โรบินสัน แต่ไม่ใช่ครูโซ เรื่องจริง
สภาพภูมิอากาศของเกาะนี้ค่อนข้างอบอุ่น อุณหภูมิอยู่ระหว่าง +12 ถึง +19 องศาตลอดทั้งปี ในส่วนภูเขาของเกาะมีป่าทึบ ใต้พื้นดินปกคลุมไปด้วยสวนปาล์มและดงเฟิร์น บนเกาะแห่งนี้ที่กะลาสีเรือชาวสก็อตอาศัยอยู่ตามลำพังเป็นเวลา 5 ปี
...เขาเกิดในปี 1678 ในหมู่บ้านเล็กๆ ในสกอตแลนด์ที่ชื่อ Largo ในครอบครัวของ John Selkreg ช่างทำรองเท้าผู้ยากจน เมื่อชายคนนี้อายุ 19 ปี เขาเปลี่ยนนามสกุลและออกจากบ้าน เนื่องจากทะเลาะกับพ่อและน้องชายตามหลอกหลอนเขาอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มไปทำงานเป็นกะลาสีเรือในกองทัพเรืออังกฤษ
เขาล่องเรือข้ามทะเลและมหาสมุทรมากมายและเข้าร่วมในการรบทางเรือ เมื่อกัปตันแดมเปอร์ โจรสลัดชื่อดังกำลังรับสมัครกะลาสีเรือให้กับลูกเรือของเขา อเล็กซานเดอร์ เซลเคิร์กก็เข้าร่วมกับพวกเขา ต่อมาเขาได้เข้าร่วมการบังคับบัญชาของกัปตันเรือฟริเกตอีกลำหนึ่งชื่อพิกเคอริง หลังจากนั้นไม่นาน Pickering ก็เสียชีวิตและ Stredling ก็เข้ามาแทนที่ และ Alexander Selkirk ซึ่งกลายเป็นกะลาสีเรือที่มีความสามารถก็กลายเป็นผู้ช่วยกัปตันคนใหม่
ในเดือนพฤษภาคมปี 1704 เรือโจรสลัดลำหนึ่งถูกบังคับให้ทอดสมอนอกเกาะ Mas a Tierra เนื่องจากได้รับความเสียหายจากพายุ การทะเลาะกันเกิดขึ้นระหว่างกัปตันและเซลเคิร์กซึ่งเป็นผลมาจากการที่กัปตันสั่งให้ผู้ช่วยของเขาลงจอดบนเกาะโดยทิ้งปืน ดินปืน กระสุน ขวาน กล้องส่องทางไกล ผ้าห่มและยาสูบให้เขา
รูปถ่าย: Serpentus, ru.wikipedia.org
ในตอนแรกเขาถูกครอบงำด้วยความสิ้นหวัง การนอนไม่หลับ และความหิวโหยผลักดันให้เขาฆ่าตัวตาย แต่อเล็กซานเดอร์ก็สร้างที่อยู่อาศัยให้ตัวเองและเดินลึกเข้าไปในเกาะเพื่อค้นหาอาหาร พืชและสัตว์ของเกาะมีความหลากหลายและอุดมสมบูรณ์
อเล็กซานเดอร์ เซลเคิร์กเริ่มตกปลา ล่าเต่าทะเล และเลี้ยงแพะป่าและแมวป่าที่อยู่บนเกาะให้เชื่อง เช่นเดียวกับในยุคหิน เขาก่อไฟด้วยการเสียดสี ทำเสื้อผ้าจากหนังแพะโดยใช้ตะปูแทนเข็ม นอกจากนี้ เซลเคิร์กยังทำปฏิทินให้ตัวเองอีกด้วย เขาจึงอาศัยอยู่บนเกาะร้างเป็นเวลาห้าปี
เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1709 กะลาสีเรือชาวสก็อต อเล็กซานเดอร์ เซลเคิร์ก ถูกค้นพบโดยเรือรบอังกฤษ ชาวเรือเห็นชายร่างใหญ่มีผมยาวและมีเครา เสื้อผ้าของเขาทำด้วยหนังแพะ ในตอนแรก อเล็กซานเดอร์ทำได้เพียงเปล่งเสียงที่ไม่ชัดเจนเท่านั้น และหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ เมื่อรู้สึกตัว เขาก็สามารถที่จะเล่าเรื่องราวของเขาได้ ต่อมาปรากฎว่าเรือลำหนึ่งซึ่งกัปตันทิ้งเขาไว้บนเกาะร้างถูกพายุเข้าและลูกเรือเกือบทั้งหมดเสียชีวิต
ในปี ค.ศ. 1712 หนังสือของ Woods Rogers ชื่อ An Industrial Voyage Around the World ได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งบอกเล่าเกี่ยวกับชีวิตของ Alexander Selkirk บนเกาะทะเลทราย
หลังจากนั้นไม่นาน Alexander Selkirk เองก็เขียนหนังสือชื่อ "The Intervention of Providence หรือเรื่องราวที่ผิดปกติของการผจญภัยของ Alexander Selkirk เขียนด้วยมือของเขาเอง" แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้รับความนิยม
รูปถ่าย: Hobe / Holger Behr, ru.wikipedia.org
และหนังสือของ Daniel Defoe ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1719 ภายใต้ชื่อ "The Life and Extraordinary Adventures of Robinson Crusoe, Robinson of York, Who Lived 28 Years on a Deserted Island" ได้รับชื่อเสียงไปทั่วโลกในทันทีที่ผู้อ่านจำตัวละครนี้ได้ในชื่อ "Robinson" ” จากเกาะมาส-อา-เทียร์รา
Daniel Defoe ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาได้พบกับ Robinson-Selkirk และใช้เขาในหนังสือของเขา ในคำนำของหนังสือเกี่ยวกับโรบินสันฉบับพิมพ์ครั้งแรก ดี. เดโฟเขียนว่า:
“ยังมีชายคนหนึ่งซึ่งใช้ชีวิตเป็นพื้นฐานสำหรับหนังสือเล่มนี้”
รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลีเปลี่ยนชื่อเกาะ Mas a Tierra โดยที่เซลเคิร์กใช้ชีวิตห้าปีในชีวิตของเขาคือเกาะเซลเคิร์ก ในหมู่บ้านลาร์โกของสก็อตแลนด์ซึ่งเป็นที่ที่อเล็กซานเดอร์ เซลเคิร์กเกิด มีการสร้างอนุสาวรีย์ให้เขา
ภาพถ่าย: “JTMorkis, pixabay.com”
Alexander Selkirk ไม่ใช่ “โรบินสัน” คนแรกบนเกาะร้าง Mas a Tierra Juan Fernandez บรรพบุรุษของเขาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายปี เขาเป็นคนที่ทิ้งแพะไว้ที่นี่ซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับ Alexander Selkirk พวกเขาให้เนื้อนมและหนังแก่เขาสำหรับเสื้อผ้า กะลาสีผิวคล้ำที่หนีจากเรือที่จมอาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้เป็นเวลาห้าปี (พ.ศ. 2223-2228)
ในปี 1687 กัปตันเดวิสทิ้งลูกเรือ 9 คนไว้บนเกาะ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจสอนบทเรียนเรื่องการพนันลูกเต๋าให้พวกเขา กัปตันจัดหาอาหารและทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตให้พวกเขา กะลาสีเรือไม่ได้เศร้าเลย แต่ในทางกลับกัน ตอนนี้พวกเขามีเวลาว่างมากมายในการเล่นลูกเต๋า ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาทำในเวลาว่างทั้งหมด เนื่องจากพวกเขาไม่มีเงิน กะลาสีเรือผู้รอบรู้จึงแบ่งอาณาเขตของเกาะกันเองและเล่นเพื่อดินแดน ลูกเรือออกจากเกาะหลังจากผ่านไปสามปี แม้ว่าพวกเขาจะมีโอกาสมากมายที่จะทำเช่นนั้นก่อนหน้านี้ก็ตาม 14 ปีหลังจากนั้น อเล็กซานเดอร์ เซลเคิร์ก "ตั้งรกราก" บนเกาะแห่งนี้
รูปถ่าย:
หลังจากนั้นโจรสลัดและผู้ละทิ้งจากเรือรบอังกฤษก็ซ่อนตัวอยู่บนเกาะเป็นเวลานาน ชาวสเปนได้ก่อตั้งอาณานิคมขึ้นที่นี่ ซึ่งถูกทำลายจากแผ่นดินไหว ในปี 1750 มีเรือนจำสำหรับผู้รักชาติชาวชิลีที่ต่อสู้เพื่อเอกราชของประเทศของตน ต่อมารัฐบาลชิลีส่งฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองลี้ภัยมาที่นี่ ในปี พ.ศ. 2398 บนเกาะก็มีโรงงานบรรจุกระป๋องด้วยซ้ำ
ขณะนั้นเรือดำน้ำของเยอรมันและญี่ปุ่นซ่อนตัวอยู่ใกล้เกาะ และบริษัทอเมริกันได้สร้างโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวบนเกาะโรบินสัน
นวนิยายเรื่อง "Robinson Crusoe" ทำให้ชื่อของ Daniel Defoe เป็นอมตะและชื่อของตัวละครหลักก็กลายเป็นชื่อที่ใช้ในครัวเรือนมานานแล้ว เด็กคนใดในวัยเด็กจินตนาการว่าเขาจะมาอยู่บนเกาะร้างและอยู่รอดที่นี่ได้อย่างไร ฉันจะพูดอะไรได้ ไม่ใช่แค่เด็กผู้ชายเท่านั้น เมื่อไม่นานมานี้เราได้พูดคุยเกี่ยวกับเศรษฐีที่ล้มละลายซึ่งฉลองครบรอบ 20 ปีบนเกาะนี้ แต่มีเรื่องราวของโรบินสันที่แท้จริงเรื่องอื่นอีกบ้าง?
เกาะโรบินสัน ครูโซ ซึ่งอเล็กซานเดอร์ เซลเคิร์กใช้เวลา 4 ปี
อาศัยอยู่บนเกาะร้าง: 4 ปี 4 เดือน
เรื่องราวของกะลาสีเรือชาวสก็อต Alexander Selkirk เป็นแรงบันดาลใจให้ Defoe เขียนนวนิยายเรื่องนี้ เขาเองที่เป็นต้นแบบของ Robinson Crusoe จริงอยู่ที่ฮีโร่วรรณกรรมอยู่บนเกาะนี้เป็นเวลา 28 ปีและในช่วงเวลาอันยาวนานนี้เขาเติบโตทางจิตวิญญาณตามลำพังกับธรรมชาติและกับตัวเขาเอง เซลเคิร์กอยู่บนเกาะนี้เป็นเวลา 4 ปีและเขาไม่ได้ไปที่นั่นเพราะเรืออับปาง แต่หลังจากทะเลาะกับกัปตัน และไม่มีเพื่อนในวันศุกร์สำหรับคุณและแน่นอนว่าเป็นมนุษย์กินเนื้อด้วย อย่างไรก็ตาม อเล็กซานเดอร์สามารถเอาชีวิตรอดได้ในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวย เขากินหอย ฝึกแพะดุร้าย และสร้างกระท่อมสองหลัง ในปี 1709 กะลาสีเรือถูกค้นพบโดยเรืออังกฤษ เมื่อเซลเคิร์กกลับมาลอนดอน เขาเล่าเรื่องราวที่น่าทึ่งของเขาให้นักเขียนริชาร์ด สตีลผู้ตีพิมพ์เรื่องนี้ในหนังสือพิมพ์ฟัง
อย่างไรก็ตาม เกาะที่เซลเคิร์กอาศัยอยู่ตามลำพังนั้นต่อมาได้ชื่อว่าโรบินสัน ครูโซ และจากที่นั่นอีก 150 กิโลเมตรจะมีเกาะอีกเกาะหนึ่ง - Alexander Selkirk
นักเดินทาง แดเนียล ฟอสส์
อาศัยอยู่บนเกาะร้าง: 5 ปี
เรื่องราวของนักเดินทางอีกคน Daniel Foss ก็น่าประหลาดใจเช่นกัน ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 18 ชายคนหนึ่งเดินทางบนเรือ Negotiant พร้อมลูกเรือของเขาในทะเลทางเหนือที่ซึ่งพวกเขาล่าแมวน้ำ เรือชนกับภูเขาน้ำแข็ง และมีผู้รอดชีวิต 21 คนหลบหนีไปได้ พวกเขาว่ายบนคลื่นเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่งจนกระทั่งมีคนสองคนยังมีชีวิตอยู่ ในไม่ช้าเรือก็ถูกโยนขึ้นฝั่ง ซึ่งฟอสส์สูญเสียเพื่อนคนสุดท้ายของเขาไป แต่เกาะแห่งนี้กลับกลายเป็นว่าห่างไกลจากสวรรค์ เป็นดินแดนหินเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรนอกจากแมวน้ำ จริงๆ แล้ว เนื้อแมวน้ำช่วยให้ดาเนียลมีชีวิตรอดได้ และเขาก็ดื่มน้ำฝนด้วย เพียงห้าปีต่อมาในปี 1809 เรือลำหนึ่งที่แล่นผ่านไปมาก็มารับฟอสส์ ขณะเดียวกัน เจ้าผู้น่าสงสารก็ต้องว่ายไปหาเขา เพราะกัปตันกลัวว่าเรือจะเกยตื้น
ทอม นีล - ฤาษีสมัครใจ
อาศัยอยู่บนเกาะร้าง: ประมาณ 16 ปี
แต่มีเรื่องราวเกี่ยวกับอาศรมสมัครใจอยู่บ้าง ดังนั้นเป็นเวลาเกือบ 16 ปีที่เกาะปะการัง Suvorov จึงกลายเป็นบ้านของ Tom Neil ชาวนิวซีแลนด์ เขามาเยือนเกาะนี้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2495 ชายคนนี้เลี้ยงไก่ในบ้าน เริ่มทำสวนผัก และจับปู หอย และปลา ดังนั้นชาวนิวซีแลนด์จึงอาศัยอยู่บนเกาะนี้เป็นเวลาเกือบสามปี และหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสเขาก็ถูกนำตัวออกไป แต่นั่นไม่ได้หยุดเขาจากการกลับมา ทอมกลับมาสู่สวรรค์ของเขาในปี 1960 เป็นเวลาสามปีครึ่ง และในปี 1966 เป็นเวลาสิบปี หลังจากการเข้าพักครั้งที่สอง นีลได้เขียนหนังสือ An Island to Yourself ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดี
Jeremy Beebs - โรบินสันที่แก่ตัวลงบนเกาะ
อาศัยอยู่บนเกาะร้าง: 74 ปี
ในปีพ.ศ. 2454 เรือ "บิวติฟูล บลิส" อับปาง มีเพียง Jeremy Biebs เท่านั้นที่สามารถเอาชีวิตรอดได้ ตอนนั้นเขาอายุเพียง 14 ปี เนื่องจากอายุของเขา เขาจึงชอบนิยายแนวผจญภัยมาก และคุณคิดว่าหนังสือเล่มใดคือหนังสือเล่มโปรดของเขา แน่นอนโรบินสัน ครูโซ ที่นี่เขาได้เรียนรู้ทักษะการเอาชีวิตรอดขั้นพื้นฐาน เรียนรู้วิธีการเก็บปฏิทิน การล่าสัตว์ และสร้างกระท่อม ชายหนุ่มสามารถจัดการให้แก่ได้บนเกาะ: เขาถูกพาตัวไปในปี 1985 ในฐานะชายอายุ 88 ปีเท่านั้น ลองนึกภาพว่าในช่วงเวลานี้สงครามโลกครั้งที่สองผ่านไปและมนุษย์ได้ครอบครองอวกาศ
Alexey Khimkov และสหายของเขา - โรบินสันขั้วโลก
อาศัยอยู่บนเกาะร้าง: 6 ปี
เรื่องราวนี้รุนแรงยิ่งกว่าเดิม: ปราศจากป่าเขตร้อนและทะเลอุ่น ทีมอาศัยอยู่ในน้ำแข็งอาร์กติกเป็นเวลาหกปีเต็ม ในปี 1743 นำโดยนายท้ายเรือ Alexei Khimkov เรือสินค้าลำหนึ่งไปตกปลาและติดอยู่ในน้ำแข็ง ทีมสี่คนไปที่ชายฝั่งของหมู่เกาะ Spitsbergen ซึ่งพวกเขาพบกระท่อมหลังหนึ่ง ที่นี่พวกเขาวางแผนที่จะค้างคืน แต่โชคชะตากำหนดไว้เป็นอย่างอื่น: ลมอาร์กติกที่พัดแรงพัดพาน้ำแข็งลอยไปพร้อมกับเรือลงสู่ทะเลเปิดที่ซึ่งเรือจม นักล่ามีทางเลือกเดียวเท่านั้น - เพื่อป้องกันกระท่อมและรอการช่วยเหลือ เป็นผลให้พวกเขาอาศัยอยู่บนเกาะนี้เป็นเวลา 6 ปี ในระหว่างนั้นทีมงานได้ทำหอกและคันธนูแบบโฮมเมด พวกเขาล่าหมี กวาง และตกปลาด้วย ดังนั้นฤดูหนาวอันโหดร้ายของอาร์กติกจึงมากเกินไปสำหรับผู้ชาย อย่างไรก็ตาม มีการระบาดของโรคเลือดออกตามไรฟันในแคมป์เล็กๆ ของพวกเขา และนักเดินทางคนหนึ่งเสียชีวิต
หกปีต่อมา มีเรือลำหนึ่งแล่นผ่านเกาะและช่วยเหลือขั้วโลกโรบินสัน แต่พวกเขาไม่ได้ขึ้นเครื่องด้วยมือเปล่า: ในช่วงเวลานานนี้พวกเขาสามารถได้รับหนังสัตว์ใหญ่ได้ประมาณ 200 ตัวและสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกในจำนวนเท่ากัน หนังสือ "การผจญภัยของลูกเรือชาวรัสเซียสี่คนมาถึงเกาะ Spitsbergen โดยพายุ" ได้รับการตีพิมพ์ในภายหลังเกี่ยวกับการผจญภัยของ Russian Robinsons ซึ่งได้รับการแปลเป็นหลายภาษา
มันเป็นความขัดแย้ง แต่ “Robinson Crusoe” ซึ่งคนโซเวียตส่วนใหญ่รู้จักเนื่องจากการเล่าขานของเด็ก ๆ โดย Korney Chukovsky นั้นเป็นหนังสือที่แตกต่างไปจากที่ Defoe เขียนอย่างสิ้นเชิง และเพื่อให้หนังสือเล่มนี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง สิ่งเดียวที่เพียงพอคือการถอดพระเจ้าออกจากหนังสือเล่มนี้
ในการเล่าเรื่องซึ่งปรากฏในปี 2478 หนังสือเล่มนี้ไม่เพียง แต่สูญเสียเนื้อหาที่เป็นคริสเตียนเท่านั้นไม่เพียงแค่กลายเป็นนวนิยายผจญภัยผิวเผินอีกเล่มหนึ่งเท่านั้น แต่ยังได้รับข้อความทางอุดมการณ์ที่ชัดเจนมาก: บุคคลสามารถบรรลุทุกสิ่งได้ด้วยตัวเองด้วยจิตใจของเขา ด้วยความช่วยเหลือจากวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เขาจึงสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่สิ้นหวังได้ และเขาไม่ต้องการพระเจ้าสำหรับเรื่องนี้
แม้ว่าใครก็ตามที่อ่านข้อความต้นฉบับของเดโฟจะเห็นได้ชัดเจน: โดยไม่มีการสวดภาวนาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการสื่อสารทางจิตกับพระเจ้า (แม้จะเป็นข้อความสั้น ๆ ในรูปแบบโปรเตสแตนต์ ไม่มีการนมัสการ ไม่มีศีลระลึกในโบสถ์) โรบินสันก็จะคลั่งไคล้อย่างรวดเร็ว แต่สำหรับพระเจ้า มนุษย์ไม่ได้อยู่คนเดียวแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่แค่ความคิดของผู้เขียนเท่านั้น แต่ยังได้รับการยืนยันจากชีวิตจริงด้วย หลังจากทั้งหมด
อเล็กซานเดอร์ เซลเคิร์ก ต้นแบบของโรบินสัน ซึ่งใช้เวลาสี่ปีบนเกาะร้าง ได้หันมาศรัทธา อธิษฐานจริงๆ และคำอธิษฐานนี้ช่วยให้เขารักษาสุขภาพจิตของเขาได้
จากต้นแบบ Defoe ไม่เพียงแต่ใช้สถานการณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีในการเอาชนะความน่ากลัวของความเหงาด้วยการหันไปหาพระเจ้าอีกด้วย
ในเวลาเดียวกัน ทั้งเดโฟและฮีโร่ของเขามีมุมมองที่คลุมเครือเกี่ยวกับคำสอนของพระคริสต์ พวกเขายอมรับลัทธิคาลวินในรูปแบบหนึ่ง นั่นคือพวกเขาเชื่อในชะตากรรมแบบหนึ่ง: หากคุณเป็นคนที่ได้รับพรจากเบื้องบนในตอนแรกแสดงว่าคุณโชคดีทุกอย่างได้ผลสำหรับคุณ แต่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ (และแม้แต่ประชาชาติด้วย!) ควรสงสัยอย่างยิ่งถึงความสามารถของพวกเขาที่จะได้รับการช่วยเหลือ ทั้งหมด. สำหรับพวกเราชาวคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ มุมมองดังกล่าวยังห่างไกลจากแก่นแท้ของข่าวดีมาก
แน่นอนว่าเราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาทางเทววิทยาและศีลธรรมของโรบินสัน ครูโซได้เมื่อเรารู้ว่าเดโฟเขียนนวนิยายของเขาเกี่ยวกับอะไรและอย่างไร แต่ในประเทศของเรา ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว การค้นหานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไปหรือเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ
เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในความเข้าใจของเราเกี่ยวกับโรบินสัน ครูโซ โทมัสขอให้เราพูดคุยรายละเอียดเกี่ยวกับนวนิยายเรื่องนี้และผู้แต่งViktor Simakov ผู้สมัคร fวิทยาศาสตรวิทยาครูสอนภาษาและวรรณคดีรัสเซียที่โรงเรียนหมายเลข 1315 (มอสโก)
การโกหกสองครั้ง - หรือการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ
เมื่อมองแวบแรก Daniel Defoe ดูเหมือนจะเป็นผู้แต่งหนังสือเล่มใหญ่เล่มหนึ่ง - Robinson Crusoe เมื่อพิจารณาให้ละเอียดยิ่งขึ้นเราจะเข้าใจว่าสิ่งนี้ไม่เป็นความจริงทั้งหมด: ในเวลาประมาณห้าปี (ค.ศ. 1719–1724) เขาได้ตีพิมพ์หนังสือนิยายประมาณสิบเล่มทีละเล่มซึ่งมีความสำคัญในแบบของตัวเอง ตัวอย่างเช่น "Roxana" (1724 ) กลายเป็นต้นแบบของนวนิยายอาชญากรรมมาหลายปี และ "Diary of the Plague Year" (1722) มีอิทธิพลต่อผลงานของ García Márquez อย่างไรก็ตาม “Robinson Crusoe” เช่น “The Odyssey”, “The Divine Comedy”, “Don Quixote” ถือเป็นระดับชื่อเสียงที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงและเป็นพื้นฐานสำหรับการสะท้อนวัฒนธรรมอันยาวนาน โรบินสันกลายเป็นตำนาน ไททัน ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ชั่วนิรันดร์ในงานศิลปะ
เมื่อวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1719 หนังสือที่มีชื่ออย่างละเอียดปรากฏในร้านหนังสือในลอนดอน - "ชีวิต การผจญภัยที่ไม่ธรรมดาและน่าทึ่งของโรบินสัน ครูโซ กะลาสีเรือจากยอร์กซึ่งอาศัยอยู่ตามลำพังเป็นเวลา 28 ปีโดยลำพังบนเกาะที่ไม่มีคนอาศัยอยู่นอกชายฝั่งอเมริกา ใกล้ปากแม่น้ำ Orinoco ซึ่งเขาถูกเรืออับปางโยน ในระหว่างนั้นลูกเรือทั้งหมดของเรือยกเว้นตัวเขาเองเสียชีวิตด้วยเรื่องราวของโจรสลัดที่ปล่อยตัวโดยไม่คาดคิด เขียนเอง" ชื่อภาษาอังกฤษต้นฉบับมี 65 คำ- ชื่อนี้ยังเป็นคำอธิบายประกอบที่สมเหตุสมผลสำหรับหนังสืออีกด้วย สิ่งที่ผู้อ่านจะไม่ซื้อหากบนหน้าปกมีอเมริกาและโจรสลัด การผจญภัยและซากเรือ แม่น้ำที่มีชื่อลึกลับ และเกาะที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ และยังมีเรื่องโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ อีกด้วย: ในปีที่ยี่สิบสี่ "ความเหงาโดยสมบูรณ์" สิ้นสุดลงวันศุกร์ก็ปรากฏตัวขึ้น
คำโกหกที่สองนั้นจริงจังกว่า: โรบินสัน ครูโซไม่ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวเอง เขาเป็นเพียงจินตนาการของผู้แต่งที่จงใจไม่เอ่ยถึงตัวเองบนหน้าปกของหนังสือ เพื่อประโยชน์ในการขายดี เขาจึงส่งต่อนิยาย (นิยายเชิงศิลปะ) ให้เป็นสารคดี (นั่นคือ สารคดี) โดยจัดแต่งนิยายให้เป็นไดอารี่ การคำนวณได้ผล ยอดจำหน่ายขายหมดทันที แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะมีราคา 5 ชิลลิง ซึ่งเท่ากับชุดสูททางการของสุภาพบุรุษ
โรบินสันท่ามกลางหิมะที่รัสเซีย
ในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกันพร้อมกับการพิมพ์นวนิยายครั้งที่สี่ Defoe ได้เปิดตัวภาคต่อ - "The Next Adventures of Robinson Crusoe ... " (มีคำพูดมากมายอีกครั้ง) โดยไม่ต้องเอ่ยถึงผู้แต่งและ ในรูปแบบของความทรงจำด้วย หนังสือเล่มนี้บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางรอบโลกของโรบินสันผู้ชราภาพข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรอินเดีย จีน และรัสเซียที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ การมาเยือนเกาะครั้งใหม่ และการเสียชีวิตของวันศุกร์ในมาดากัสการ์ และต่อมาในปี 1720 มีการตีพิมพ์สารคดีเกี่ยวกับโรบินสันครูโซซึ่งเป็นหนังสือบทความในหัวข้อต่าง ๆ ที่มีคำอธิบายเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของโรบินสันเกี่ยวกับโลกเทวทูต จากความนิยมของเล่มแรกทั้งสองเล่มก็ขายดีเช่นกัน ในด้านการตลาดหนังสือ เดโฟไม่เท่าเทียมกันในขณะนั้น
การแกะสลัก ฌอง แกรนวิลล์
สิ่งหนึ่งที่น่าประหลาดใจคือความง่ายที่ผู้เขียนเลียนแบบความไร้ศิลปะของสไตล์ไดอารี่แม้ว่าเขาจะเขียนอย่างบ้าคลั่งก็ตาม ในปี 1719 มีการตีพิมพ์หนังสือเล่มใหม่สามเล่มของเขารวมถึงเล่มเกี่ยวกับโรบินสันสองเล่มและในปี 1720 - สี่เล่ม บางส่วนเป็นร้อยแก้วสารคดีอย่างแท้จริง ส่วนอีกส่วนหนึ่งเป็นบันทึกความทรงจำหลอกซึ่งปัจจุบันเรียกว่านวนิยาย
นี่มันนิยายเหรอ?
เป็นไปไม่ได้ที่จะพูดถึงประเภทของนวนิยายในแง่ที่ตอนนี้เราหมายถึงคำนี้เมื่อต้นศตวรรษที่ 18 ในช่วงเวลานี้ในอังกฤษ มีกระบวนการผสมผสานการก่อตัวของประเภทต่างๆ ("เรื่องจริง", "การเดินทาง", "หนังสือ", "ชีวประวัติ", "คำอธิบาย", "การบรรยาย", "โรแมนติก" และอื่น ๆ ) ให้เป็นหนึ่งเดียว แนวความคิดของแนวนวนิยายและค่อยๆเกิดแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่าที่เป็นอิสระของมัน อย่างไรก็ตาม คำว่านวนิยายไม่ค่อยมีการใช้ในศตวรรษที่ 18 และความหมายของคำนี้ยังแคบอยู่ มันเป็นเพียงเรื่องราวความรักสั้นๆ เท่านั้น
การแกะสลัก ฌอง แกรนวิลล์
เดโฟไม่ได้วางตำแหน่งนวนิยายใด ๆ ของเขาเป็นนวนิยาย แต่ใช้วิธีการทางการตลาดแบบเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก - เขาปล่อยบันทึกความทรงจำปลอมโดยไม่ระบุชื่อผู้แต่งที่แท้จริงโดยเชื่อว่าสารคดีน่าสนใจกว่านิยายมาก ชาวฝรั่งเศส Gacien de Courtille de Sandra (“ Memoirs of Messire d’Artagnan”, 1700) มีชื่อเสียงก่อนหน้านี้เล็กน้อยในเรื่องบันทึกความทรงจำหลอก - ซึ่งมีชื่อยาวเช่นกัน Jonathan Swift หลังจาก Defoe ได้ไม่นาน เขาก็ฉวยโอกาสเดียวกันนี้ใน “Gulliver's Travels” (1726–1727) ซึ่งจัดรูปแบบเป็นไดอารี่ แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะบรรยายเหตุการณ์ที่อัศจรรย์กว่าของ Defoe มาก แต่ที่นี่ยังมีผู้อ่านที่เล่าเรื่องนี้ด้วย คำพูดของเขา
บันทึกความทรงจำปลอมของ Defoe มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาแนวนวนิยาย ใน “Robinson Crusoe” เดโฟเสนอโครงเรื่องที่ไม่เพียงเต็มไปด้วยการผจญภัยเท่านั้น แต่ยังทำให้ผู้อ่านเกิดความสงสัย (ในไม่ช้า คำว่า “ใจจดใจจ่อ” จะได้รับการประกาศเกียรติคุณในอังกฤษ) นอกจากนี้การเล่าเรื่องยังค่อนข้างสำคัญ - มีโครงเรื่องที่ชัดเจน การพัฒนาการกระทำที่สอดคล้องกัน และการไขเค้าความเรื่องที่น่าเชื่อถือ สมัยนั้นค่อนข้างหายาก ตัวอย่างเช่นหนังสือเล่มที่สองเกี่ยวกับโรบินสันไม่สามารถอวดอ้างความซื่อสัตย์ดังกล่าวได้
โรบินสันมาจากไหน?
โครงเรื่องของ “โรบินสัน ครูโซ” ล้มลงบนพื้นหญ้าที่เตรียมไว้ ในช่วงชีวิตของ Defoe เรื่องราวของกะลาสีเรือชาวสก็อต Alexander Selkirk เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางซึ่งหลังจากทะเลาะกับกัปตันของเขาใช้เวลาเพียงสี่ปีบนเกาะ Mas a Tierra ในมหาสมุทรแปซิฟิกห่างจากชายฝั่งชิลี 640 กม. ( ปัจจุบันเกาะนี้เรียกว่าโรบินสันครูโซ) เมื่อกลับไปอังกฤษเขาพูดซ้ำ ๆ ในผับเกี่ยวกับการผจญภัยของเขาและในที่สุดก็กลายเป็นวีรบุรุษของเรียงความที่น่าตื่นเต้นโดย Richard Steele (ซึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งข้อสังเกตว่าเซลเคิร์กเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี) เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์ของเซลเคิร์กอย่างใกล้ชิด เดโฟได้เปลี่ยนเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นเกาะในทะเลแคริบเบียน เนื่องจากมีข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับภูมิภาคนี้จากแหล่งข้อมูลที่มีอยู่
การแกะสลัก ฌอง แกรนวิลล์
แหล่งที่มาที่เป็นไปได้ประการที่สองของโครงเรื่องคือ “The Tale of Haya, son of Yakzan...” โดยนักเขียนชาวอาหรับในศตวรรษที่ 12 Ibn Tufail นี่เป็นนวนิยายเชิงปรัชญา (อีกครั้ง เท่าที่คำนี้สามารถนำไปใช้กับหนังสือภาษาอาหรับยุคกลางได้) เกี่ยวกับวีรบุรุษที่อาศัยอยู่บนเกาะตั้งแต่ยังเป็นทารก ไม่ว่าเขาจะถูกส่งโดยแม่ผู้ทำบาปของเขาข้ามทะเลโดยใส่หีบแล้วโยนลงบนเกาะ (เป็นการพาดพิงถึงเรื่องราวจากพันธสัญญาเดิมและอัลกุรอานอย่างชัดเจน) หรือเขา "สร้างขึ้นเอง" จากดินเหนียวที่มีอยู่แล้ว (ทั้งสองเวอร์ชันมีให้ใน หนังสือ) จากนั้นฮีโร่ก็ถูกเลี้ยงด้วยเนื้อทรายเรียนรู้ทุกสิ่งด้วยตัวเขาเองพิชิตโลกรอบตัวเขาและเรียนรู้ที่จะคิดเชิงนามธรรม หนังสือเล่มนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาละตินในปี 1671 (ในชื่อ “The Self-Taught Philosopher”) และในปี 1708 เป็นภาษาอังกฤษ (ในชื่อ “Improvement of the Human Mind”) นวนิยายเรื่องนี้มีอิทธิพลต่อปรัชญายุโรป (เช่น เจ. ล็อค) และวรรณกรรม (ประเภทการเล่าเรื่องที่ชาวเยอรมันในศตวรรษที่ 19 เรียกว่า "นวนิยายแห่งการศึกษา")
เดโฟยังเห็นสิ่งที่น่าสนใจมากมายในตัวเขา โครงเรื่องของการทำความเข้าใจโลกโดยรอบและการพิชิตธรรมชาติเข้ากันได้ดีกับแนวคิดการตรัสรู้ใหม่ของบุคคลที่จัดการชีวิตอย่างชาญฉลาด จริงอยู่ที่ฮีโร่ของ Ibn Tufail กระทำโดยไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับอารยธรรม ตรงกันข้าม โรบินสันเป็นคนมีอารยะกลับสร้างสัญลักษณ์แห่งอารยธรรมในประเทศของเขาเอง จากเรือที่จมครึ่งหนึ่ง เขานำพระคัมภีร์สามเล่ม อุปกรณ์เดินเรือ อาวุธ ดินปืน เสื้อผ้า สุนัข และแม้กระทั่งเงิน (แม้ว่าจะมีประโยชน์ในตอนท้ายของนวนิยายเท่านั้น) พระองค์ไม่ทรงลืมภาษา ทรงสวดภาวนาทุกวันและถือปฏิบัติวันหยุดทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ สร้างบ้านป้อม รั้ว ทำเฟอร์นิเจอร์ ไปป์ยาสูบ เริ่มตัดเย็บเสื้อผ้า จดบันทึกประจำวัน เริ่มปฏิทิน เริ่มใช้มาตรการตามปกติ น้ำหนัก ความยาว ปริมาตร และกำหนดกิจวัตรประจำวัน “เบื้องหน้าคือหน้าที่ทางศาสนาและการอ่านพระคัมภีร์...ภารกิจประจำวันที่สองคือการล่าสัตว์...ประการที่สามคือคัดแยก ตากแห้ง และจัดเตรียม ฆ่าหรือจับเกม”
บางทีคุณอาจเห็นข้อความอุดมการณ์หลักของ Defoe (มีอยู่แม้ว่าหนังสือเกี่ยวกับโรบินสันจะเขียนและตีพิมพ์อย่างชัดเจนว่าเป็นเชิงพาณิชย์และโลดโผน): ชายสมัยใหม่ในฐานันดรที่สามอาศัยเหตุผลและประสบการณ์ของเขา สามารถจัดชีวิตของตนเองให้สอดคล้องกับความสำเร็จของอารยธรรมได้อย่างอิสระ แนวคิดของผู้เขียนคนนี้เข้ากันได้ดีกับอุดมการณ์ของยุคแห่งการตรัสรู้โดยการยอมรับญาณวิทยาคาร์ทีเซียน (“ ฉันคิดว่าดังนั้นฉันจึงเป็น”) ประจักษ์นิยมของ Lockean (บุคคลได้รับเนื้อหาทั้งหมดของการใช้เหตุผลและความรู้จากประสบการณ์) และแนวคิดใหม่ ของบุคลิกภาพที่กระตือรือร้นซึ่งมีรากฐานมาจากจริยธรรมของโปรเตสแตนต์ อย่างหลังนี้ควรค่าแก่การดูรายละเอียดเพิ่มเติม
ตารางจริยธรรมโปรเตสแตนต์
ชีวิตของโรบินสันประกอบด้วยกฎเกณฑ์และประเพณีที่กำหนดโดยวัฒนธรรมพื้นเมืองของเขา พ่อของโรบินสันซึ่งเป็นตัวแทนที่ซื่อสัตย์ของชนชั้นกลางยกย่อง "รัฐกลาง" (นั่นคือค่าเฉลี่ยสีทองของอริสโตเติล) ซึ่งในกรณีนี้ประกอบด้วยการยอมรับอย่างสมเหตุสมผลในชีวิต: ครอบครัวของครูโซค่อนข้างร่ำรวยและมี ไม่มีประโยชน์ที่จะปฏิเสธ "ตำแหน่งที่ครอบครองโดยกำเนิดในโลก" โรบินสันกล่าวต่อเมื่อกล่าวถึงคำขอโทษของพ่อต่อสภาพความเป็นอยู่ทั่วไป: “และถึงแม้ว่า (นี่คือวิธีที่พ่อจบคำพูดของเขา) เขาจะไม่มีวันหยุดสวดภาวนาเพื่อฉัน แต่เขาประกาศกับฉันโดยตรงว่าถ้าฉันไม่ละทิ้งความคิดบ้าๆ บอๆ ของฉัน ฉันจะไม่ได้รับพรจากพระเจ้า”เมื่อพิจารณาจากเนื้อเรื่องของนวนิยาย โรบินสันต้องใช้เวลาหลายปีและการทดลองจึงจะเข้าใจแก่นแท้ของคำเตือนของพ่อเขา
การแกะสลัก ฌอง แกรนวิลล์
บนเกาะเขาได้ย้อนรอยเส้นทางการพัฒนาของมนุษย์ตั้งแต่การรวบรวมไปจนถึงลัทธิล่าอาณานิคม ออกจากเกาะในตอนท้ายของนวนิยาย เขาวางตำแหน่งตัวเองเป็นเจ้าของ (และในหนังสือเล่มที่สอง เมื่อกลับมาที่เกาะ เขาประพฤติตนเหมือนอุปราชในท้องถิ่น)
"รัฐกลาง" ที่ฉาวโฉ่และศีลธรรมของชาวเมืองในกรณีนี้ผสมผสานกับความคิดที่ไม่ดีของศตวรรษที่ 18 เกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันของเชื้อชาติและการยอมรับการค้าทาสและการเป็นทาสอย่างสมบูรณ์ ในตอนต้นของนวนิยายเรื่องนี้ โรบินสันพบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะขายเด็กชาย Xuri ซึ่งเขาหนีจากการถูกจองจำของชาวตุรกีด้วย หลังจากนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะเรืออับปาง เขาวางแผนที่จะทำการค้าทาส สามคำแรกที่โรบินสันสอนเมื่อวันศุกร์คือ "ใช่" "ไม่" และ "อาจารย์"
ไม่ว่าเดโฟต้องการมันอย่างมีสติหรือไม่ก็ตาม ฮีโร่ของเขากลับกลายเป็นภาพเหมือนที่ยอดเยี่ยมของชายในตระกูลที่สามในศตวรรษที่ 18 โดยได้รับการสนับสนุนจากลัทธิล่าอาณานิคมและการเป็นทาส แนวทางธุรกิจที่มีเหตุผลในการดำเนินชีวิต และข้อจำกัดทางศาสนา เป็นไปได้มากว่าโรบินสันคือสิ่งที่เดโฟเองก็เป็น โรบินสันไม่แม้แต่จะพยายามค้นหาชื่อจริงของวันศุกร์ด้วยซ้ำ ผู้เขียนก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้นัก
โรบินสันเป็นโปรเตสแตนต์ ในเนื้อหาของนวนิยายไม่ได้ระบุความเกี่ยวข้องทางศาสนาที่แน่นอนของเขา แต่เนื่องจาก Defoe เอง (เช่นพ่อของเขา) เป็นเพรสไบทีเรียนจึงมีเหตุผลที่จะสรุปได้ว่าฮีโร่ของเขาโรบินสันก็เป็นสมาชิกของโบสถ์เพรสไบทีเรียนเช่นกัน ลัทธิเพรสไบทีเรียนเป็นแนวทางหนึ่งของลัทธิโปรเตสแตนต์ตามคำสอนของจอห์น คาลวิน อันที่จริงมันเป็นลัทธิคาลวินประเภทหนึ่ง โรบินสันสืบทอดความเชื่อนี้มาจากบิดาชาวเยอรมันของเขา ซึ่งเป็นผู้อพยพจากเบรเมินซึ่งครั้งหนึ่งเคยใช้ชื่อครอยซ์เนอร์
โปรเตสแตนต์ยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องมีพระสงฆ์เป็นคนกลางในการสื่อสารกับพระเจ้า ดังนั้นโปรเตสแตนต์ โรบินสันจึงเชื่อว่าเขาสื่อสารกับพระเจ้าโดยตรง โดยการสื่อสารกับพระเจ้าในฐานะเพรสไบทีเรียน เขาหมายถึงเพียงการอธิษฐานเท่านั้น เขาไม่เชื่อในศีลศักดิ์สิทธิ์
หากไม่มีการสื่อสารทางจิตกับพระเจ้า โรบินสันก็จะคลั่งไคล้อย่างรวดเร็ว เขาสวดอ้อนวอนและอ่านพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทุกวัน กับพระเจ้าเขาไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
โดยวิธีนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเรื่องราวของ Alexander Selkirk ผู้ซึ่งเพื่อไม่ให้บ้าคลั่งจากความเหงาบนเกาะจึงอ่านออกเสียงพระคัมภีร์ทุกวันและร้องเพลงสดุดีดัง ๆ
ข้อจำกัดประการหนึ่งที่โรบินสันสังเกตอย่างเคร่งครัดนั้นดูน่าสงสัย (เดโฟไม่ได้กล่าวถึงประเด็นนี้โดยเฉพาะ แต่มองเห็นได้ชัดเจนจากข้อความ) - นี่คือนิสัยของการเดินโดยแต่งตัวอยู่ตลอดเวลาบนเกาะเขตร้อนในทะเลทราย เห็นได้ชัดว่าฮีโร่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเองต่อพระเจ้าได้และรู้สึกถึงการปรากฏตัวของเขาอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา ในฉากหนึ่ง - ที่โรบินสันว่ายน้ำไปยังเรือที่จมอยู่ครึ่งหนึ่งใกล้เกาะ - เขาลงไปในน้ำโดย "ไม่ได้แต่งตัว" จากนั้นขณะอยู่บนเรือ เขาสามารถใช้กระเป๋าของเขาได้ ซึ่งหมายความว่าเขายังไม่ได้เปลื้องผ้าเลย
โปรเตสแตนต์ - คาลวินนิกายเพรสไบทีเรียน - มั่นใจว่ามีความเป็นไปได้ที่จะตัดสินว่าคนใดได้รับความรักจากพระเจ้าและคนใดไม่ได้รับความรัก ดังจะเห็นได้จากสัญญาณที่ต้องสังเกต สิ่งที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งคือโชคในการทำธุรกิจซึ่งเพิ่มมูลค่าของงานและผลลัพธ์ที่เป็นสาระสำคัญอย่างมาก เมื่ออยู่บนเกาะ โรบินสันพยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ของเขาด้วยความช่วยเหลือของตารางที่เขาจดข้อดีและข้อเสียทั้งหมดอย่างระมัดระวัง จำนวนของพวกเขาเท่ากัน แต่สิ่งนี้ทำให้โรบินสันมีความหวัง นอกจากนี้ โรบินสันยังทำงานหนักและผลงานของเขาทำให้เขารู้สึกถึงความเมตตาของพระเจ้า
ที่สำคัญไม่แพ้กันคือสัญญาณเตือนมากมายที่ไม่หยุดหนุ่มโรบินสัน เรือลำแรกที่เขาออกเดินทางจม (“มโนธรรมซึ่งในเวลานั้นยังไม่แข็งกระด้างในตัวฉันอย่างสมบูรณ์” โรบินสันกล่าว “ตำหนิฉันอย่างรุนแรงที่ละเลยคำตักเตือนของพ่อแม่และละเมิดหน้าที่ของฉันต่อพระเจ้าและพ่อของฉัน ” - นี่หมายถึงการละเลยสิ่งที่ให้มาในชีวิตและการตักเตือนของบิดา) เรืออีกลำหนึ่งถูกจับโดยโจรสลัดตุรกี โรบินสันเริ่มต้นการเดินทางที่โชคร้ายที่สุดของเขาในอีกแปดปีต่อมา ไปจนถึงวันรุ่งขึ้นหลังจากหนีจากพ่อของเขา ซึ่งเตือนเขาให้ระวังก้าวที่ไม่ฉลาด บนเกาะแล้วเขาเห็นความฝัน: ชายที่น่ากลัวคนหนึ่งถูกกลืนหายไปในเปลวเพลิงลงมาจากท้องฟ้ามาหาเขาและต้องการจะโจมตีเขาด้วยหอกเพื่อความชั่วร้ายของเขา
เดโฟถ่ายทอดความคิดอย่างต่อเนื่องว่าไม่ควรกระทำการที่กล้าหาญและเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองอย่างรุนแรงโดยไม่มีสัญญาณพิเศษจากเบื้องบนนั่นคือโดยพื้นฐานแล้วเขาประณามความภาคภูมิใจอย่างต่อเนื่อง (แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่านิสัยอาณานิคมของโรบินสันเป็นความภาคภูมิใจก็ตาม ).
โรบินสันเริ่มมีความคิดทางศาสนามากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันพระองค์ทรงแยกขอบเขตของการอัศจรรย์และกิจวัตรประจำวันออกจากกันอย่างชัดเจน เมื่อเห็นรวงข้าวบาร์เลย์และข้าวบนเกาะก็ขอบพระคุณพระเจ้า จากนั้นเขาก็จำได้ว่าตัวเขาเองก็เขย่าถุงอาหารนกออกมาที่นี่: "ปาฏิหาริย์หายไปและพร้อมกับการค้นพบว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สุดฉันต้องยอมรับว่าความกตัญญูต่อโพรวิเดนซ์ของฉันเย็นลงอย่างมาก"
เมื่อวันศุกร์ปรากฏบนเกาะ ตัวละครหลักพยายามปลูกฝังแนวคิดทางศาสนาของตัวเองให้กับเขา เขารู้สึกงุนงงกับคำถามตามธรรมชาติเกี่ยวกับต้นกำเนิดและแก่นแท้ของความชั่วร้าย ซึ่งยากที่สุดสำหรับผู้เชื่อส่วนใหญ่: ทำไมพระเจ้าถึงยอมทนกับมาร? โรบินสันไม่ได้ให้คำตอบโดยตรง หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เปรียบมารกับมนุษย์: “คุณควรถามว่าทำไมพระเจ้าไม่ฆ่าคุณหรือฉันเมื่อเราทำสิ่งเลวร้ายที่ทำให้พระองค์ขุ่นเคือง เรารอดพ้นเพื่อเราจะกลับใจและได้รับการอภัยโทษ”
ตัวละครหลักเองก็ไม่พอใจกับคำตอบของเขา - ไม่มีอะไรอยู่ในใจของเขาอีกแล้ว โดยทั่วไปแล้ว ในที่สุดโรบินสันก็สรุปได้ว่าเขาไม่ประสบความสำเร็จมากนักในการตีความประเด็นทางเทววิทยาที่ซับซ้อน
ในปีสุดท้ายของชีวิตบนเกาะ มีอย่างอื่นที่ทำให้เขามีความสุขอย่างจริงใจ: การอธิษฐานร่วมกับวันศุกร์ ความรู้สึกร่วมกันของการทรงสถิตของพระเจ้าบนเกาะ
มรดกของโรบินสัน
แม้ว่า Defoe จะบันทึกเนื้อหาหลักทางปรัชญาและจริยธรรมไว้ในหนังสือเล่มที่สามเกี่ยวกับโรบินสัน แต่เวลากลับกลายเป็นว่าฉลาดกว่าผู้แต่ง: หนังสือที่ลึกซึ้ง ครบถ้วน และทรงอิทธิพลที่สุดของ Defoe ได้รับการยอมรับว่าเป็นเล่มแรกของไตรภาคนี้ (โดยลักษณะเฉพาะคือเล่มหลัง ไม่ได้แปลเป็นภาษารัสเซียด้วยซ้ำ)
Jean-Jacques Rousseau ในนวนิยายการสอนเรื่อง “Emile, or On Education” (1762) เรียกว่า “Robinson Crusoe” หนังสือเล่มเดียวที่มีประโยชน์สำหรับการอ่านของเด็ก สถานการณ์สมมติของเกาะทะเลทรายที่เดโฟบรรยาย รุสโซถือเป็นเกมการศึกษาที่เด็กควรทำความคุ้นเคยผ่านการอ่าน
การแกะสลัก ฌอง แกรนวิลล์
ในศตวรรษที่ 19 มีการสร้างสรรค์ธีมโรบินสันหลายรูปแบบ รวมถึงเกาะปะการังของโรเบิร์ต บัลลันไทน์ (พ.ศ. 2400) เกาะลึกลับของจูลส์ เวิร์น (พ.ศ. 2417) และเกาะมหาสมบัติของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน (พ.ศ. 2425) ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 "Robinsonade" ได้รับการคิดใหม่โดยคำนึงถึงทฤษฎีทางปรัชญาและจิตวิทยาในปัจจุบัน - "Lord of the Flies" โดย William Golding (1954), "Friday, or Pacific Limb" (1967) และ "Friday หรือชีวิตป่า” (1971) โดย Michel Tournier, Mister Fo (1984) โดย John Maxwell Coetzee Luis Buñuel ได้กำหนดสำเนียงเหนือจริงและจิตวิเคราะห์ในภาพยนตร์เรื่อง Robinson Crusoe (1954)
ในปัจจุบัน ในศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางความคิดใหม่ๆ เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันของวัฒนธรรมต่างๆ มากมาย นวนิยายของเดโฟยังคงมีความเกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์ระหว่างโรบินสันและวันศุกร์เป็นตัวอย่างของการมีปฏิสัมพันธ์ของเชื้อชาติตามที่เข้าใจกันเมื่อสามศตวรรษก่อน เมื่อใช้ตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจง นวนิยายเรื่องนี้ทำให้คุณคิดว่า: มีการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และความคิดเห็นของผู้เขียนล้าสมัยไปในทางใด ในแง่ของโลกทัศน์ นวนิยายของเดโฟแสดงให้เห็นอุดมการณ์ของการตรัสรู้ในเวอร์ชันอังกฤษได้อย่างสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เราสนใจคำถามเกี่ยวกับแก่นแท้ของมนุษย์โดยทั่วไปมากขึ้น ให้เราระลึกถึงนวนิยายดังกล่าวโดย Golding "Lord of the Flies" ซึ่งที่พำนักของเกาะไม่ได้พัฒนาเช่นเดียวกับของ Defoe แต่ในทางกลับกันลดระดับและแสดงสัญชาตญาณพื้นฐาน เขาเป็นคนชอบอะไรจริงๆ มีอะไรมากกว่านี้ในตัวเขา - สร้างสรรค์หรือทำลายล้าง? โดยพื้นฐานแล้ว ที่นี่เราสามารถเห็นภาพสะท้อนทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับแนวคิดของคริสเตียนเรื่องบาปดั้งเดิม
สำหรับแนวคิดทางศาสนาของผู้เขียน ความคิดของผู้อ่านโดยเฉลี่ยเกี่ยวกับค่าเฉลี่ยสีทองอาจจะไม่ทำให้เกิดการคัดค้านซึ่งไม่สามารถพูดได้เกี่ยวกับการประณามการกระทำที่กล้าหาญโดยทั่วไป ในเรื่องนี้ ปรัชญาของผู้เขียนถือได้ว่าเป็นกระฎุมพีและกระฎุมพี แนวคิดดังกล่าวอาจถูกประณามโดยตัวแทนของวรรณกรรมโรแมนติกเมื่อต้นศตวรรษที่ 19
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ นวนิยายของเดโฟยังคงมีชีวิตอยู่ สิ่งนี้อธิบายได้จากข้อเท็จจริงที่ว่า "โรบินสันครูโซ" เป็นข้อความที่โลดโผนเป็นอันดับแรกไม่ใช่การสอน มันดึงดูดใจด้วยภาพโครงเรื่องความแปลกใหม่และไม่ได้สอน ความหมายที่มีอยู่ในนั้นปรากฏอยู่อย่างแฝงเร้นจึงทำให้เกิดคำถามมากกว่าที่จะให้คำตอบที่สมบูรณ์ นี่คือกุญแจสำคัญในการมีชีวิตที่ยืนยาวของงานวรรณกรรม อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ละรุ่นก็คิดถึงคำถามที่เกิดขึ้นและตอบไปในแบบของตัวเอง
การแปล Robinson Crusoe เป็นภาษารัสเซียครั้งแรกตีพิมพ์ในปี 1762 แปลโดย Yakov Trusov ภายใต้หัวข้อ "ชีวิตและการผจญภัยของ Robinson Cruz ชาวอังกฤษโดยธรรมชาติ" การแปลข้อความเป็นภาษารัสเซียแบบคลาสสิกที่พิมพ์ซ้ำบ่อยที่สุดได้รับการตีพิมพ์ในปี 1928 โดย Maria Shishmareva (1852–1939) และตั้งแต่ปี 1955 ก็มีการพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง
ลีโอ ตอลสตอย ในปี พ.ศ. 2405 ได้เล่าเรื่อง Robinson Crusoe เล่มแรกให้กับนิตยสาร Yasnaya Polyana เชิงการสอนของเขา
มีการดัดแปลงภาพยนตร์ของ Robinson Crusoe จำนวน 25 เรื่อง (รวมแอนิเมชั่น) ครั้งแรกถูกสร้างขึ้นในปี 1902 สุดท้ายในปี 2559 บทบาทของโรบินสันรับบทโดยนักแสดงเช่น Douglas Farnbex, Pavel Kadochnikov, Peter O'Toole, Leonid Kuravlev, Pierce Brosnan, Pierre Richard
นวนิยายของ Daniel Defoe เรื่อง “Robinson Crusoe” เป็นหนึ่งในหนังสือยอดนิยมและมีผู้อ่านมากที่สุดในโลก หลายภาษาถึงกับมีคำใหม่ว่า "โรบินสัน" ซึ่งหมายถึงบุคคลที่อยู่ห่างไกลจากคนอื่น แต่เรื่องราวเกี่ยวกับการที่ใครบางคนมาอยู่บนเกาะร้างและใช้เวลาหลายปีที่นั่นตามลำพังโดยสิ้นเชิงนั้นเกิดขึ้นในชีวิตจริง บางครั้งการผจญภัยของโรบินสันที่ไม่ใช่ตัวละครในนิยายก็น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าโครงเรื่องของโรบินสัน ครูโซเสียอีก นี่คือบางส่วนของพวกเขา
เรื่องที่หนึ่ง
โรบินสันที่ไม่ใช่ตัวละครที่มีชื่อเสียงที่สุด
โรบินสันที่ไม่ใช่ตัวละครที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกมีชื่อว่าอเล็กซานเดอร์ เซลเคิร์ก บันทึกความทรงจำของเขาที่กลายเป็นพื้นฐานสำหรับนวนิยายของ Daniel Defoe และการผจญภัยของเขาที่อธิบายไว้ใน "Robinson Crusoe" - แม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่อยู่ในรูปแบบที่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย
เซลเคิร์กเป็นชาวสกอตและทำหน้าที่เป็นคนพายเรือในห้องครัวโจรสลัด Sank Port เนื่องจากทะเลาะกับกัปตัน เขาจึงต้องออกจากเรือบนเกาะ Mas a Tierra ร้างเล็กๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก สิ่งนี้เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1704
กะลาสีเรือสร้างกระท่อมของตัวเองจากท่อนไม้และใบไม้ เรียนรู้ที่จะจุดไฟโดยการถูไม้ชิ้นหนึ่งกับอีกชิ้นหนึ่ง และยังจัดการเลี้ยงแพะป่าให้เชื่องได้ ซึ่งนักเดินทางคนอื่นพามาที่ Mas a Tierra เมื่อหลายปีก่อน เขากินเนื้อเต่าทะเล ปลา และผลไม้ และทำเสื้อผ้าจากหนังแพะ
Alexander Selkirk ต้องใช้เวลากว่าสี่ปีบนเกาะร้าง เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2252 เรือรบอังกฤษสองลำคือดยุคและดัชเชสจอดอยู่ที่ฝั่ง ลองนึกภาพความประหลาดใจของกัปตันและกะลาสีเรือเมื่อชายผู้มีเคราหนา แต่งกายด้วยหนังแพะและเกือบลืมวิธีพูดออกมาพบพวกเขา เซลเคิร์กได้รับการยอมรับบนเรือดยุค และหลังจากการเดินทางอันยาวนาน ในที่สุดเขาก็สามารถกลับไปยังบ้านเกิดได้ในปี 1712 เท่านั้น
เรื่องจริงและเนื้อเรื่องของนวนิยายเรื่องนี้มีความแตกต่างกันหลายประการ โรบินสันครูโซใช้เวลา 28 ปีบนเกาะและอเล็กซานเดอร์เซลเคิร์ก - เพียง 4 คนในเรื่องราวสมมติฮีโร่ของหนังสือเล่มนี้มีเพื่อนที่ดุร้ายเมื่อวันศุกร์ แต่ในความเป็นจริงแล้วเซลเคิร์กใช้เวลาหลายปีบนเกาะเพียงลำพัง และความแตกต่างที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ Defoe ในนวนิยายของเขาบรรยายถึงเกาะที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงซึ่งอยู่ห่างจาก Mas a Tierra หลายพันกิโลเมตร (และในปี 1966 Mas a Tierra ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเกาะ Robinson Crusoe) - ในมหาสมุทรที่แตกต่างและแม้แต่ในซีกโลกอื่น!
เกาะที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ซึ่งอธิบายไว้ในนวนิยายเรื่อง “โรบินสัน ครูโซ” ถูกวางไว้โดยแดเนียล เดโฟ ใกล้กับเกาะตรินิแดดในทะเลแคริบเบียน ผู้เขียนนำธรรมชาติของหมู่เกาะแคริบเบียนตอนใต้มาเป็นพื้นฐานในการอธิบายเกาะที่ไม่มีคนอาศัยอยู่
แต่เกาะโรบินสัน ครูโซที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เกาะเขตร้อนเลย และตั้งอยู่ไกลออกไปทางใต้มาก ปัจจุบันเกาะนี้เป็นของชิลีและอยู่ห่างจากชายฝั่งอเมริกาใต้ไปทางตะวันตก 700 กิโลเมตร สภาพอากาศที่นี่อบอุ่น แต่ไม่ร้อนเท่าบนเกาะแคริบเบียน พื้นที่ราบของเกาะปกคลุมไปด้วยทุ่งหญ้าเป็นส่วนใหญ่ ส่วนภูเขาปกคลุมไปด้วยป่าไม้
รูปภาพจากที่นี่
เกาะโรบินสัน ครูโซ (เดิมชื่อ Mas a Tierra) ซึ่ง Alexander Selkirk อาศัยอยู่เป็นเวลา 4 ปี
เรื่องที่สอง
โรบินสันบนถ่มน้ำลายทราย
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นหนึ่งศตวรรษครึ่งก่อนภาพยนตร์เรื่อง Robinsonade ของอเล็กซานเดอร์ เซลเคิร์ก แต่เกิดขึ้นในบริเวณเดียวกันของมหาสมุทรแปซิฟิกโดยประมาณ
เปโดร เซอร์ราโน กะลาสีเรือชาวสเปนเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากเหตุเรืออับปางที่เกิดขึ้นในปี 1540 นอกชายฝั่งเปรู บ้านใหม่ของเปโดรเป็นเกาะที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ซึ่งเป็นเพียงแนวทรายแคบๆ ยาว 8 กิโลเมตร
เกาะนี้ถูกทิ้งร้างและไร้ชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง ไม่มีแม้แต่น้ำจืดให้พบที่นี่ นี่คือวิธีที่กะลาสีเรือผู้โชคร้ายจะต้องตายถ้าไม่ใช่เพราะเต่าทะเล - แขกเพียงคนเดียวของเกาะ เปโดรสามารถสนองความหิวของเขาได้ด้วยเนื้อเต่าตากแดด และจากกระดองเต่าเขาทำชามสำหรับเก็บน้ำฝน
ภาพจากที่นี่
Pedro Serrano ล่าเต่า (ภาพประกอบสำหรับหนังสือ)
เปโดร เซอร์ราโนสามารถจุดไฟโดยใช้หินได้ ซึ่งเขาต้องดำดิ่งลงทะเลหลายครั้ง บนเกาะนั้นไม่มีหินเลย พวกมันสามารถพบได้ที่ก้นมหาสมุทรเท่านั้น
ด้วยการเผาสาหร่ายทะเลแห้งและเศษต้นไม้ที่ถูกคลื่นซัดมา ทำให้กะลาสีเรือสามารถปรุงอาหารและให้ความอบอุ่นในตอนกลางคืนได้
ดังนั้น 3 ปีผ่านไป แล้วบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น - จู่ๆ มีอีกคนปรากฏตัวบนเกาะและเป็นผู้รอดชีวิตจากเรืออับปางด้วย น่าเสียดายที่ชื่อของเขายังไม่ได้รับการเก็บรักษาไว้เนื่องจากเหตุการณ์อยู่ห่างไกล
ครอบครัวโรบินสันร่วมกันใช้เวลาอีก 7 ปีบนเกาะนี้ จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็ถูกรับโดยเรือที่แล่นผ่านไปมา
รูปภาพจากที่นี่
เกาะที่เปโดร เซอร์ราโน โรบินสันอยู่มีลักษณะเช่นนี้
เรื่องที่สาม
โรบินสันในหมู่แมวน้ำ
ฮีโร่คนต่อไปของเราชื่อแดเนียล ฟอสส์ เขาเป็นชาวอเมริกันและกำลังเดินทางบนเรือชื่อพ่อค้าในแปซิฟิกใต้ แต่มันเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2352 ผู้เจรจาชนกับภูเขาน้ำแข็งและจมลงและมีเพียงแดเนียลฟอสส์เท่านั้นที่สามารถหลบหนีและไปยังเกาะที่ใกล้ที่สุดได้ เช่นเดียวกับในเรื่องราวของเปโดร เซอร์ราโน เกาะนี้กลายเป็นเกาะร้างโดยสิ้นเชิง แต่ไม่มีทราย แต่เป็นหิน มีเพียงชาวเกาะเท่านั้นที่มีแมวน้ำจำนวนมาก โรบินสันผู้น่าสงสารต้องกินเนื้อเป็นเวลาหลายปี และพระองค์ทรงดับความกระหายด้วยน้ำฝนที่สะสมอยู่ในซอกหินบนเกาะ
วัตถุไม้ชิ้นเดียวบนเกาะคือไม้พายเก่าที่ถูกคลื่นพัดมาที่นี่ บนไม้พายลำนี้ ฟอสส์ทำรอยบากเพื่อไม่ให้สับสนในการนับวัน และในเวลาเดียวกัน เขาก็ตัดบันทึกเกี่ยวกับการอยู่บนเกาะออกด้วยตัวอักษรตัวเล็ก
จากหนังแมวน้ำ ฟอสส์สามารถเย็บเสื้อผ้าที่อบอุ่นให้ตัวเองได้ และสร้างบ้านที่แข็งแกร่งด้วยกำแพงหนาประมาณหนึ่งเมตรจากหิน โรบินสันก็สร้างเสาหินสูง 10 เมตร ทุกวัน Foss จะปีนขึ้นไปบนนั้นและมองไปไกลๆ และมองหาเรือกู้ภัย หลังจากอยู่บนเกาะนี้มาได้ 3 ปี เขาก็มองเห็นใบเรือในระยะไกล ซึ่งในไม่ช้าก็หายไปพ้นเส้นขอบฟ้า เหตุการณ์นี้ทำให้ฮีโร่ของเรามีความหวังเล็กน้อย เพราะหากเรือลำหนึ่งผ่านไปใกล้ ๆ เรือลำอื่น ๆ ก็สามารถผ่านไปได้เช่นกัน
ฟอร์จูนยิ้มให้ฟอสต์หลังจากผ่านไปอีกสองปีเท่านั้น ชายคนดังกล่าวโบกไม้พายถูกพบเห็นจากเรือที่แล่นผ่านไปมา แต่เรือไม่สามารถเข้าใกล้เกาะได้เนื่องจากมีสันดอนหินที่เป็นอันตราย จากนั้นโรบินสันก็เสี่ยงชีวิตว่ายไปที่เรือด้วยตัวเขาเองและในที่สุดก็ได้รับการช่วยเหลือ
รูปภาพจากที่นี่
นี่คือลักษณะชายฝั่งหินของเกาะที่ Daniel Foss ใช้เวลานานถึง 5 ปี
เรื่องที่สี่
โรบินสันเหนือของรัสเซีย
รัสเซียก็มีโรบินสันเป็นของตัวเองด้วย หนึ่งในนั้นคือนักล่า Yakov Minkov ซึ่งสามารถอาศัยอยู่ตามลำพังบนเกาะแบริ่ง (หนึ่งในหมู่เกาะผู้บัญชาการซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Kamchatka) เป็นเวลาเจ็ดปีเต็ม น่าเสียดายที่เราไม่รู้มากนักเกี่ยวกับชายคนนี้และรายละเอียดเกี่ยวกับโรบินสันของเขา
ในตอนต้นของศตวรรษที่ 19 Yakov Minkov ร่วมกับนักล่าคนอื่น ๆ ล่องเรือรอบเกาะทางตอนเหนือ ภารกิจหลักของการเดินทางคือการล่าสุนัขจิ้งจอกอาร์กติก (สัตว์เหล่านี้ที่มีขนมีค่ามากจะพบได้ทางตอนเหนือสุดเท่านั้น) ในปี พ.ศ. 2348 กัปตันเรือประมงได้นำนายพรานขึ้นบกบนเกาะแบริ่งเพื่อ "เฝ้าจับปลาที่จับได้" และสัญญาว่าจะกลับมาหาเขาภายในสองเดือน
แต่เรือหลงทางและหาทางกลับไม่ได้ และนักล่าผู้น่าสงสารต้องเอาชีวิตรอดเพียงลำพังบนเกาะทางตอนเหนือที่มีสภาพอากาศเลวร้าย เขาอาศัยอยู่ในกระท่อมตกปลาเล็กๆ ที่ใครบางคนทิ้งไว้ จับปลา และทำเสื้อผ้าและรองเท้าที่อบอุ่นจากหนังของสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกและแมวน้ำขน
มันยากเป็นพิเศษในช่วงฤดูหนาวที่ยาวนานและหนาวจัดทางตอนเหนือ สำหรับฤดูหนาว Yakov Minkov ได้สร้างกระโจมให้ตัวเอง บังเอิญว่าในช่วงพายุหิมะปกคลุมไปด้วยหิมะ
แม้จะมีความยากลำบากทั้งหมด แต่ Northern Robinson ก็สามารถเอาชีวิตรอดได้ โดยรอให้เรือใบแล่นผ่านเกาะแล้วหลบหนี ในปี พ.ศ. 2355 ยาโคฟ มินคอฟก็กลับบ้านในที่สุด
รูปภาพจากที่นี่
เกาะแบริ่ง ซึ่งนักล่าชาวรัสเซีย ยาโคฟ มินคอฟ ใช้เวลา 7 ปี
เรื่องที่ห้า
อาสาสมัครโรบินสัน
การเอาชีวิตรอดตามลำพังบนเกาะร้างนั้นเป็นไปโดยสมัครใจ หนึ่งในอาสาสมัครโรบินสันที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกคือทอม นีล ชาวนิวซีแลนด์
ในปี 1957 เขาตั้งรกรากอยู่บนเกาะปะการังร้าง Suvorov กลางมหาสมุทรแปซิฟิก คุณอาจถามได้ทันทีว่าเกาะที่ตั้งชื่อตามผู้บัญชาการรัสเซียมาจากไหน? ทุกอย่างง่ายมาก - เกาะ Suvorov ถูกค้นพบโดยนักเดินทางชาวรัสเซีย Mikhail Lazarev (เขายังค้นพบแอนตาร์กติกาด้วย) ซึ่งเดินทางบนเรือชื่อ "Suvorov"
ทอม นีล เตรียมพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตบนเกาะนี้เป็นอย่างดี เขานำเชื้อเพลิงจำนวนมหาศาล ไม้ขีด ผ้าห่ม สบู่ติดตัวไปด้วย และนำเมล็ดธัญพืชติดตัวไปด้วย เขายังนำไก่และหมูมาที่เกาะด้วย เมนูอาหารกลางวันของโรบินสัน ได้แก่ ปลา ไข่เต่าทะเล และถั่วจากต้นมะพร้าวนานาชนิด
ในปี 1960 เรืออเมริกันลำหนึ่งมาถึงเกาะซูโวรอฟโดยไม่คาดคิด ทอม นีลไม่มีความสุขเลยที่ได้พบกับผู้คน “สุภาพบุรุษทั้งหลาย ฉันผิดหวังมากที่ไม่ได้รับการเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับการมาถึงของคุณ ฉันขอโทษสำหรับชุดของฉัน” เขาตอบอย่างเยาะเย้ยกับลูกเรือชาวอเมริกัน Tom Neal ถึงกับปฏิเสธหนังสือพิมพ์และนิตยสารอเมริกันที่เสนอให้เขาด้วยซ้ำ “โลกของคุณไม่สนใจฉันเลย” เขากล่าว
ในปีพ.ศ. 2509 หลังจากอยู่ Robinsonade เป็นเวลา 9 ปี ทอม นีลกลับมาบ้านเพียงช่วงสั้นๆ เพื่อตีพิมพ์หนังสือ "An Island for Yourself"และในปี พ.ศ. 2510 เขาก็กลับมายังเกาะซูโวรอฟอีกครั้ง
และในปี พ.ศ. 2520 ทอมนีลผู้แก่มากแล้วก็ออกจากเกาะของเขาไปตลอดกาลและย้ายไปที่แผ่นดินใหญ่
รูปภาพจากที่นี่
มุมมองจากมุมสูงของเกาะ Suvorov
รูปภาพจากที่นี่
หนังสือของทอม นีลล์ "คนเดียวบนเกาะ"
เป็นที่ทราบกันดีว่า Daniel Defoe นักเขียนชาวอังกฤษ (ประมาณปี 1660-1731) ผู้แต่งนวนิยายเกี่ยวกับ Robinson Crusoe ไม่ได้คิดค้นเรื่องราวของฮีโร่ของเขา ต้นแบบของหลังคือกะลาสีเรือชาวสก็อตคนพายเรือของเรือ Cinque Ports ของอังกฤษ Alexander Selkirk ซึ่งอาศัยอยู่ตามลำพังบนเกาะ Masa Tierra เป็นเวลา 1,580 วันหรือ 4 ปี 4 เดือน (ตั้งแต่ปี 1705 ถึง 1709)
อย่างไรก็ตาม มีคนไม่มากที่รู้ว่า A. Selkirk มีบรรพบุรุษซึ่งเมื่อกว่าครึ่งศตวรรษก่อนหน้านี้สามารถอาศัยอยู่บนที่ดินแห้งแล้งนอกชายฝั่งเปรูได้นาน 7 ปี - ตั้งแต่ปี 1540 ถึง 1547 กลายเป็นกะลาสีเรือชาวสเปน Pedro Serrano ผู้กล้าผู้นี้แสดงความมุ่งมั่น อุตสาหะ และความกล้าหาญ เอาชนะความตาย และได้รับเกียรติจากการต่อสู้กับธรรมชาติ และมันก็ยากมากที่จะทำสิ่งนี้
เกาะที่เขาไปจบลงหลังจากเรืออับปางนั้นเป็นเกาะพ่นทรายยาว 8 กิโลเมตร ที่นี่ไม่มีพืชพรรณใดๆ เลย และไม่มีน้ำจืดแม้แต่หยดเดียว สถานการณ์ของกะลาสีเรือยังเลวร้ายลงด้วยความจริงที่ว่าในบรรดาสิ่งที่จำเป็นที่สุดเขามีเพียงมีดและเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาออกจากเรือ A. Selkirk ก็มีเสื้อผ้า ปืน ดินปืน กระสุน มีด หินเหล็กไฟ หม้อ รวมถึงเข็มทิศ พลั่ว และพระคัมภีร์ นอกจากนี้บนเกาะของเขาเขาไม่ขาดน้ำดื่มหรืออาหาร Boatswain Robinson กินปลา กุ้งล็อบสเตอร์ เนื้อแพะ และแม้กระทั่งกระจายอาหารของเขาด้วยกะหล่ำปลี ซึ่งปลูกอย่างอุดมสมบูรณ์บน Mas a Tierra
Pedro Serrano ทำได้เพียงฝันถึงเรื่องทั้งหมดนี้ เขาต้องทนทุกข์ทรมานด้วยความหิวโหย ความหนาวเย็นในตอนกลางคืนทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน แม้ว่าจะมีสาหร่ายแห้งและเศษไม้อยู่เต็มไปหมด แต่ก็ไม่มีอะไรจะจุดไฟได้ กะลาสีเรือเกือบจะสิ้นหวัง เพราะเขาเข้าใจดีว่าเขาถึงวาระที่จะต้องอดอาหาร และแล้ววันหนึ่ง เมื่อเขาสำรวจ "สมบัติ" ของเขาเป็นครั้งที่เท่าไร เขาสังเกตเห็นเต่าปีนขึ้นไปบนทรายแห้งไปยังเกาะ
P. Serrano หันหลังหลายตัวแล้วเชือดคอของสัตว์ตัวหนึ่งแล้วกดริมฝีปากแห้งไปที่แผล... เลือดของสัตว์เลื้อยคลานช่วยดับความกระหายของเขา มันสดและค่อนข้างชวนให้นึกถึงน้ำปลา เนื้อเต่ากลายเป็นสิ่งที่กินได้และที่สำคัญที่สุดคือมีคุณค่าทางโภชนาการค่อนข้างมาก ต่อมาเปโดรได้เตรียมมันเพื่อใช้ในอนาคต โดยหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วตากแดดให้แห้ง
เปลือกหอยก็มีประโยชน์เช่นกัน กะลาสีเรือสร้างภาชนะจากพวกเขาซึ่งเขาเก็บความชื้นจากสวรรค์ ชายผู้โชคร้ายได้รับการช่วยเหลือแล้ว
มีเต่าจำนวนมากบนผืนแผ่นดินนี้ที่สูญหายไปในมหาสมุทร แต่การกินเนื้อดิบของพวกมันนั้นน่าขยะแขยง จำเป็นต้องมีไฟ คุณสามารถปรุงอาหารร้อนๆ บนไฟได้ และควันที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าทำให้มีความหวังในความรอด อย่างที่บอกไปแล้วว่าน้ำมันมีเหลือเฟือ ด้ายจากเสื้อผ้าแห้งอาจทำหน้าที่เป็นเชื้อไฟได้ มีดโลหะอาจทำหน้าที่เป็นมีด แต่ไม่มีก้อนหินสักก้อนอยู่รอบๆ บางทีพวกมันอาจพบใต้น้ำได้? ท่ามกลางทะเลอันเงียบสงบ กะลาสีก็ดำดิ่งเข้าใกล้ชายฝั่งจนหมดแรง พยายามหาก้อนหินเล็กๆ...
ในที่สุดเขาก็โชคดี และด้วยความช่วยเหลือจาก "หินเหล็กไฟ" ที่พบ ไฟก็ลุกเป็นไฟลุกโชน เพื่อป้องกันไม่ให้ฝนดับไฟที่ได้มาอย่างยากลำบาก Serrano จึงสร้างหลังคาคลุมด้วยกระดองเต่า เมื่อปรากฎว่าสัตว์ต่างๆ ก็มีประโยชน์ในทุกโอกาส
สามปีผ่านไปแล้ว ความพยายามทั้งหมดที่จะดึงดูดเรือบางลำมายังเกาะพร้อมกับควันไฟนั้นไร้ผล ทุกวันเป็นเวลาหลายชั่วโมง โรบินสันมองดูเส้นขอบฟ้าจนตาของเขาเจ็บ แต่ใบเรือสีขาวราวกับหิมะที่ปรากฏขึ้นในระยะไกลนั้น "ละลาย" อย่างสม่ำเสมอในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
เช้าวันหนึ่งระหว่างรับประทานอาหารเช้า ผู้ตั้งถิ่นฐานบนเกาะโดยไม่รู้ตัวเห็นสัตว์สองขามุ่งหน้าไปที่เตาผิงของเขา ตอนแรกชายคนนั้นไม่ได้สังเกตเห็นฤาษี แต่เมื่อเห็นโรบินสันรกเขาก็กรีดร้องและรีบวิ่งออกไป เซอร์ราโนก็ทำเช่นเดียวกัน เพราะเขาคิดว่าปีศาจมาเยี่ยมเขาแล้ว เขาตะโกนสุดปอดโดยไม่หยุด: “พระเยซู ช่วยฉันให้พ้นจากปีศาจ!” เมื่อได้ยินสิ่งนี้ คนแปลกหน้าก็หยุดและตะโกน: “พี่ชาย อย่าวิ่งหนีฉัน! ฉันเป็นคริสเตียนเช่นเดียวกับคุณ! เซอร์ราโน่ไม่หยุด จากนั้นคนแปลกหน้าก็เริ่มอ่านคำอธิษฐานเสียงดัง กะลาสีเรือหันกลับมา เขาเดินไปหาชายคนหนึ่งที่สวมกางเกงสีน้ำเงินและเสื้อเชิ้ตแล้วดึงเขาไว้ในอ้อมแขน
บุคคลที่ไม่รู้จักกล่าวว่าเรือของเขาอับปางและตัวเขาเองคว้าเสากระโดงชิ้นหนึ่งก็มาถึงเกาะ น่าเสียดายที่พงศาวดารแห่งประวัติศาสตร์ไม่ได้รักษาชื่อของโรบินสันคนที่สองไว้ Serrano เสนอทุกสิ่งที่เขามี - น้ำ เนื้อ ปลา ซึ่งตอนนี้เขาได้รับด้วยฉมวกที่ทำจากท่อนไม้ที่มีปลายที่ทำจากกระดูกปลาแหลมคม
ตอนนี้มีอยู่สองคน และพวกเขาอาศัยอยู่ด้วยมิตรภาพและความสามัคคี ครัวเรือนดำเนินการร่วมกัน: คนหนึ่งเฝ้าดูไฟเก็บสาหร่ายแห้งหรือเศษไม้ที่ถูกโยนลงทะเลส่วนอีกคนหนึ่งได้อาหาร ในเวลาว่างพวกเขาคุยกันยาวๆ เล่าเรื่องราวชีวิตในอดีตให้กันและกันฟัง อย่างไรก็ตาม หัวข้อสนทนาก็หมดลง ผู้คนแทบไม่ได้แลกเปลี่ยนกันสักสองสามประโยค จากนั้นก็เกิดการตำหนิ ความโกรธ และความเงียบงันโดยสิ้นเชิง บ่อยครั้ง เนื่องมาจากความคับข้องใจ แม้แต่การทะเลาะกันก็เกิดขึ้นด้วยเหตุผลที่ไม่มีนัยสำคัญ...
พวกเขาเลิกกัน ตอนนี้ทุกคนล่าเต่า ตกปลา และจุดไฟบนดินแดนของตนเองบนเกาะ เวลาผ่านไปและการคืนดีก็มาถึง ลูกเรือคนหนึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นคนแรกที่ก้าวไปข้างหน้า น้ำตาแห่งความอับอายไหลอาบใบหน้า ริมฝีปากสั่นเทา แต่ก็มีความสุขอย่างไร้ขอบเขตเช่นกัน - ความสุขที่พวกเขาได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
และในที่สุดก็มีเรือลำหนึ่งเข้ามาใกล้เกาะ เรือถูกหย่อนลงไปในน้ำและลูกเรือก็พิงไม้พายเป็นเอกฉันท์ เมื่อเข้าใกล้ชายฝั่งนักพายเรือเห็น "อสูรแห่งนรก" ขนดกสองตัวยืนอยู่บนผืนทราย พวกเขาก็หันหลังกลับทันที เมื่อใดก็ตามที่เส้นด้ายแห่งความหวังเพื่อความรอดอาจพังทลายลง...
Serrano และเพื่อนของเขาตะโกนดังที่สุดเท่าที่จะทำได้: "กลับมาเถอะ พวกเราคือคน!" แต่เรือก็ยังคงเคลื่อนไปทางเรือ ด้วยความสิ้นหวัง ครอบครัวโรบินสันจึงร้องเพลงสวดภาวนาเสียงดัง เรือหันจมูกไปทางทรายอีกครั้ง
ลูกเรือที่มีความกลัวโดยไม่ปิดบังได้ตรวจดูและสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตขนปุยแล้วจึงพาพวกเขาไปที่เรือ ซึ่งเพื่อนร่วมทางเปโดร เซอร์ราโนซึ่งไม่สามารถทนต่อความตื่นเต้นได้เสียชีวิตด้วยหัวใจที่แตกสลาย ผู้รอดชีวิตถูกนำตัวไปที่สเปนก่อนแล้วจึงไปที่เยอรมนีเพื่อแสดงต่อจักรพรรดิ เพื่อพิสูจน์เรื่องราวของเขา Serrano ไม่ได้ตัดผมและในระหว่างการเดินทางเขาก็แสดงให้ทุกคนเห็นเพื่อรับสินบนเช่นเดียวกับสัตว์แปลกหน้า
จักรพรรดิมอบความมั่งคั่งมหาศาลให้กับ "โรบินสัน" ผู้กล้าหาญ - ทองคำ 4,000 ออนซ์ (1 ออนซ์ = 29.86 กรัม) ด้วยการใช้ของขวัญชิ้นนี้ กะลาสีเรือต้องการตั้งถิ่นฐานในเปรูตรงข้ามกับเกาะที่เขาใช้เวลา 7 ปี แต่เขาเสียชีวิตระหว่างทางไปที่นั่น
ฤาษีออสเตรเลีย
“โรบินสัน” สมัยใหม่เป็นที่รู้จักหรือไม่หลังจากอ่านบรรทัดเหล่านี้ผู้อ่านจะถามหรือไม่? ใช่ พวกเขาเป็นที่รู้จัก และชะตากรรมของเจมส์ แครอล ฤาษีชาวออสเตรเลียก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี 1926 วันหนึ่ง Doctor Korlyand และเพื่อนๆ ของเขาไปล่าสัตว์ในส่วนนั้นของทวีป Green ซึ่งยังคงมีหมู่บ้านมนุษย์กินคนอยู่ เมื่อได้ติดต่อกับพวกเขาอย่างฉันมิตรแล้ว นักเดินทางจึงได้รู้ว่ามีชายผิวขาวอาศัยอยู่ใกล้ ๆ กลุ่มนักล่าเริ่มสนใจคนป่าเถื่อน "ผิวคล้ำ" นี้และตัดสินใจไปเยี่ยมเขา...
เมื่อเข้าใกล้ถ้ำที่ชาวพื้นเมืองชี้ไป พวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ไม่กี่นาทีต่อมา ศีรษะที่มีขนดกก็โผล่ออกมาจากครรภ์ของเธอ Korlyand วิ่งไปหาสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายกอริลลา แต่ทันทีที่มันสังเกตเห็นคนแปลกหน้า มันก็โจมตีคนแปลกหน้าด้วยกำลังจนนักล่าล้มลง สหายของแพทย์รีบเข้าไปช่วยเหลือและคว้าสัตว์ขนปุยนั้นไว้ พวกเขาพยายามพูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และดัตช์ แต่เพื่อตอบโต้ คนป่าเถื่อนกลับคำรามและพยายามกัดผู้คนเท่านั้น พวกเขามัดเขาไว้แล้วจึงเข้าไปในถ้ำ
สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือพบสมุดบันทึกสมุดบันทึกหนาๆ ที่นั่น ซึ่งมนุษย์สัตว์ร้ายตัวนี้เก็บไว้เป็นเวลาหลายปี จากต้นฉบับปรากฎว่าบ้านหินนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของดร. เจมส์คาโรลซึ่งเมื่อ 25 ปีที่แล้วฆ่าภรรยาของเขาด้วยความอิจฉาริษยาและหนีจากความสิ้นหวังและความกลัวไปยังจุดหมายปลายทางที่ไม่รู้จัก ในไดอารี่ของเขา เขาเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งรายล้อมไปด้วยสัตว์ร้ายและสัตว์มีพิษ เมื่อเวลาผ่านไปผู้ลี้ภัยก็กลายเป็นสัตว์ร้าย Karol ถูกนำไปไว้ในสถานพยาบาลใกล้ซิดนีย์ ไม่ทราบชะตากรรมเพิ่มเติมของเขา
ใช่ ไม่ใช่ทุกคนที่พบว่าตัวเองถูกตัดขาดจากผู้คนสามารถรักษาความเป็นมนุษย์เอาไว้ได้ ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์เป็นสัตว์สังคม และการลงโทษที่เลวร้ายที่สุดสำหรับเขาคือความกลัวอันกดขี่ต่อความเหงา
ประสบการณ์ที่น่าผิดหวัง
ในปี 1962 Georges de Caunes นักข่าววิทยุชาวฝรั่งเศส ตัดสินใจสัมผัสประสบการณ์โดยตรงว่า Robinson Crusoe เป็นอย่างไรบนเกาะร้างแห่งนี้ สำหรับการทดลองของเขา เขาเลือกเกาะ Henao ที่ถูกทิ้งร้างในโพลินีเซีย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ลี้ภัยของนักโทษ และตัดสินใจที่จะอาศัยอยู่บนเกาะนั้นอย่างสันโดษเป็นเวลาหนึ่งปี นักข่าวนำอาหารกระป๋อง ยา เครื่องมือ รวมทั้งเครื่องส่งวิทยุติดตัวไปด้วยจำนวนมาก ซึ่งเขาสามารถใช้ได้ 5 นาทีทุกวัน
ประสบการณ์จบลงอย่างเลวร้าย หลังจากอยู่บนเกาะได้ 4 เดือน น้ำหนักลดลง 15 กิโลกรัม เขาก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในหมู่เกาะมาร์เคซัส เดอคอนยอมรับว่าทนความเหงาไม่ได้และยอมแพ้ต่อหน้ายุงและฉลามซึ่งไม่ยอมให้ตกปลา
โรบินสันต่อต้านความประสงค์ของพวกเขา
แต่ภายใต้สถานการณ์ใดที่ Henri Bourdin นักบินการบินพลเรือนวัย 44 ปีและ Jose ภรรยาของเขาเริ่มต้น Robinsonade ในตอนท้ายของปี 1966 พวกเขาออกเดินทางเป็นเวลาหลายเดือนบนเรือยอทช์ Singa Betina จากสิงคโปร์ไปยังบ้านเกิดของพวกเขา พายุที่พัดออกมาสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อเรือที่เปราะบางของกะลาสีเรือ ทำให้เรือออกนอกเส้นทาง และหลังจากล่องลอยไปหลายสัปดาห์ เรือยอชท์ที่พังก็ถูกนำไปยังชายฝั่งของเกาะ Bathurst เล็กๆ ซึ่งอยู่ห่างจากท่าเรือดาร์วินของออสเตรเลียไปทางเหนือ 5 ไมล์
นักเดินทางมั่นใจมากว่าจะถูกค้นพบอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องกังวลกับการเก็บอาหารไว้เป็นเวลานาน พวกเขาบรรทุกข้าว แป้ง และอาหารกระป๋องเพียงเล็กน้อยจากเรือยอทช์ แต่วันและสัปดาห์ผ่านไป และ Bourdains ก็ตระหนักว่าพวกเขาถูกโดดเดี่ยว
เมื่อเสบียงอาหารหมด ทั้งคู่ก็เริ่มกินปู กิ้งก่า และหอยทาก “เกาะนี้เต็มไปด้วยงูพิษ” โฮเซ่กล่าว “ฉันกลัวว่าพวกเขาจะกัดเรา” เราฟังเพลง - เรามีวิทยุแบบพกพาและเครื่องบันทึกเทปทรานซิสเตอร์ซึ่งรอดชีวิตมาได้บนเรือยอชท์ บาคและโมสาร์ทเป็นเพื่อนแท้ของเรา พวกเขาทำให้เรามีสติ” สองเดือนอันยาวนานผ่านไป แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดยังมาไม่ถึง
“สามีของฉันสร้างแพจากซากเรือยอทช์ เราตัดสินใจไปที่แผ่นดินใหญ่…” อย่างไรก็ตาม ไม้ที่ใช้สร้างมันพองตัวอย่างรวดเร็วและสูญเสียแรงลอยตัวไป อยู่ตามลำพังท่ามกลางทะเลทรายที่มีน้ำไม่มีที่สิ้นสุด ปราศจากอาหาร มีเพียงน้ำจืดเพียงหม้อเดียว พวกมันเริ่มจมน้ำอย่างช้าๆ ช้ามาก ยังไม่ชัดเจนว่าต้นไม้ที่ดูดซับความชื้นยังสามารถทนต่อน้ำหนักของมันได้อย่างน่าอัศจรรย์เพียงใด ชั่วโมงอันไม่มีที่สิ้นสุดผ่านไปเช่นนี้ ดูเหมือนว่าความตายได้หันเหไปจากพวกเขาแล้ว ทั้งคู่ยังคงมีกำลังที่เหลืออยู่ พวกเขายืนอยู่ในน้ำลึกถึงเอว และแพก็เคลื่อนตัวข้ามมหาสมุทรอย่างช้าๆ...
มันเป็นวันที่สี่ โฮเซ่และอองรียังมีชีวิตอยู่ เทห์ฟากฟ้ากำลังเข้าใกล้พระอาทิตย์ตก อีกหน่อยก็จะพ้นขอบฟ้าไปแล้ว “ฉันเงยหน้าขึ้น” ผู้หญิงคนนั้นพูดต่อ “และเห็นเรือลำหนึ่ง... มิราจเหรอ? ภาพหลอน? เลขที่! ดูเหมือนว่ามันจะสังเกตเห็นเราเหมือนกัน ฉันกรีดร้อง สามีของฉันมีแรงจุดระเบิดควันได้ ฉันไม่รู้ว่าเขาจัดการยังไงไม่ให้มันแห้ง” ผู้เคราะห์ร้ายได้รับการช่วยเหลือโดยเรือลาดตระเวนของออสเตรเลีย
ในปี 1974 นักผจญภัยรุ่นเยาว์ 4 คนที่ประสบเหตุเรืออับปางติดอยู่บนแนวปะการังในทะเลแทสมันเป็นเวลา 42 วัน เมื่อสัปดาห์ที่เจ็ดของการ "ถูกคุมขัง" เริ่มต้นขึ้น เรือลากอวนประมงก็สามารถฝ่าพายุและพาผู้คนที่เหนื่อยล้าจากความกระหายและความหิวโหยขึ้นเรือได้
นักเดินทางที่ไม่ค่อยชอบใจกล้าเสี่ยงกับองค์ประกอบของท้องทะเลด้วยการล่องเรือยอชท์ขนาดเล็กจากเมืองโอ๊คแลนด์ในนิวซีแลนด์ไปยังท่าเรือซิดนีย์ของออสเตรเลีย พวกเขาต้องเอาชนะระยะทาง 1,280 ไมล์ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ช่วยเหลือทางทะเลในแคนเบอร์รากล่าวในภายหลังว่า นี่เป็นหนึ่งในทริปที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม มหาสมุทรยอมรับความท้าทายอันกล้าหาญ นั่นคือ 350 ไมล์จากชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย แนวปะการังมิดเดิลตันผู้ทรยศรอคอยเรือยอชท์...
สันดอนใต้น้ำแห่งนี้ซึ่งถูกซ่อนไว้ใต้น้ำอย่างสมบูรณ์ในช่วงคลื่นสูง ได้รับชื่อเสียงอันน่าเศร้าของสุสานเรือ ในบรรดาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ ได้แก่ เรือบรรทุกสินค้าที่มีระวางขับน้ำ 13.5 พันตันและเรือใบตกปลาในซากปรักหักพังซึ่งโรบินสันผู้โชคร้ายได้เข้าไปหลบภัยจากรังสีที่แผดเผาของดวงอาทิตย์ลมและฝน
ในปีเดียวกันนั้น สมาชิกของลูกเรือเรือรบอเมริกันได้ขึ้นฝั่งบนเกาะ Anto-rage ของโพลินีเซียนในหมู่เกาะคุก ซึ่งได้รับการระบุว่าไม่มีคนอาศัยในเส้นทางการเดินเรือ ได้ค้นพบที่นั่น... เรือโรบินสันลำหนึ่ง กลายเป็นทอม นีลชาวนิวซีแลนด์ เขาบอกว่าเขาอาศัยอยู่บนที่ดินผืนนี้มาเป็นเวลาสองปีแล้ว โดยที่ไม่แยแสกับ "ความสุขของสังคมทุนนิยมที่มีโอกาสเท่าเทียมกัน"
บนเกาะเขาเลี้ยงไก่ หมู และนกพิราบ Neil มีเพียงสุนัขที่ซื่อสัตย์ของเขาอยู่กับเขาเท่านั้น ฤาษีตอบด้วยการปฏิเสธข้อเสนอที่จะกลับบ้านอย่างเด็ดขาด และเมื่อกะลาสีเรือเสนอหนังสือพิมพ์และนิตยสารอเมริกันให้เขา เขาก็พูดว่า: "โลกของคุณไม่สนใจฉัน!" เส้นทางแห่งความสันโดษที่เขาเลือกยังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้
เมื่อสรุปเรื่องราวแล้ว เราอดไม่ได้ที่จะจมอยู่กับชะตากรรมอันน่าทึ่งของโรบินสันยุคใหม่อีกคนหนึ่งนั่นคือ Sasha Barash เด็กชายวัย 14 ปีซึ่งอาศัยอยู่กับพ่อของเขาในหมู่บ้านหนึ่งในสถานีสมุทรศาสตร์โซเวียตใน Primorye
ในปี 1977 ขณะแล่นบนเรือวิจัย Burun เขาถูกพัดพาลงทะเล เด็กชายว่ายน้ำไปยังเกาะที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ ทรัพย์สินทั้งหมดของเหยื่อประกอบด้วย เสื้อผ้าที่เขาสวม มีดปากกา เข็มกลัดขนาดใหญ่ 2 อัน ต้นขั้วดินสอ เชือกไนลอนยาว 2 เมตร และรองเท้าผ้าใบ เขากินไข่นกนางนวล หอยแมลงภู่ และพืชป่าที่กินได้ ไม่ถึงหนึ่งเดือนต่อมา เด็กชายก็ได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รักษาชายแดนโซเวียต
หลังจากที่เขากลับมาอย่างปลอดภัย ในการสนทนากับนักข่าวหนังสือพิมพ์ Pacific Komsomolets โรบินสันหนุ่มกล่าวว่า: "เย็นวันหนึ่ง เป็นครั้งที่เท่าไรที่ฉันจำเกาะต่างๆ ที่บรรยายไว้ในหนังสือของ Jules Verne และ Defoe ได้ จู่ๆ ฉันก็รู้สึกตลก ช่างเขียนเหล่านี้มีความสร้างสรรค์สักเพียงไร! ไม่มีวิธีใด (ในการเอาชีวิตรอด) ที่อธิบายไว้ใน “เกาะลึกลับ” และ “โรบินสัน ครูโซ” ที่เคยมีประโยชน์สำหรับฉันเลย”
และอย่างที่เราเห็น โรบินสันแต่ละคนพบหนทางเอาชีวิตรอดของตัวเอง แต่ละคนเดินตามเส้นทางแห่งความรอดของตัวเอง
- การส่งรายงานทางอิเล็กทรอนิกส์ไปยังสำนักงานสรรพากรผ่านทางอินเทอร์เน็ต
- การยกเว้นนิติบุคคลจาก Unified State Register สำหรับข้อมูลที่เป็นเท็จ: เหตุ, การอุทธรณ์คำตัดสินของ Federal Tax Service เกี่ยวกับการยกเว้นที่จะเกิดขึ้น
- โรงแรมคืออะไร โดยการติดต่อหน่วยงานที่ได้รับอนุญาต คุณสามารถค้นหาได้
- แอปพลิเคชันสำหรับการถอนการลงทะเบียนของพื้นที่ถอนการลงทะเบียน UTII IP UTII