเซียที่มีขอบ แต่อุตสาหกรรมฟินแลนด์ไม่สามารถผลิตชิ้นส่วนนี้เป็นซีรีส์ขนาดใหญ่ได้ Finns ร้องขอให้ผลิตชิ้นส่วนตามแบบของพวกเขาในเยอรมนี ชาวเยอรมันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และปฏิเสธโดยอ้างว่ามีงานยุ่ง ในขณะเดียวกัน ฤดูร้อนปี 1944 ก็มาถึง และ "สงครามสิบวัน" ก็เริ่มขึ้น ชาวฟินน์พบเธอโดยไม่มีปืนกลสมัยใหม่
มีเพียงไม่กี่ตัวอย่างของ Lahti Sampo - 41 เท่านั้นที่รอดชีวิต พวกเขากล่าวว่าหนึ่งในนั้นแสดงอยู่ในคอลเลกชันส่วนตัวของรัสเซีย
ชาวฟินน์ก็มีเป็นของตัวเอง ปืนกลเดี่ยวการออกแบบของ Lahti, L-41 Sampo แต่ผลิตในปริมาณเล็กน้อยและแทบไม่เป็นที่รู้จักเลย ที่จับบนลำกล้องมีความชัดเจนเพื่อการเปลี่ยนลำกล้องอย่างรวดเร็ว กลไกอัตโนมัติทำงานด้วยแก๊ส ตำแหน่งของเทปนั้นยอดเยี่ยมมาก - ตลับหมึกถูกดึงออกจากเทปอย่างชัดเจนและถูกป้อนขึ้นด้านบน! การประยุกต์ใช้ปม Maxima ที่ดัดแปลงหรือไม่?
ปืนกลนี้เป็นหลัก การพัฒนาต่อไปปืนกลเบา L-34 ก่อนหน้านี้ซึ่งได้รับการวางแผนไว้เพื่อทดแทนฮีโร่ของหัวข้อนี้ที่นำมาใช้ในการให้บริการ แต่ด้วยเหตุผลหลายประการที่ไม่ได้เข้าสู่การผลิต ตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเบรกมือ L-34 อาจกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุด คลาสในบรรดาอะนาล็อกในโลก L-41 ตัวเดียวยังวางอยู่บนเครื่องเขียนด้านหลังเพื่อประโยชน์ของสเตชั่นแวกอนของเยอรมัน
ที่มา - http://forum.worldoftanks.ru/
ดีไซเนอร์ ไอโม ลาห์ติ คาร์ทริดจ์ 7.62x53R (เหมือนกับ 7.62x54) ขับเคลื่อนด้วยแถบโลหะ มีข้อสันนิษฐานว่ามันถูกสร้างขึ้นมาอย่างแข็งแกร่ง ปืนกลฝรั่งเศสดาร์น มเลอ 1923
15 ชิ้น เสียหายระหว่างการผลิต พวกเขาผลิตมากกว่า 30 ชิ้นเล็กน้อย 28 คนในจำนวนนี้กลายเป็นทหาร เกือบทุกอย่างพังทลายลงหลังสงคราม เหลืออยู่ไม่กี่แห่ง หนึ่งในนั้นน่าจะอยู่ในสหพันธรัฐรัสเซีย พวกเขานำถ้วยรางวัลไปทดสอบ
แหล่งที่มา -
จนถึงปี 1917 ฟินแลนด์ถือเป็นจังหวัดหนึ่งและถูกเรียกว่าชูโคเนีย เธอได้รับอำนาจอธิปไตยของเธอหลังจากนั้น การปฏิวัติเดือนตุลาคม- จนถึงขณะนี้อุตสาหกรรมของประเทศยังไม่พัฒนาเลย ดังนั้นรัฐจึงไม่สามารถอวดอาวุธของตนได้ ชื่อเสียงระดับโลกได้รับเฉพาะมีดฟินแลนด์อันโด่งดังซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลาย นักล่าชาวรัสเซียและพวกโจร อย่างไรก็ตาม ฟินแลนด์เข้าร่วมในสงครามสองครั้ง กองทัพฟินแลนด์ติดอาวุธด้วยปืนกลมือซูโอมิ
ตามที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารกล่าวว่า อาวุธนี้มันไม่ใช่ผลงานชิ้นเอก แต่ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าแย่ไปเสียหมด ยังไงก็ได้ การผลิตจำนวนมากมันไม่เคยถูกจัดตั้งขึ้น คำอธิบายของปืนกลมือ Suomi การออกแบบและลักษณะทางยุทธวิธีและทางเทคนิคแสดงอยู่ในบทความ
คนรู้จัก
ปืนกลมือ Suomi เป็นของแขนเล็ก อาวุธปืนระบบไอโม ลาห์ติ ในเอกสารประกอบ โมเดลนี้แสดงเป็น KP/-31, Suomi KP การพัฒนาปืนกลมือ Suomi ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1921 กองทัพฟินแลนด์ได้รับมันในปี พ.ศ. 2474 เท่านั้น การผลิตแบบอนุกรมปืนไรเฟิลรุ่นนี้ดำเนินต่อไปจนถึงปี 1953 ตลอดระยะเวลาทั้งหมดมีการผลิตไม่เกิน 80,000 หน่วย
เริ่ม
Aimo Johannes Lahti ผู้ออกแบบอาวุธชาวฟินแลนด์ตัดสินใจใช้ปืนกลมือ KP/-26 7.65 มม. เป็นพื้นฐานสำหรับ Suomi ปืนไรเฟิลรุ่นนี้ผลิตในฟินแลนด์ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2469 เดิมทีมีการวางแผนว่าจะใช้ปืนกลมือ Suomi (รูปถ่ายของโมเดลปืนไรเฟิลแสดงในบทความ) จะใช้ในระยะใกล้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กองทัพฟินแลนด์ประสบปัญหาการขาดแคลนปืนกลเบาอย่างรุนแรง "ซูโอมิ" ควรจะกลายเป็นอาวุธเช่นนี้ เนื่องจากถือเป็นปืนกลเบารุ่นใหม่ นักออกแบบจึงติดตั้งลำกล้องที่ค่อนข้างยาวและถอดออกได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ Suomi ยังมี bipod และนิตยสารที่กว้างขวางอีกด้วย
gunsmiths เผชิญกับความยากลำบากอะไรบ้าง?
การทดสอบ Suomi ครั้งแรกแสดงให้เห็นว่ากระสุนปืนพกมีค่อนข้างต่ำ ความตาย- การยิงตามที่คิดไว้ก่อนหน้านี้มีผลเฉพาะที่ ระยะสั้น- เนื่องจากมีอัตราการตายต่ำ จึงไม่ถือเป็นอาวุธเต็มตัวสำหรับหน่วยทหารราบ เป็นผลให้ผู้เชี่ยวชาญชาวฟินแลนด์ต้องทำการเปลี่ยนแปลง หลักคำสอนทางทหารประเทศ. ผลก็คือ กองทหารราบได้รับปืนกลเบา Lahti-Saloranta L/S-26 เพิ่มเติม โดยใช้ตลับกระสุนปืนไรเฟิล
เกี่ยวกับการผลิต
Suomi PP มีการออกแบบคล้ายกับปืนกลมือรุ่นแรก กล่าวคือปืนที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ MP18 ชัตเตอร์ของ Suomi ถูกสร้างขึ้นตามแบบจำลองของ Rheinmetall MP19 ของเยอรมัน ในขณะเดียวกัน ตามที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธระบุว่า PP ของฟินแลนด์มีคุณสมบัติบางอย่างที่เป็นลักษณะเฉพาะของมันเท่านั้น การผลิต "Suomi" ดำเนินการโดยใช้เครื่องจักรโลหะต่างๆ กล่องสลักถูกสร้างขึ้นโดยใช้การตีเหล็กทั้งหมด อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ส่งผลให้น้ำหนักของอาวุธเพิ่มขึ้น น้ำหนักของ Suomi PP ที่มีอุปกรณ์ครบครันเกิน 7 กก. นอกจากนี้การผลิตปืนกลมือจำเป็นต้องมีการลงทุนทางการเงินอย่างจริงจัง นี่คือเหตุผลที่ว่า การปล่อยมวลชนจุดผ่านแดนซูโอมิไม่เคยมีการจัดตั้งขึ้น
อุปกรณ์
ปืนกลมือมีฐานทำจากไม้เนื้อแข็ง ตัวรับสัญญาณแบบทึบพร้อมหน้าตัดทรงกลม ลำกล้อง ปลอกที่ถอดออกได้ และกลไกไกปืน ส่วนหน้าของไกปืนได้กลายเป็นที่สำหรับฟิวส์รูปตัว L ซึ่งใช้เป็นสวิตช์โหมดไฟ ในความพยายามที่จะทำให้ตัวรับสุญญากาศ รวมถึงป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกและฝุ่นเข้าไปในกลไก นักออกแบบชาวฟินแลนด์ใน PP ของเขาจึงวางที่จับโบลต์ไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวและแยกออกจากตัวโบลต์ ใน Suomi ส่วนด้านหลังของเครื่องรับกลายเป็นที่สำหรับจับ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอันเป็นผลมาจากการยึดหมุดยิงอย่างแน่นหนาทำให้การเชื่อมต่ออย่างแน่นหนากับที่จับง้างหายไปอันเป็นผลมาจากความเป็นไปได้ในการบรรจุกระสุนเข้าไปในห้องด้วยตนเองไม่ได้รับการยกเว้นโดยสิ้นเชิงซึ่งจะนำไปสู่การบาดเจ็บหรือ การยิงโดยไม่ได้วางแผน ตามที่ผู้เชี่ยวชาญทางทหารระบุ ความล่าช้าในการยิงดังกล่าวถือเป็นเรื่องปกติ ในระบบอัตโนมัติและ ปืนไรเฟิลซ้ำพร้อมกลไกการกระแทกที่ซับซ้อน ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขด้วยตนเอง คุณสมบัติการออกแบบอีกประการหนึ่งของ Finnish PP คือการถอดและติดตั้งปลอกถังได้ง่าย การมีถังสำรองอยู่ในมือ ทหารราบสามารถเปลี่ยนถังใหม่ได้ทุกเมื่อหากถังมีความร้อนสูงเกินไป ปัจจุบันช่างทำปืนชาวอิสราเอลใช้วิธีแก้ปัญหาที่คล้ายกันสำหรับ "อัลตราซาวนด์"
เกี่ยวกับการทำงานของชัตเตอร์
นักออกแบบชาวฟินแลนด์สามารถชะลออัตราการยิงได้โดยการนำระบบเบรกสุญญากาศเข้าไปใน PP เป็นอุปกรณ์นิวแมติกแบบเมมเบรนสปริงแบบพิเศษที่มีห้ารูที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางต่างกัน มีคุณภาพสูงมากและมีขนาดที่พอดีสำหรับตัวรับ ฝาครอบ และสลักเกลียว วาล์วทำงานเหมือนลูกสูบภายในกระบอกสูบ ขอบคุณสิ่งนี้ คุณสมบัติการออกแบบสามารถกำจัดการรั่วไหลของอากาศได้อย่างสมบูรณ์ เครื่องรับคือแผ่นชนซึ่งติดตั้งวาล์วพิเศษซึ่งมีหน้าที่ให้อากาศไหลผ่านจากภายในสู่ภายนอกโดยเฉพาะ ดังนั้นเมื่อโบลต์เคลื่อนไปข้างหน้า วาล์วจะปิด ด้วยการออกแบบนี้ น้ำหนักของชัตเตอร์จึงลดลง นอกจากนี้ การยิงโดยเฉพาะช็อตเดียวก็มีความแม่นยำมากขึ้น
เกี่ยวกับอุปกรณ์การมองเห็น
ปืนกลมือติดตั้งระบบเล็งแบบเซกเตอร์ซึ่งสามารถปรับได้ในระยะไกลไม่เกิน 500 ม. อย่างไรก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญทางทหารระบุว่า การยิงระเบิดที่มีประสิทธิภาพจาก Suomi นั้นทำได้ภายในระยะ 200 ม. เท่านั้น
เกี่ยวกับกระสุน
เมื่อมองแวบแรก ปืนกลมือ Suomi และ PPSh นั้นคล้ายกันมาก ประการแรก โมเดลการยิงทั้งสองรุ่นมีการติดตั้งปืนไรเฟิลแบบไม่มีด้ามจับ ประการที่สองการจัดหากระสุนในปืนกลมือนั้นดำเนินการจากคลิปดิสก์ซึ่งสามารถรองรับได้ จำนวนมากกระสุน.
คลิปสำหรับซอฟต์แวร์ Suomi นำเสนอในสองเวอร์ชัน สามารถบรรจุได้ 40 และ 70 รอบ แต่จากการใช้การต่อสู้แสดงให้เห็นว่า ความจุขนาดใหญ่ของคลิปไม่ได้พิสูจน์ตัวเอง เนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวทำได้ยาก การผลิตคลิป 70 รอบต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก นอกจาก, อุปกรณ์นี้ไม่ถือว่าน่าเชื่อถือมากกว่านิตยสารกล่อง ด้วยเหตุนี้ PPSh และ Suomi จึงเริ่มผลิตคลิปที่เรียบง่ายและไร้ปัญหาเท่านั้น ตัวอย่างนี้รองลงมาคือเดนมาร์กและสวีเดน แม้ว่าการออกแบบปืนกลมือจะไม่ได้มีส่วนส่วนหน้า แต่ทหารในฟินแลนด์ได้รับคำสั่งไม่ให้จับแม็กกาซีนขณะทำการยิง คำแนะนำนี้เกิดจากการที่ตัวรับและสลักคลิปไม่มีการออกแบบที่แข็งแรงพอและมักจะหลวมมาก ทหารกองทัพแดงที่ใช้ PPSh ได้รับคำแนะนำที่คล้ายกันจากคำสั่งของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ในระหว่างสงคราม ข้อห้ามนี้มักถูกละเลย
เกี่ยวกับอุปกรณ์เสริม
อุตสาหกรรมของฟินแลนด์ผลิตปืนกลมือพิเศษที่ใช้ติดอาวุธทหารในบังเกอร์และป้อมปราการอื่นๆ ปืนในอาวุธดังกล่าวถูกแทนที่ด้วยด้ามปืนพก นอกจากนี้ Suomis ดังกล่าวยังติดตั้งตัวเรือนกระบอกที่สั้นลงและตัวหยุดพิเศษ พวกมันคือไบพอดที่ติดอยู่กับปากกระบอกปืนกลมือ ทั้งหมดเหล่านี้ โมเดลการถ่ายภาพอุตสาหกรรมฟินแลนด์ผลิตได้ไม่เกิน 500 หน่วย
เกี่ยวกับข้อดีและข้อเสีย
Suomi PP เป็นอาวุธขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพพอสมควรในระดับเดียวกัน ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในคราวเดียวโดยทหารฟินแลนด์และโซเวียต “ซูโอมิ” ได้สถาปนาตัวเองให้เป็นอาวุธที่เชื่อถือได้อีกด้วย อุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์- ความสามารถในการเปลี่ยนถังได้อย่างรวดเร็วก็ได้รับการชื่นชมเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อได้เปรียบที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ปืนกลมือนี้ก็ยังมีข้อเสียเช่นกัน ถึง จุดอ่อนสามารถนำมาประกอบกับ "Suomi" ได้ น้ำหนักมากและต่ำ ความเร็วเริ่มต้นกระสุน นอกจากนี้ตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุ ลักษณะทางยุทธวิธีและทางเทคนิคของ SMG ที่ผลิตในฟินแลนด์นั้นด้อยกว่าโซเวียตและอย่างมาก โมเดลเยอรมัน- แต่ข้อเสียเปรียบหลักของ Suomi ไม่ใช่ด้านเทคนิค แต่เป็นลักษณะของเทคโนโลยี ในการผลิตเครื่องรับจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีการกัด การตีขึ้นรูปแข็งต้องใช้เวลาและเงินเป็นจำนวนมาก เพื่อปล่อยปืนกลมือ จำนวนทั้งหมดประมาณหนึ่งล้านคนจำเป็นต้องปั๊มเข้าไปในกระบวนการซึ่งทำให้ราคาอาวุธเพิ่มขึ้น
แอปพลิเคชัน
มีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ใช้ปืนกลมือ Suomi บัลแกเรียระหว่างปี พ.ศ. 2483-2485 ซื้อไปแล้ว 5505 หน่วย ผู้ออกแบบอาวุธในเดนมาร์กสร้างสำเนา 1,400 ชุดโดยใช้ปืนกลมือ Suomi ซึ่งระบุเป็น M/41 (ปืนกลมือ Lettet-Forcegs) ในโปแลนด์ เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธขนาดเล็กของฟินแลนด์มาตั้งแต่ปี 1933 ซื้อได้ทั้งหมด 20 ชิ้น ในสหภาพโซเวียต ปืนกลมือ Suomi ที่ยึดได้ถูกใช้โดยกลุ่มลาดตระเวนของกองทัพแดง ซึ่งปฏิบัติภารกิจหลังแนวข้าศึกและใน "ดินแดนที่เป็นกลาง" ในช่วงสงครามโซเวียต-ฟินแลนด์ อีกด้วย ทหารโซเวียตใช้ "ซูโอมิ" ในช่วงมหาสงครามแห่งความรักชาติ สวีเดนจัดซื้ออาวุธ 420 กระบอก ช่างทำปืนชาวสวีเดนใช้ปืนกลมือ Suomi ของฟินแลนด์สร้างโมเดลลิขสิทธิ์ที่คล้ายกัน ซึ่งมีการระบุไว้ในเอกสารว่าเป็น M/37 โดยรวมแล้วอุตสาหกรรมสวีเดนผลิตได้ 35,000 หน่วย สวิตเซอร์แลนด์จัดซื้ออาวุธขนาดเล็กของฟินแลนด์จำนวน 100 กระบอก MP 43/44 ผลิตจำนวนมากโดยใช้พื้นฐานจาก Suomi โครเอเชียซื้อหน่วย Suomi 500 หน่วยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2485 ถึง พ.ศ. 2486 เอสโตเนีย - 485 ชิ้น ในปี 1940, 3042 ซูโอมิเข้าประจำการกับจักรวรรดิไรช์ที่ 3
อาวุธฟินแลนด์ใช้โดยหน่วย Wehrmacht และ Waffen-SS นอกจากนี้ Suomi ยังอยู่ในอันดับที่ 5 กองรถถัง SS "ไวกิ้ง" และกองทหาร "Nordland" พ.ศ. 2474-2533 - ปีของการทำงานของปืนกลมือ Suomi ในฟินแลนด์
เกี่ยวกับคุณลักษณะทางยุทธวิธีและทางเทคนิค
- ปืนกลมือ Suomi เข้าประจำการในปี 1931
- ประเทศต้นกำเนิด - ฟินแลนด์
- ขนาดโดยรวมอาวุธคือ 87 ซม.
- น้ำหนัก - 4.6 กก.
- ความยาวลำกล้อง 314 มม.
- อาวุธนี้ติดตั้งกระสุน Parabellum ขนาด 9 x 19 มม. และ 7.65 x 17 มม. ในลำกล้อง 9 และ 7.65
- หลักการทำงานของปืนกลมือ Suomi นั้นเป็นโบลต์อิสระ
- ภายในหนึ่งนาที คุณสามารถยิงได้ตั้งแต่ 750 ถึง 900 นัด
- กระสุนที่ยิงมีความเร็ว 396 เมตร/วินาที
- ปืนกลมือฟินแลนด์“ซัวมิ” มีประสิทธิภาพในระยะไกลถึง 200 ม.
กระสุนมาจากแม็กกาซีนแบบกล่องที่ออกแบบมาเพื่อบรรจุกระสุนได้ 20, 36 และ 50 นัด รวมถึงจากแม็กกาซีนดรัมที่มีความจุ 40 และ 70 นัด
เกี่ยวกับการใช้การต่อสู้
ในช่วงก่อนสงคราม โดยทั่วไปเรียกว่าช่วงทศวรรษที่สามสิบของศตวรรษที่ 20 การกระจายขอบเขตอิทธิพลในยุโรปก็เริ่มต้นขึ้น ฟินแลนด์ไม่เหมือน สหภาพโซเวียตไม่มี การบินที่แข็งแกร่ง- ดังนั้นงบประมาณทางทหารของประเทศจึงมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาโปรแกรมการป้องกันโดยเฉพาะมากกว่าการรุก พลเรือนและทหารกำลังรอและเตรียมพร้อมรับการโจมตีจากสหภาพโซเวียต อย่างไรก็ตาม กองทัพแดงเอาชนะป้อมปราการขนาดใหญ่และแข็งแกร่งที่เข้มแข็งซึ่งสร้างโดยฟินน์ด้วยความสูญเสียครั้งใหญ่ ในสภาวะของฤดูหนาวขั้วโลกที่รุนแรง คุณสมบัติการต่อสู้ทั้งหมดของ Suomi PP ก็ถูกเปิดเผย ตามข้อบังคับภาคสนามของกองทัพฟินแลนด์ มีปืนกลมือหนึ่งกระบอกต่อหมวด เนื่องจากสถานะของอุตสาหกรรม ฟินแลนด์ในปี 2482 ไม่สามารถจัดหาอาวุธดังกล่าวให้กับผู้บังคับบัญชาทุกคนได้ สถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงใน ด้านที่ดีกว่าในปี 1940 ขณะนี้มีสี่ Suomis ต่อหมวด อย่างไรก็ตาม นี่ยังไม่เพียงพอ เป็นไปได้ที่จะแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาวุธโดยการจัดตั้งกองพลปืนกลที่แยกจากกันเพื่อสร้างความประหลาดใจให้กับศัตรู ไฟหนัก.
เมื่อสิ้นสุดการโจมตี กลุ่มเหล่านี้ก็ถูกยุบ และพลปืนกลก็กลับเข้าหมวดของตน นี้ ยุทธวิธีการต่อสู้นำมาใช้โดยผู้บัญชาการโซเวียต เมื่อถึงจุดเริ่มต้นของมหาสงครามแห่งความรักชาติ บริษัท พลปืนกลทำหน้าที่ในกองทัพแดงในฐานะ โครงสร้างการรับพนักงาน- ดังนั้น ทหารโซเวียตจึงควบคุมอำนาจการยิงมหาศาลที่ยืมมาจากฟินน์เพื่อต่อสู้กับพวกนาซี สงครามโซเวียต-ฟินแลนด์มีบทบาทเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ส่งผลให้ปริมาณอาวุธที่ผลิตในสหภาพโซเวียตเพิ่มขึ้น เมื่อสิ้นสุดสงคราม ฟินแลนด์สูญเสียดินแดนบางส่วน แต่กลายเป็นเจ้าของที่ดินอื่นที่สหภาพโซเวียตมอบให้ การเอาเปรียบ การโจมตีของเยอรมันชาวฟินน์ต้องการคืนสิ่งที่ถูกพรากไปซึ่งกลายเป็นระยะที่สอง สงครามโซเวียต-ฟินแลนด์- แม้ว่าฟินน์จะรับรองว่าพวกเขาดำเนินการอย่างเป็นอิสระและไม่ได้เป็นพันธมิตรกับฮิตเลอร์ แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่ามีปืนกลมือ Suomi มากกว่าสามพันกระบอกเข้าประจำการในคราวเดียวกับ Wehrmacht