เจ้าชายวาลิด บิน ทาลาล แห่งซาอุดีอาระเบีย War of Thrones: เจ้าชายซาอุดิอาระเบียที่มีทรัพย์สิน 18,000 ล้านดอลลาร์ถูกควบคุมตัวอย่างไร

Elena Mordashova อดีตภรรยาของ "ราชาเหล็ก" อาศัยอยู่ในมอสโก ปัจจุบันเธอทำงานในบริษัทการค้าและไม่ต้องการพูดคุยเกี่ยวกับชะตากรรมและการกระทำของสามีของเธอ เธอคิดว่าความพยายามของเธอเมื่อหกปีที่แล้วเพื่อแก้แค้นชีวิตที่พังทลายของเธอ และทิ้งลูกชายให้กลายเป็นคนโง่และไร้เดียงสา เธอจะไม่ทำซ้ำมัน ใครมีเงินมากกว่าก็ถูกเธอมั่นใจ

Ilya ลูกชายของ Mordashov ไม่ต้องการใช้นามสกุลพ่อของเขาและใช้นามสกุลแม่ของเขา Ilya ศึกษาที่สถาบันซึ่งเขาไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะทายาทที่ถูกเนรเทศของอาณาจักรเหล็ก แต่เป็นคนเงียบขรึมและเก็บตัว อิลยาไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับพ่อของเขาซึ่งเขาพบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว

อดีตผู้อำนวยการทั่วไปของ Severstal ยูริ ลิปูคิน หลังจากการ "โค่นล้ม" ของเขาจากตำแหน่งผู้อำนวยการทั่วไปของโรงงาน ให้สัมภาษณ์ยาวเพียงครั้งเดียว ลูกๆ และญาติๆ ของ Lipukhin ปกป้องพ่อที่แก่ชราของพวกเขาจากความสนใจของสื่อมวลชนและผู้ที่พยายามใช้หัวเดิมของต้นไม้เพื่อโจมตี Mordashov ลิปูคินส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในโซชี อ่านหนังสือและดูแลสวน

ในการแต่งงานใหม่ของเขา Alexei Mordashov มีลูกสามคน...

21 พันล้านดอลลาร์

เจ้าชายอัล-วาลีด บิน ทาลาล บิน อับดุล อาซิซ อัล-ซาอูด

เจ้าชายอัล-วาลิด บิน ทาลาล บิน อับดุล อาซิซ อัล-ซาอูด

ความมั่งคั่งของราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียที่ปกครองอยู่มักไม่เกี่ยวข้องกับความเฉียบแหลมทางธุรกิจ โชคลาภทางการเงิน หรือการทำงานหนัก ข้อยกเว้นประการเดียวคือทรัพย์สินมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ของเจ้าชายอัล-วาลีด บิน ทาลาล บิน อับดุล อาซิซ อัล-ซาอูด เจ้าชายอัล-วาลีด กลายเป็นประธานบริษัทของตัวเองเมื่ออายุ 14 ปีและเป็นมหาเศรษฐีเมื่ออายุ 31 ปี ปัจจุบันอายุ 51 ปี เขาเป็นนักธุรกิจชาวตะวันตกที่มีความสำคัญ เป็นชายที่ทำเองโดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิประมาณ 21,000 ล้านดอลลาร์

ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 กษัตริย์อิบัน ซะอูด ด้วยไฟและดาบ ทรงสามารถรวบรวมชนเผ่าที่แตกแยกจากคาบสมุทรอาหรับให้เป็นรัฐเดียวได้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียเป็นราชวงศ์ที่ปกครองซาอุดีอาระเบียและเป็นผู้ดูแลศาลเจ้าหลักแห่งหนึ่งของชาวมุสลิม นั่นคือ วัดกะอ์บะฮ์ในเมกกะ ตระกูลอัล-ซาอูดมีจำนวนเจ้าชายและเจ้าหญิงมากกว่าหนึ่งพันคน เจ้าชายอัล-วาลิดผู้โด่งดังที่สุดไม่เพียงแต่โดดเด่นในเรื่องขนาดทรัพย์สมบัติของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตำแหน่งที่มีลำดับชั้นสูงในตระกูลด้วย เขาเป็นหลานชายของกษัตริย์องค์ปัจจุบันของซาอุดีอาระเบีย

อัล-วาลีดเกิดในปี 2500 จากการแต่งงานของเจ้าชายแห่งสายเลือดแห่งราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียและลูกสาวของนายกรัฐมนตรีคนแรกของเลบานอน พ่อแม่หย่ากันเมื่อเด็กอายุได้ 3 ขวบ และเด็กชายอาศัยอยู่กับแม่ในเบรุตจนกระทั่งอายุครบ 11 ปี ลูกหลานของราชวงศ์ถูกส่งไปอเมริกาเพื่อรับการศึกษา ที่นี่เจ้าชายสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเมนโลในซานฟรานซิสโก (เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาบริหารธุรกิจ) และปริญญาโทสาขาสังคมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยซีราคิวส์ในนิวยอร์ก

สาวกและผู้พิทักษ์ลัทธิวะฮาบีในอเมริกาเริ่มเสพติดการวิ่งจ็อกกิ้งในตอนเช้า รักโคคา-โคลา เชี่ยวชาญความสามารถในการสวมชุดสูทธุรกิจ และพวกเขากล่าวว่ายังเป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในงานปาร์ตี้ของนักเรียนที่ก่อจลาจลด้วยซ้ำ

เจ้าชายเริ่มดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจในปี พ.ศ. 2522 โดยให้บริการตัวกลางแก่บริษัทต่างชาติที่ต้องการทำธุรกิจกับซาอุดีอาระเบีย เมื่อพิจารณาจากความใกล้ชิดของเจ้าชายกับราชวงศ์และอิทธิพลอย่างไม่เป็นทางการในภูมิภาค การเริ่มต้นก็ประสบความสำเร็จ ในปี 1980 อัล-วาลีด บิน ทาลาล ได้ก่อตั้งบริษัท Mamlaka (ในภาษาอังกฤษ ราชอาณาจักร) ตัวเขาเองบอกว่าเขาสร้างธุรกิจด้วยความช่วยเหลือ 30,000 ดอลลาร์ที่ยืมมาจากพ่อของเขา และเงินกู้ 400,000 ดอลลาร์ที่ค้ำประกันโดยบ้านที่พ่อแม่ของเขาบริจาค อัล-วาลิดยังคงใช้ประโยชน์จากตำแหน่งพิเศษของเขาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับสัญญาก่อสร้างที่มีกำไรและซื้อที่ดินในราคาที่ลดลงเพื่อขายต่อในภายหลัง อย่างไรก็ตาม ตามความเห็นของ al-Walid เอง สัญญาและการทำธุรกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์ของเขาในภูมิภาคริยาดนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่า “ความผิดพลาดบนหน้าจอเรดาร์” คำอุปมาอุปไมยที่เจ้าชายใช้ไม่สามารถเรียกสิ่งอื่นใดได้นอกจากสลิปฟรอยด์: ในเวลานั้นสงครามเข้ายึดครองเจ้าชายมากกว่าธุรกิจ

สงครามในอัฟกานิสถานถือเป็นสงครามอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวมุสลิมผู้ศรัทธา ราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียซึ่งเป็นหัวหน้าลัทธิวะฮาบี ไม่สามารถอยู่ห่างไกลจากเหตุการณ์ในอัฟกานิสถานได้ และอัล-วาลิดได้ช่วยเหลือมูจาฮิดีนชาวอัฟกานิสถานอย่างแข็งขันในการต่อสู้กับสหภาพโซเวียต ในปี 1981 เจ้าชายยังมีโอกาสเยี่ยมชมค่ายฝึกในเมืองเปชาวาร์ ที่ซึ่งมูจาฮิดีนเข้ารับการฝึกการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม หลังจากการถอนทหารโซเวียตออกจากอัฟกานิสถานในปี 1989 และการระบาดของสงครามกลางเมืองในประเทศนั้น อัล-วาลิดก็หยุดส่งเงินที่นั่น ตามที่เขาพูด เขาได้บริจาคเงินครั้งสุดท้ายให้กับกลุ่มมูจาฮิดีนในเดือนเมษายน พ.ศ. 2533 โดยให้เงินแก่พวกเขา 5.4 ล้านเหรียญสหรัฐ

เจ้าชายคาลิด บิน อัล-วาลิด อัล-ซาอูดเป็นฮิปสเตอร์ทั่วไป เขาสวมรองเท้าผ้าใบ Converse และเสื้อมีฮู้ด นั่ง Uber และไม่กินผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เขามีเป้าหมายในชีวิต - กำจัดโลกของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และเขายังมีเงินทุนมหาศาลเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้

อเล็กซ์ อเล็กซีฟ

เด็กนักเรียน

ไม่กี่คนในรัสเซียที่เคยได้ยินชื่อของเจ้าชายซาอุดีอาระเบีย คาลิด บิน อัล-วาลิด อัล-ซาอูด ไม่มีบทความเกี่ยวกับเขาในวิกิพีเดียภาษารัสเซีย และการค้นหาด้วย Google ในภาษารัสเซียทำให้เกิดบทความหลายบทความจากเว็บไซต์มังสวิรัติและมีลิงก์หลายพันรายการไปยังบทความเกี่ยวกับพ่อของเจ้าชายซึ่งเป็นนักลงทุนมหาเศรษฐีพันล้าน

เจ้าชายคาลิด บิน อัล-วาลิด อัล-ซาอูด ประสูติในปี 1978 ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ไม่ใช่สถานที่ประสูติที่พบบ่อยที่สุดสำหรับสมาชิกราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียใช่ไหม? เขาไปที่นั่นได้อย่างไร?

เรื่องราวนี้สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่กลางศตวรรษที่ผ่านมา เนื่องจาก John Russell ศาสตราจารย์ของ American Menlo College ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ตัดสินใจใช้เวลาช่วงพักร้อนในซาอุดีอาระเบีย เขาบอกกับคนรู้จักในซาอุดีอาระเบียว่าเขาทำงานในโรงเรียนธุรกิจเอกชนขนาดเล็กที่ให้การศึกษาที่ดีมากโดยอาศัยเงินจำนวนมาก ศาสตราจารย์แทบจะคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

ไม่นานนักศึกษากลุ่มแรกจากซาอุดีอาระเบียก็ปรากฏตัวที่วิทยาลัย หลังจากการเฟื่องฟูของน้ำมันในทศวรรษ 1970 จำนวนน้ำมันเหล่านี้ก็เริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว จนถึงปัจจุบัน สมาชิกราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียมากกว่า 100 รายสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเมนโลแล้ว ครอบครัวชนชั้นสูงในซาอุดีอาระเบียอื่นๆ ก็เริ่มส่งลูกชายไปเรียนที่เมนโล และครอบครัวหนึ่งถึงกับตัดสินใจให้การศึกษาแบบอเมริกันแก่ลูกสาวของพวกเขา! ตามสถิติ เปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาชาวซาอุดีอาระเบียในวิทยาลัยนั้นสูงกว่าสถาบันอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกา

ในปี 1975 เจ้าชายอัล-วาลีด บิน ทาลาล บิน อับดุลอาซิซ อัล-ซาอูด หลานชายของผู้ก่อตั้งและกษัตริย์องค์แรกของซาอุดีอาระเบีย เข้าเรียนในวิทยาลัย หลายปีต่อมา เจ้าชายผู้นี้ ซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาบริหารธุรกิจจากวิทยาลัยเมนโล จะถูกเรียกว่าวอร์เรน บัฟเฟตต์แห่งซาอุดีอาระเบีย

เจ้าชายจะโต้เถียงกับนิตยสาร Forbes เพราะมันประเมินขนาดโชคลาภของเขาต่ำไป การประเมินล่าสุดของนิตยสารดังกล่าวอยู่ที่ 18.7 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้เจ้าชายอัล-วาลีดเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 45 ของโลก Bloomberg ในเดือนพฤศจิกายนประเมินโชคลาภของเขาที่ 17.8 พันล้านดอลลาร์

แต่แล้วเมื่อ 43 ปีที่แล้ว เขาเป็นเพียงชายหนุ่มที่ได้รับอาหารพอประมาณและมาแคลิฟอร์เนียเพื่อเรียนรู้วิธีหาเงิน ในปีต่อมา นักเรียนอัล-วาลิดแต่งงานกับดาลาลลูกพี่ลูกน้องของเขา บุตรหัวปีของพวกเขาคือเจ้าชายคาลิด

จากวิทยาลัยสู่มหาวิทยาลัย

เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี เจ้าชายอัล-วาลิด ภรรยา และลูกชายวัย 1 ขวบก็เดินทางกลับบ้านเกิด เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยซีราคิวส์สาขาสังคมวิทยาโดยไม่อยู่ เวลาว่างจากการเรียนเขาทำงานนอกเวลา จำนองบ้านที่พ่อมอบให้ ขายสร้อยคอที่พ่อมอบให้กับภรรยา ลงทุนเงินอย่างชาญฉลาด เขาเกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ การก่อสร้าง และซื้อธนาคาร เขาค่อยๆ กลายเป็นนักลงทุนต่างชาติและกลายเป็นมหาเศรษฐี

เจ้าชายคาลิด ลูกชายและทายาทเพียงคนเดียวของเขาอาศัยอยู่กับพ่อของเขาในพระราชวัง เมื่อเจ้าชายคาลิดอายุได้สี่ขวบ เขามีน้องสาวชื่อรีม หลังจากนั้นไม่นานพ่อแม่ก็หย่ากัน จากนั้นพ่อก็แต่งงานใหม่และหย่าอีกครั้ง

ในปี 1997 ครอบครัวหนึ่งที่ประกอบด้วยพ่อเลี้ยงเดี่ยวและลูกวัยรุ่นสองคนได้เฉลิมฉลองพิธีขึ้นบ้านใหม่โดยย้ายเข้าไปอยู่ในพระราชวังแห่งใหม่ใจกลางกรุงริยาด ในวังมีห้องทั้งหมด 317 ห้อง เกือบทุกห้องมีทีวี หินอ่อนอิตาลี พรมตะวันออก ก๊อกน้ำสีทองในห้องน้ำ ห้องครัว 5 ห้อง (สำหรับอาหารเลบานอน อาหรับ ยุโรป และอาหารเอเชีย และอีกห้องสำหรับขนมหวาน) ในลานบ้านมีสระว่ายน้ำ ในห้องใต้ดินมีโรงหนัง พ่อเลี้ยงเดี่ยวคนนี้ยังมีเรือยอทช์ที่ซื้อจากนักพัฒนาชาวอเมริกันอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ เครื่องบินส่วนตัวหลายลำและรถยนต์สามร้อยคัน และโรลส์รอยซ์หนึ่งลำถือเป็นของลูกสาวของเขา

แม้กระทั่งตอนที่ซื้อเรือยอชท์ส่วนตัว เจ้าชายอัล-วาลีดก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองเป็นนักลงทุนที่มีพรสวรรค์ เขาซื้อมันในราคาที่ลดลงจากนักพัฒนา D. Trump ในช่วงที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำ ในภาพ - เจ้าชายอัล-วาลิด พร้อมด้วยคาลิด ลูกชายของเขา และลูกสาว รีม

ภาพ: Balkis Press/ABACAPRESS/Kommersant

แน่นอนว่าเจ้าหญิงรีมไม่ได้ขับมันเอง ไม่ใช่เพราะเธออายุ 15 ปี แต่เป็นเพราะกฎหมายของราชอาณาจักรห้ามผู้หญิงขับรถ

ในปีพิธีขึ้นบ้านใหม่ เจ้าชายคาลิดมีอายุครบ 19 ปี และมีเหตุการณ์สำคัญสองเหตุการณ์เกิดขึ้นในชีวิตของเขา ซึ่งกำหนดอนาคตของเจ้าชายเป็นส่วนใหญ่ ตามรอยพ่อของเขา เขาเข้าเรียนในโรงเรียนธุรกิจในอเมริกา จริงอยู่ ไม่ใช่สำหรับวิทยาลัย Menlo ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูงของซาอุดีอาระเบีย แต่สำหรับมหาวิทยาลัย New Haven จากนั้นเขาทำงานในธนาคารและย้ายไปที่บริษัท Kingdom Holding Company ซึ่งเป็นการลงทุนของบิดา

แต่ตัวอย่างของพ่อฉันในอีกด้านของชีวิตกลับกลายเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีก แม้จะมีห้องครัว 5 ห้องและพ่อครัวจำนวนมากที่สามารถเตรียมอาหารเย็นสำหรับ 2,000 คนได้ภายในหนึ่งชั่วโมง เจ้าชายอัล-วาลิดก็ตัดสินใจว่าเขาจำเป็นต้องลดน้ำหนักและใช้ชีวิตแบบมีสุขภาพดีโดยทั่วไป

หากในฐานะนักเรียนเขาหนัก 90 กก. ก็มาพร้อมกับกิโลกรัมเพิ่มเติมอีกหลายพันล้านดอลลาร์ อัล-วาลิดเริ่มนับแคลอรี่ อิสลามไม่อนุญาตให้เขาดื่มแอลกอฮอล์ และความเชื่อของเขาเองก็ไม่อนุญาตให้เขาสูบบุหรี่ นักลงทุนรายใหญ่กลายเป็นมังสวิรัติ

ฟาร์มปศุสัตว์ - ส่งต่อไปยังถังขยะแห่งประวัติศาสตร์

“เจ้าชายคาลิดได้รับการยกย่องว่ามีมุมมองแบบตะวันตกที่ก้าวหน้าในหลายประเด็น รวมถึงบทบาทของสตรีในสังคมซาอุดีอาระเบีย เขาก็มีความคิดเชิงธุรกิจเหมือนกับพ่อ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนเรียบง่ายและอ่อนหวาน” ลักษณะเฉพาะของเจ้าชายคาลิดนี้มีอยู่ในไฟล์ของบริษัทวิเคราะห์และข่าวกรองอเมริกัน Stratfor ซึ่งจัดพิมพ์โดย WikiLeaks นักข่าวที่สัมภาษณ์เขาเขียนสิ่งเดียวกันเกี่ยวกับเจ้าชาย

ในซาอุดีอาระเบียเขาสวมเสื้อผ้าแบบดั้งเดิม แต่ในอเมริกาเขาสวมกางเกงยีนส์ เสื้อมีฮู้ด หมวกเบสบอล และรองเท้าผ้าใบ Converse สีดำ (แน่นอนว่าต้องสวมเสื้อหนังเทียม) จริงอยู่ที่ระหว่างเดินทางไปต่างประเทศเขาอาศัยอยู่ในโรงแรม Four Seasons ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่าประหยัดไม่ได้ แต่เขาทำสิ่งนี้ไม่ใช่เพราะความปรารถนาที่จะใช้เงินพิเศษ แต่ตรงกันข้ามกับเงินออม: พ่อของเขาเป็นเจ้าของร่วมของเครือข่ายนี้

เจ้าชายทรงแสดงทัศนะแบบตะวันตกที่ก้าวหน้าอย่างชัดเจนที่สุดในปี 2548 เมื่อเขาแต่งงานกับหญิงสาวที่ไม่ได้มาจากราชวงศ์ แต่มาจากครอบครัวที่เรียบง่าย - ลูกสาวของรัฐมนตรีคลังของประเทศ

คาลิดไม่ได้เป็นเพียงทายาทของอาณาจักรธุรกิจของบิดาเท่านั้น ในปี 2013 เขาได้ก่อตั้งบริษัทของตัวเองชื่อ KBW Investments เขามีผลประโยชน์ทางธุรกิจในทุกทวีป แต่นอกเหนือจากการลงทุนในด้านธุรกิจแบบดั้งเดิม (การก่อสร้าง เหมืองแร่ ยานยนต์ การบริการ สื่อ) เจ้าชายคาลิดยังลงทุนในเทคโนโลยีชั้นสูง เช่น การชำระเงินผ่านมือถือ แอปพลิเคชันสมาร์ทโฟน การประหยัดพลังงาน เขาช่วยเปิดตัว TechnoBuffalo ซึ่งเป็นเว็บไซต์ยอดนิยมเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีใหม่ๆ

เจ้าชายทรงห่วงใยปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เขาละทิ้งการลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับซาอุดีอาระเบียเป็นหลัก เขามีรถยนต์เพียงคันเดียว - รถยนต์ไฟฟ้าของเทสลา นอกอาณาจักรบ้านเกิดของเขา เขาชอบ Uber มากกว่า คาลิดเชื่อว่าโลกกำลังเผชิญกับภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป

ในปี 2008 คาลิดได้ดูสารคดีอเมริกันสองเรื่อง ได้แก่ Food, Inc. และ Food ราคาของปัญหา" (เรื่องอาหาร) ช่วงแรกเป็นการพูดคุยถึงความไร้มนุษยธรรมของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์และสาเหตุที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม ประการที่สองคืออาหารชนิดใดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและชนิดใดที่ก่อให้เกิดอันตราย ตามที่เจ้าชายกล่าวไว้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ดวงตาของเขาเปิดกว้างอย่างแท้จริง เจ้าชายมีเหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่ต้องคิดถึงเรื่องอาหาร คาลิดในขณะนั้นหนัก 105 กก. ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของเขาสูงขึ้นอย่างมาก ต้องขอบคุณการกินวีแกนทำให้เขาลดน้ำหนักได้ถึง 82 กิโลกรัมในเจ็ดเดือนและทำให้คอเลสเตอรอลของเขากลับมาเป็นปกติ ตอนนี้ภาพก่อนและหลังโพสต์บน Facebook ของเขาแล้ว

ฤดูร้อนที่แล้ว เจ้าชายคาลิดกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า “เป้าหมายหลักของฉันคือการทิ้งฟาร์มปศุสัตว์ให้กลายเป็นถังขยะแห่งประวัติศาสตร์ สิ่งนี้จะต้องเกิดขึ้นในชีวิตของฉัน”

เจ้าชายทรงประเมินว่าเขาสามารถบรรลุเป้าหมายได้ภายใน 10 ปีด้วยการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในวิธีการเกษตรแบบใหม่ที่จะทำให้ประชากรโลกได้รับโปรตีนจากพืชอย่างเพียงพอ

ก่อนการสัมภาษณ์ไม่นาน เจ้าชายทรงเริ่มเพจบนเฟซบุ๊ก เปิดต้นด้วยคติประจำใจ: “ยืนหยัดเพื่อสิ่งที่คุณเชื่อ แม้ว่าคุณจะทำคนเดียวก็ตาม” อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้อยู่คนเดียว เจ้าชายคาลิดพยายามโน้มน้าวให้บิดาของเขาไม่เพียงแต่เป็นมังสวิรัติเท่านั้น แต่ยังเป็นวีแก้นด้วย

ดังที่เจ้าชายคาลิดเขียนบนเฟซบุ๊กของเขา หากโลกยึดติดกับอาหารแบบดั้งเดิม ภัยพิบัติก็หลีกเลี่ยงไม่ได้: “เราต้องคว่ำบาตรร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด และดูแลสุขภาพของเราและสุขภาพของลูกหลานของเรา ก่อนที่ภัยพิบัตินี้จะเกิดขึ้น”

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว ร้านอาหารวีแกนไฟน์ไดนิ่งแห่งแรกในราชอาณาจักรบาห์เรนมีชื่อที่เรียบง่ายว่า Cafe Plant นอกจากนี้ยังเป็นร้านอาหารแห่งแรกนอกทวีปอเมริกาเหนือโดยเชฟ Matthew Kenny ซึ่งเป็นกูรูด้านอาหารมังสวิรัติแบบดิบ

ในตอนแรก เจ้าชายคาลิดเคยคิดที่จะจ่ายเงินแฟรนไชส์ให้กับเชฟชาวอเมริกัน แต่แล้วเขาก็เกิดความคิดที่ดีกว่า นั่นคือการลงทุนในเครือร้านอาหาร Kenny ร้านอาหาร Cafe Plant กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือนี้ ตั้งอยู่ในทำเลสะดวกตรงข้ามโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ-กลางที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ

ต้องขอบคุณเจ้าชายคาลิดที่ทำให้ร้านอาหารวีแกนแห่งแรกเปิดในบาห์เรน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเครือร้านอาหารของเชฟระดับตำนานอย่างแมทธิว เคนนี (ภาพตรงกลาง)

ภาพ: รูปภาพ Stephen Lovekin/Getty สำหรับ NYCWFF

ในปีที่ผ่านมา มีรีวิวมากมายเกี่ยวกับร้านอาหารปรากฏบนเว็บไซต์ท่องเที่ยว ทุกคนแม้กระทั่งผู้ที่ห่างไกลจากอาหารวีแกนต่างชื่นชมรสชาติของอาหารอย่างเป็นเอกฉันท์ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่พอใจกับราคา

เจ้าชายคาลิดตั้งพระประสงค์ที่จะเพิ่มจำนวนร้านอาหารดังกล่าวในภูมิภาคเป็น 10 แห่งภายในปี 2563 ทรงตระหนักดีว่าสถานการณ์นี้จะไม่เปลี่ยนแปลงสถานการณ์มากนัก แต่จะเป็นก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้อง

เจ้าชายทรงให้ทุนในการถ่ายทำสารคดีเรื่อง “Eating Our Way To Extinction” (“ถ้าเรากินแบบนี้เราก็จะสูญพันธุ์”) ภาพยนตร์เรื่องนี้มีแผนที่จะเข้าฉายในปีนี้ ภาพยนตร์สารคดีอีกเรื่องที่กำลังถ่ายทำด้วยเงินของเจ้าชาย จัดทำขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ James Wilkes แชมป์ศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสาน UFC และนักกีฬาวีแกนคนอื่นๆ เจ้าชายคาลิดเชื่อว่าสารคดีสามารถโน้มน้าวผู้ชมให้เปลี่ยนมุมมองได้เหมือนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทำ

เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว เขาได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดที่นิวยอร์กสำหรับมูลนิธิลดปริมาณ ซึ่งเป็นมูลนิธิที่สนับสนุนการลดการบริโภคเนื้อสัตว์ทั่วโลกเพื่อปกป้องสุขภาพของมนุษย์ สิ่งแวดล้อม และการทำฟาร์มสัตว์อย่างมีมนุษยธรรม

เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว บริษัทของ Prince Khalid เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ลงทุน 17 ล้านดอลลาร์ใน Memphis Meats สตาร์ทอัพในซานฟรานซิสโก บริษัทนี้กำลังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้าง “เนื้อสะอาด” ที่เพาะจากเซลล์สัตว์ในห้องปฏิบัติการ ในบรรดานักลงทุนที่สนับสนุนสตาร์ทอัพ ได้แก่ Bill Gates, Richard Branson และกองทุนร่วมลงทุน Draper Fisher Jurvetson ซึ่งก่อนหน้านี้ลงทุนใน Baidu, SpaceX, Tesla และ Twitter สิ่งที่น่าสนใจคือ มูลนิธิแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับเมือง Atherton ใน Silicon Valley ซึ่งเป็นที่ที่เจ้าชายคาลิดประสูติเมื่อ 40 ปีที่แล้ว

ในเดือนเดียวกันนั้นเอง เจ้าชายทรงเข้าเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหารของบริษัทอาหารแฮมป์ตัน ครีก ซึ่งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารมังสวิรัติ บริษัทกำลังพัฒนา "เนื้อสะอาด" และวางแผนที่จะนำออกสู่ตลาดในปีนี้

วันหนึ่ง เจ้าชายคาลิดเดินเข้าไปในร้านกาแฟวีแกน Life"n One ในดูไบ คาเฟ่แห่งนี้มีกระดานชนวนให้ผู้เข้าชมสามารถเขียนประโยคต่อ "ก่อนที่ฉันจะตาย ฉันต้องการ..."

เจ้าชายทรงเขียนว่า: "ยุติฟาร์มสัตว์"

นักข่าวทุกคนที่สนใจเจ้าชายอัลวาลีด บิน ทาลาล แห่งซาอุดิอาระเบีย หวังว่าสักวันหนึ่งจะได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากพระองค์ คนขับจะนำกระเป๋าหนังสีเขียวใบใหญ่ที่มีโลโก้และชื่อของบริษัท Kingdom Holding ของ al-Walid ซึ่งมีน้ำหนักอย่างน้อย 4.5 กิโลกรัมมาด้วย เช่นเดียวกับตุ๊กตาทำรัง กระเป๋าหนังสีเขียวประกอบด้วยมัดหนังสีเขียว ซึ่งจะมีรายงานประจำปีเย็บด้วยหนังสีเขียว สิ่งเดียวที่ไม่หุ้มด้วยหนังคือนิตยสารชื่อดังของโลกหลายสิบเล่ม โดยแต่ละเล่มมีรูปถ่ายของเจ้าชายอยู่บนหน้าปก

นิตยสารเหล่านี้เป็นรายการที่บอกเล่าได้มากที่สุดในกองข้อมูลที่มีราคาแพง บนหน้าปกของ Vanity Fair เขาปรากฏตัวในฐานะสมาชิกทั่วไปของสังคมชั้นสูง เขาสวมแว่นตาสะท้อนแสง เสื้อแจ็คเก็ตกีฬาสีฟ้าอ่อน และเสื้อเชิ้ตคอเปิด เขาสามารถพบเห็นได้บนปกนิตยสาร Time 100 สองฉบับ ครั้งแรกเป็นภาพปะติดร่วมกับจอร์จ โซรอส, ลี กาชิง และราชินีราเนีย และครั้งหนึ่งเขาแต่งกายด้วยชุดทอบและกูตราตามประเพณีซาอุดีอาระเบีย บนหน้าปกมีแม้กระทั่งนิตยสาร Forbes ที่เขาสวมเสื้อคอเต่าสไตล์สตีฟ จ็อบส์ จ้องมองผู้อ่านอย่างเมินเฉย และมีคำบรรยายว่า "นักธุรกิจที่ฉลาดที่สุดในโลก" แต่รายละเอียดที่สำคัญประการหนึ่งไม่เปลี่ยนแปลง: นิตยสารทั้งหมดไม่มีอยู่จริง แทนที่จะส่งข่าวหนังสือพิมพ์ออกไป ไม้เท้าของเจ้าชายทำจากรอยขีดข่วนหรือปกนิตยสารที่มีการแก้ไข แล้วติดไว้บนบทความที่กล่าวถึงเจ้าชาย โดยพิมพ์บนกระดาษมันเนื้อดี

สำหรับเจ้าชายอัล-วาลีด ภาพลักษณ์คือทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเน้นไปที่ผู้ที่สามารถพิสูจน์สถานะของเขาเพิ่มเติมได้ เขาได้พบกับผู้คนที่สำคัญมาก ถามเขาด้วยตัวเอง เหมือนกับว่าเจ้าหน้าที่ของเขาเตรียมแถลงข่าวพร้อมรูปถ่ายทุกครั้งที่เขาพบกับคนสำคัญ (บิล เกตส์) คนที่สักวันหนึ่งอาจจะกลายเป็นคนสำคัญ (ดิค คอสโตโล ซีอีโอของ Twitter) หรือคนที่ดูเหมือนเป็นคนสำคัญ (เอกอัครราชทูตบูร์กินาฟาโซประจำซาอุดีอาระเบีย) .

ในปี 2003 เขาถูกถ่ายภาพขณะยืนอยู่ด้านหลังจอร์จ ดับเบิลยู บุช กษัตริย์อับดุลลาห์แห่งจอร์แดน มกุฎราชกุมารอับดุลลาห์แห่งซาอุดีอาระเบีย และประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค ของอียิปต์ เมื่อชีวประวัติที่ได้รับอนุญาตของเขา Alwaleed: Businessman, Billionaire, Prince ได้รับการตีพิมพ์ในปี 2548 ภาพถ่ายนี้ปรากฏบนปกหลัง คราวนี้โดยมี Alwaleed อยู่เบื้องหน้าขอบคุณ ดังที่เจ้าชายยอมรับในการสนทนากับ Forbes ในภายหลังใน Photoshop เป็นเวลาหลายเดือน เริ่มตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2554 เจ้าชายถึงกับเริ่มปกปิดสำเนาคาร์บอนให้ฉันเกือบทุกวันหรือส่งข้อความถึงฉัน: บางคนส่งถึงภรรยาของประธานาธิบดีของประเทศในยุโรป บ้างก็ส่งถึงผู้นำที่มีชื่อเสียง ผู้จัดการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งบางบริษัทเคยเป็นผู้นำรายการทอล์คโชว์ทางช่องเคเบิล เนื้อหาถูกถ่ายทอดภายใต้เงื่อนไขการรักษาความลับ แต่ความปรารถนาที่จะสร้างความประทับใจนั้นค่อนข้างชัดเจน

แต่ในแง่ของการตรวจสอบจากภายนอก ลำดับความสำคัญอันดับแรกของเขาตามคนเจ็ดคนที่เคยทำงานให้เขาคือรายชื่อมหาเศรษฐีของ Forbes

“เขาต้องการให้โลกวัดความสำเร็จหรือตำแหน่งของเขาในสังคมผ่านรายการนี้” อดีตผู้ช่วยคนหนึ่งของเจ้าชายรายนี้ กล่าว ซึ่งก็เหมือนกับอดีตเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ของเขา ที่เลือกที่จะไม่เปิดเผยชื่อเพราะกลัวว่าจะถูกตอบโต้จากชายที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอาหรับรายนี้ กล่าว . “นี่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเขา” อดีตพนักงานกล่าวว่าพระราชวังได้กำหนดเป้าหมายอย่างเป็นทางการ เช่น การติดหนึ่งในสิบหรือยี่สิบอันดับแรก

อย่างไรก็ตาม เป็นเวลาหลายปีแล้วที่อดีตผู้จัดการของอัล-วาลีดบอกฉันว่าเจ้าชาย แม้ว่าแท้จริงแล้วเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่ก็เกินความจริงอย่างเป็นระบบด้วยความมั่งคั่งหลายพันล้านดอลลาร์ สิ่งนี้กระตุ้นให้ Forbes พิจารณาการถือครองของเจ้าชายให้ละเอียดยิ่งขึ้น และได้ข้อสรุปดังนี้ ในบางครั้งดูเหมือนว่าพระองค์กำลังประเมินมูลค่าการถือครองของพระองค์จากความเป็นจริงอีกประการหนึ่ง รวมถึงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ Kingdom Holding ซึ่งมีการซื้อขายหุ้นใน ตลาดหลักทรัพย์. ราคาของพวกเขาลดลงและเพิ่มขึ้นตามปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับรายชื่อมหาเศรษฐีของ Forbes มากกว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

Al-Waleed วัย 58 ปี ปฏิเสธที่จะพูดคุยกับ Forbes สำหรับเรื่องนี้ แต่ Shadi Sanbar ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของเขาเน้นย้ำว่า “ฉันไม่เคยคิดเลยว่า Forbes จะยอมก้มหน้ารับความรู้สึกและข่าวลือราคาถูก” ความแตกต่างที่เราสังเกตเห็นเกี่ยวกับความมั่งคั่งของเจ้าชายบอกอะไรมากมายเกี่ยวกับพระองค์และวิธีการกำหนดขอบเขตที่แท้จริงของความมั่งคั่งของใครบางคน

ความหรูหราและความเพียร

เจ้าชายเข้ามาในความสนใจของ Forbes ครั้งแรกในปี 1988 หนึ่งปีหลังจากปัญหาเศรษฐีพันล้านครั้งแรกของเรา แหล่งข่าวคือเจ้าชายเอง ซึ่งติดต่อนักข่าวของ Forbes เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความสำเร็จของบริษัท Kingdom Holding for Trading & Contracting และชี้แจงให้ชัดเจนว่าเขาควรรวมอยู่ในรายการถัดไป

ข้อความนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการโน้มน้าวใจและภัยคุกคามที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาสี่ศตวรรษและเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของเจ้าชายในรายชื่อ จากมหาเศรษฐีพันล้าน 1,426 รายในรายชื่อ ไม่ใช่คนเดียว แม้แต่โดนัลด์ ทรัมป์จอมไร้สาระ ที่ใช้ความพยายามอย่างมากในการโน้มน้าวอันดับของพวกเขา ในปี 2549 เมื่อ Forbes สรุปว่าเจ้าชายมีทรัพย์สินน้อยกว่าที่เขาอ้างไว้ถึง 7 พันล้านดอลลาร์ เขาได้โทรหาฉันที่บ้านในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่รายชื่อถูกเผยแพร่ และดูเหมือนแทบจะน้ำตาไหล

"คุณต้องการอะไร? - เขาอ้อนวอน โดยอ้างถึงนายธนาคารส่วนตัวของเขาในสวิตเซอร์แลนด์ “บอกฉันว่าคุณต้องการอะไร”

เมื่อไม่กี่ปีก่อน เขามีประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Kingdom Holding บินจากริยาดไปนิวยอร์กเพื่อให้แน่ใจว่า Forbes ใช้ตัวเลขที่เขารายงาน ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินและเพื่อนของเขาปฏิเสธที่จะออกจากสำนักบรรณาธิการจนกว่าพวกเขาจะได้รับการรับประกัน (หลังจากการอภิปรายอย่างละเอียด บรรณาธิการโน้มน้าวให้พวกเขาออกไปโดยสัญญาว่าจะตรวจสอบทุกอย่างอีกครั้ง) ในปี 2008 ตามคำร้องขอของเจ้าชาย ฉันใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์กับเขาในริยาด ซึ่งฉันได้ตรวจสอบพระราชวัง เครื่องบิน และเครื่องประดับของเขา ซึ่งตามที่เขาพูด มีมูลค่า 700 ล้านเหรียญสหรัฐ

ตามที่ฉันได้เรียนรู้ระหว่างสัปดาห์ที่อยู่กับเจ้าชาย al-Waleed ต้องใช้ความเข้มแข็งและคาเฟอีนจำนวนมาก เขาเข้านอนเป็นประจำไม่ช้ากว่า 4.30 น. นอน 4-5 ชั่วโมงแล้วทุกอย่างจะเกิดซ้ำ “คนที่ทำงานกับเจ้าชายไม่มีชีวิต” อดีตพนักงานคนหนึ่งเล่า “เวลาทำงานแปลกมาก ตั้งแต่ 11.00 น. - 17.00 น. และ 21.00 น. - 02.00 น.” แม้แต่ภรรยาของเขาที่อายุยี่สิบกว่าปีอย่างอมีรา อัล-ทาวิล ก็ยังต้องปรับตัวเข้ากับตารางงานนี้ (เธอเป็นภรรยาคนที่สี่ของเขา เจ้าชายมักจะแต่งงานกับผู้หญิงเพียงคนเดียวในแต่ละครั้ง) ตอนที่ฉันอยู่ที่นั่น มีคนขับคนหนึ่งขับรถมินิคูเปอร์สีน้ำเงินเข้มมาขับเธอทุกเย็นไปยังวังของเธอเอง

ทุกวันเขาถูกรายล้อมไปด้วยความหรูหราที่ไม่สามารถจินตนาการได้ พระราชวังหลักของเขาในกรุงริยาดมีห้อง 420 ห้อง มีทั้งหินอ่อน สระว่ายน้ำ และภาพวาดบุคคลของเขา

หากเจ้าชายต้องเดินทางไปทำธุรกิจ เขามีเครื่องบินโบอิ้ง 747 เป็นของตัวเองเหมือนกับเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน แต่ต่างจากเครื่องบินของประธานาธิบดีตรงที่มีบัลลังก์ เมื่ออัล-วาลีดต้องการชะลอความเร็ว เขาก็มุ่งหน้าไปยัง "รีสอร์ท" ของเขาที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ 120 เอเคอร์ในเขตชานเมืองริยาด มีทะเลสาบเทียมห้าแห่ง สวนสัตว์ขนาดเล็ก แกรนด์แคนยอนจำลองขนาดย่อส่วน บ้านห้าหลัง และเฉลียงหลายแห่งที่ผู้ติดตามของเขารับประทานอาหาร

อาหารเย็นนี้สำคัญมากสำหรับอัล-วาลิด เพื่อรักษารูปร่าง เขากินอาหารมื้อใหญ่วันละมื้อประมาณ 20.00 น. แม้ว่าจะได้รับจังหวะทางชีววิทยา แต่เขาเรียกมันว่า "อาหารกลางวัน" ด้านหนึ่งของเขาคือ “นางในพระราชวัง” ซึ่งดูแลบ้านที่เจ้าชายอยู่ในขณะนี้ และอีกด้านหนึ่งเป็นคนรับใช้ชาย ตามกฎแล้ว ทุกสายตาในครึ่งวงกลมนี้จะมุ่งไปที่ทีวี และในกรณีที่ใครลืมสปอตไลท์ของเจ้าชาย CNBC มักจะเปิดอยู่

เสียงเรียกแห่งเลือด

ความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จนี้ แม้จะอยู่ในรูปแบบที่ถูกปิดบัง แต่ก็สืบทอดมาจากเขา หากใครก็ตามรู้สึกว่าจำเป็นต้องประสบความสำเร็จ ผู้นั้นคือเจ้าชายอัล-วาลีด หลานชายของผู้ก่อตั้งสองประเทศเอกราช ปู่ของเขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของลิเบีย กษัตริย์อับดุลอาซิซซึ่งเป็นปู่ของบิดาของเขา ก่อตั้งซาอุดีอาระเบีย “ดังนั้น เขาพบว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่เขาจำเป็นต้องพิสูจน์ความเหนือกว่าของเขาในบางสิ่งบางอย่าง” Saleh al-Fadl ผู้จัดการของ Saudi Hollandi Bank ซึ่งทำงานร่วมกับเจ้าชายที่ United Saudi Commercial Bank เป็นเวลาหลายปีตั้งแต่ปี 1989 กล่าว ในขณะที่พระญาติของพระองค์เกี่ยวข้องกับชีวิตทางการเมืองของซาอุดีอาระเบีย คนหนึ่งทำหน้าที่เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ส่วนคนอื่นๆ ทำหน้าที่เป็นผู้ว่าการรัฐ อัล-วาลีด อัล-ฟาดล์กล่าวว่า "ต้องการสร้างชื่อให้กับตัวเองในโลกธุรกิจ"

เจ้าชายทาลาล บิดาของอัล-วาลิด ชื่นชอบการเป็นผู้ประกอบการ และพยายามปฏิรูปในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการคลังในช่วงต้นทศวรรษ 1960 จนกระทั่งเขาถูกขับออกจากตำแหน่งเนื่องจากความคิดเห็นที่ก้าวหน้า ในช่วงเวลาเดียวกัน เมื่ออัล-วาลิดอายุได้ 7 ขวบ เขาได้หย่ากับภรรยาของเขา ซึ่งเป็นลูกสาวของนายกรัฐมนตรีคนแรกของลิเบีย ซึ่งเดินทางกลับบ้านเกิดพร้อมกับเจ้าชายน้อย ตามประวัติที่ได้รับอนุญาตของเขา เขามีนิสัยชอบแอบออกจากบ้านสักวันหรือสองวันแล้วนอนในรถที่ปลดล็อค ต่อมา อัล-วาลิดเข้าเรียนโรงเรียนทหารในกรุงริยาด และยังคงยึดมั่นในวินัยอันเข้มงวดที่เขาได้เรียนรู้ในขณะนั้น

ปรินซ์ได้รับความคิดแบบตะวันตกขณะเข้าเรียนที่วิทยาลัยเมนโลในเมืองแอเธอร์ตัน รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อเขากลับมาที่ซาอุดีอาระเบีย เขากลายเป็นที่รู้จักในฐานะคนที่มองหาบริษัทต่างชาติหากพวกเขาต้องการหุ้นส่วนในท้องถิ่น เมื่อเขาพูดถึงการเริ่มต้นอาชีพ เขามักจะอธิบายว่าเขาได้รับของขวัญมูลค่า 30,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เงินกู้ 300,000 ดอลลาร์ และบ้านหนึ่งหลังจากพ่อของเขา แม้ว่าชีวประวัติของเขาจะไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเขาได้รับจากสมาชิกในครอบครัวมากแค่ไหน แต่ก็น่าจะมากเช่นกัน เนื่องจากเมื่ออายุ 36 ปี (ในปี 1991) เขาอยู่ในฐานะที่จะตัดสินใจในธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงชีวิตได้

ในขณะที่หน่วยงานกำกับดูแลกำลังบังคับให้ Citicorp เพิ่มฐานทุนเมื่อเผชิญกับสินเชื่อที่ไม่ดีในประเทศกำลังพัฒนา Al-Waleed ซึ่งในขณะนั้นไม่มีใครรู้จักนอกซาอุดีอาระเบีย ก็ได้สะสมหุ้นมูลค่า 800 ล้านดอลลาร์ การเดิมพันมหาศาลนี้เติบโตขึ้นในช่วงที่ Wall Street เฟื่องฟูสองครั้งและหลังจากนั้น ปี 2005 มีมูลค่าถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งในขณะนั้นทำให้อัล-วาลีดเป็นหนึ่งใน 10 คนที่รวยที่สุดในโลก และทำให้เขาได้รับฉายา ซึ่งทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างมาก “บัฟเฟตต์แห่งซาอุดีอาระเบีย”

แต่แตกต่างจาก Warren Buffett ซึ่งใช้เวลาหลายทศวรรษในการเลือกผู้ชนะ Al-Waleed ไม่ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นนักลงทุนที่มีความสม่ำเสมอ

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เขาได้สนับสนุนผู้แพ้เช่น Eastman Kodak และ TWA การลงทุนด้านสื่อรายใหญ่ (Time Warner และ News Corp.) ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง และถึงแม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จบ้าง โดยเฉพาะ eBay และ Apple แต่ al-Waleed ก็พลาดโอกาสอีกครั้งเมื่อเขาขายหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทหลังนี้ในปี 2548 กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขายังไม่ได้จำลองความสำเร็จของเขาด้วยการลงทุนของ Citi “มันเป็นข้อตกลงครั้งใหญ่ที่สุดของเขา และมันนำพาเขาไปสู่จุดสนใจ มันเป็นความเสี่ยงครั้งใหญ่ เงินก้อนโต ธนาคารขนาดใหญ่” ผู้จัดการซึ่งเคยใกล้ชิดกับอัล-วาลิดกล่าวกับฟอร์บส์ “เขาไม่ได้ทำอะไรที่เทียบเคียงได้ตั้งแต่นั้นมา”

แต่ในโลกไฮเปอร์โบลิกของอัล-วาลิด ทุกอย่างก็ชัดเจน ในหน้าแรกของเว็บไซต์ Kingdom Holding มีตัวอักษรขนาดใหญ่สี่คำ: “นักลงทุนที่ดีที่สุดในโลก”

เมื่อเจ้าชายตัดสินใจนำ Kingdom Holding สู่สาธารณะในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 การตัดสินใจดังกล่าวดูแปลกบนกระดาษ แม้ว่า CFO จะโต้แย้งเพื่อประชาสัมพันธ์ตามปกติ แต่เจ้าชายก็เป็นเจ้าของบริษัท 100% แล้ว ประกอบด้วยการถือครองหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว และมีเพียง 5% เท่านั้นที่เป็น Free Float กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาไม่มีหุ้นส่วนที่ควรคำนึงถึงผลประโยชน์ ไม่มีปัญหาสภาพคล่อง และไม่มีความปรารถนาที่จะระดมทุนจำนวนมาก - เหตุผลหลักสามประการในการดำเนินการ IPO และต้องทนกับความยากลำบากของผู้เข้าร่วมทั้งหมด หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ซาอุดีอาระเบียมีการซื้อขายเบาบาง ไม่มีนักวิเคราะห์เพียงรายเดียวที่ติดตามพวกเขาโดยเฉพาะ ภายในบริษัทมีอารมณ์คล้ายกับนิตยสารเคลือบเงาที่ผลิตโดยพนักงาน “มันสนุกมาก” ผู้ร่วมงานมายาวนานของอัล-วาลีดกล่าว - การไปตลาดหลักทรัพย์เป็นเรื่องสนุก มีข่าวลือในสื่อ"

เจ้าชายมีเงินเท่าไหร่?

แน่นอนว่าการโฆษณาเกินจริงจะเป็นเรื่อง "สนุก" เท่านั้นเมื่อหุ้นมีการซื้อขายดี เจ้าชายผู้มีความกังวลเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของพระองค์เช่นเคย ทรงไม่สงสัยเลยว่าจะเป็นเช่นนั้น “ฉันดีใจที่การเสนอขายหุ้น IPO เป็นไปด้วยดี” เขาบอกกับอาหรับนิวส์ในวันที่เกิดการลอยตัว “นั่นหมายความว่าชาวซาอุดิอาระเบียตระหนักถึงศักยภาพของบริษัทอันดับ 1 ในราชอาณาจักร” ไม่เป็นไรหรอกที่บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่อย่าง Saudi Aramco ได้ท่วมเศรษฐกิจด้วยเงินและสนับสนุนราชวงศ์มากมายมานานหลายทศวรรษ “เขาตั้งใจที่จะเป็นเศรษฐีและเป็นบุคคลสาธารณะ และเขาก็บรรลุเป้าหมายนั้น” อัล-ฟาดล์ จาก Saudi Hollandi Bank กล่าว “การรักษาสถานะจะยากกว่ามาก”

คำพูดเหล่านี้ได้รับการยืนยันหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO ไม่นาน ในช่วงเวลาของการเสนอขาย เมื่อ Kingdom มีมูลค่า 17 พันล้านดอลลาร์ บริษัทส่วนใหญ่ประกอบด้วยหุ้น Citi ซึ่งมีมูลค่าเกือบ 9.2 พันล้านดอลลาร์ แต่ฤดูร้อนปี 2550 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการลดลงอย่างรวดเร็วและยาวนานซึ่งถูกเร่งโดยการโจมตีของ วิกฤตการเงินโลก ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 ราคาหุ้นของ Citi ลดลงเกือบ 90% หุ้น Kingdom Holding ลดลงระหว่างต้นปี 2551 ถึงต้นปี 2552 โดยขาดทุน 60% เป็นผลให้โชคลาภของเจ้าชายลดลง 8 พันล้านดอลลาร์ และในช่วงเวลาที่มีการเปิดเผยรายชื่อมหาเศรษฐีของ Forbes ในปี 2552 มีมูลค่าเพียง 13.3 พันล้านดอลลาร์

แต่แล้วในต้นปี 2010 หุ้นของ Kingdom Holding ทะยานขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์ โดยราคาหุ้นพุ่งขึ้น 57% ในช่วง 10 สัปดาห์ก่อนจะถึงเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันที่ Forbes สรุปรายชื่อมหาเศรษฐี ในขณะที่หุ้นของ Citigroup ลดลง 20% เจ้าชายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในการจัดอันดับของ Forbes สู่อันดับที่ 19 (19.4 พันล้านดอลลาร์)

ในปี 2554 สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในช่วง 10 สัปดาห์ก่อนที่ Forbes จะเสร็จสิ้นรายชื่อ หุ้นของ Kingdom Holding เพิ่มขึ้น 31% ในขณะที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ซาอุดีอาระเบียเพิ่มขึ้น 3% และ S&P 500 เพิ่มขึ้น 9% (ในปีนั้น เจ้าชายอัล-วาลีดอยู่ในอันดับที่ 26 ของโลก ด้วยทรัพย์สินประมาณ 19.6 พันล้านดอลลาร์) สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นในปี 2012 เมื่อหุ้น Kingdom เพิ่มขึ้น 56% ในช่วง 10 สัปดาห์จนถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ในขณะที่ตลาดซาอุดิอาระเบียเพิ่มขึ้นเพียง 11% และ S&P 500 เพิ่มขึ้น 9% ครั้งนี้ al-Waleed อยู่ในอันดับที่ 29 ด้วยโชคลาภ 18 พันล้านดอลลาร์ หลังจากที่ Forbes ไม่ได้คำนึงถึงการอ้างสิทธิ์ของเขาในทรัพย์สินจำนวนมากที่ Kingdom Holding ไม่ได้เป็นเจ้าของ

ในเวลาเดียวกัน อดีตผู้จัดการที่ใกล้ชิดกับอัล-วาลีดหลายคนเริ่มเล่าเรื่องเดียวกันให้ฟอร์บส์ฟัง นั่นคือเจ้าชายใช้น้ำหนักทางการเมืองเพื่อเพิ่มโชคลาภของเขา

หลักฐานของพวกเขาอยู่บนพื้นฐานของการสังเกตหุ้นอย่างใกล้ชิดมากกว่าหลักฐานโดยตรง แต่ผู้จัดการคนหนึ่งกล่าวว่าเขาไม่สามารถหาคำอธิบายอื่นใดเกี่ยวกับความจริงที่ว่าราคาหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกันกับที่สินทรัพย์หลักซึ่งเป็นสัดส่วนการถือหุ้นที่สำคัญใน Citi กำลังลดลง

“มันเป็นกีฬาประจำชาติ” ผู้จัดการยุคแรกของอัล-วาลีดคนหนึ่งกล่าว โดยเสนอคำอธิบายของเขาเองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของตลาด - มีผู้เล่นน้อย พวกเขามาพร้อมกับเงินทุนจำนวนมากและซื้อจากกัน ไม่มีคาสิโนในประเทศ นี่คือบ่อนการพนันสำหรับชาวซาอุดีอาระเบีย” นักวิเคราะห์ที่เฝ้าดูซาอุดีอาระเบียยังกล่าวเช่นนี้อีก แต่เลือกที่จะไม่เปิดเผยตัวตนเพราะคำพูดของเขาอาจทำลายความสัมพันธ์ทางธุรกิจของเขาได้: “ตลาดนี้จัดการได้ง่ายมาก” และยิ่งง่ายกว่านี้อีกหากคุณเช่น Kingdom Holding “มีน้อย หุ้น Free Float” CFO Sanbar ตอบว่า: “ไม่มีใครสามารถให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงระยะสั้นของราคาหุ้นหรือแนวโน้มของตลาดได้”

ไม่ว่าแรงผลักดันจะเป็นเช่นไร ปีที่แล้วก็เป็นปีแห่งสถิติ ในปี 2012 รายได้สุทธิของ Kingdom Holding เพิ่มขึ้นเพียง 10.5% เป็น 188 ล้านดอลลาร์ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ซาอุดีอาระเบียเพิ่มขึ้น 6% และดัชนี S&P เพิ่มขึ้น 13% แต่ราคาหุ้นของ Kingdom เพิ่มขึ้น 136% Sanbar หมายถึง "ความเชื่อมั่นของตลาดที่ว่าบริษัทสามารถปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาได้ตลอดเวลา และมอบผลตอบแทนที่สำคัญแก่ผู้ถือหุ้น"

ปัจจุบันมูลค่าหลักทรัพย์ของ Kingdom Holding อยู่ที่ 107 เท่าของรายได้ ซึ่งไม่สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านมูลค่าที่เจ้าชายใช้เป็นนักลงทุน มีตัวอย่างของการประเมินมูลค่านี้: มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของ Amazon อยู่ที่ 224 เท่าของรายได้ก่อนหักภาษีปี 2555 Sanbar ยังชี้ให้เห็นว่า Tadawul มีหลักทรัพย์อื่น ๆ อีกมากมายที่ราคาเพิ่มขึ้นมากกว่า 130% ในปี 2555

ปัญหาของราชอาณาจักรคือความแตกต่างระหว่างราคาหุ้นกับสินทรัพย์ที่แท้จริงหรือปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ

หนึ่งในห้าของสินทรัพย์สุทธิของ Kingdom มีการลงทุนทางการเงินในหุ้น ซึ่งมีการซื้อขายต่ำกว่าการถือครองถึง 82% และแทบจะไม่สมเหตุสมผลเลยที่นักลงทุนจะลงทุนในส่วนที่เหลือ เนื่องจากแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทราบว่าบริษัทเป็นเจ้าของอะไร เมื่อบริษัทออกสู่สาธารณะ บริษัทได้ออกหนังสือชี้ชวนรายละเอียด 240 หน้าโดยจดทะเบียนหุ้นใน 21 บริษัท ซึ่งรวมถึงบริษัทในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ เช่น News Corp., Apple และ Citi ตลอดจนหุ้นในโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในซาอุดีอาระเบีย

แต่ในขณะที่สำนักพิมพ์ของเจ้าชายออกข่าวเกือบทุกวันเกี่ยวกับบุคคลที่พระองค์พบ แต่รายงานประจำปีและเอกสารทางการเงินในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากลับไม่มีชื่อหุ้นหรือการถือครองที่บริษัทถืออยู่ในปัจจุบัน และไม่ได้เอ่ยถึงหุ้นที่มีสิทธิออกเสียง 7% ในนิวส์ คอร์ปด้วยซ้ำ . เราทราบเกี่ยวกับการซื้อกิจการครั้งนี้จากเอกสารที่ News Corp. ยื่นต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

Ernst & Young ผู้ตรวจสอบบัญชีของ Kingdom ยังได้หยิบยกข้อกังวลเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างราคาและสินทรัพย์ ในปี 2552 และ 2553 พวกเขาได้ลงนามในรายงานประจำปี แต่ทั้งสองครั้งสังเกตเห็นความแตกต่างอย่างมากระหว่างการประเมินราคาหุ้นในตลาดและการประเมินมูลค่าโดยการถือครอง ผู้ตรวจสอบบัญชีตั้งข้อสังเกตว่ามีความแตกต่างกันมาก โดยที่เจ้าชายทรงลงทุนหุ้น Citi ของพระองค์เองจำนวน 180 ล้านหุ้น มูลค่า 600 ล้านดอลลาร์โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายสำหรับราชอาณาจักร เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงการลดราคาหุ้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง เจ้าชายกำลังโอนทรัพย์สินส่วนตัวที่เขาเป็นเจ้าของ 100% ให้กับบริษัทมหาชนซึ่งเขาเป็นเจ้าของเพียง 95% โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อปรับปรุงการรายงานและประสิทธิภาพของตลาด Ernst & Young พูดอะไรในปี 2554 ไม่มีอะไร. พวกเขาถูกแทนที่ด้วย Pricewaterhousecoopers ในการประชุมประจำปีในเดือนมีนาคมปีนี้

Sunbar บอกกับ Forbes ว่าไม่มีการซื้อขายหุ้นมาตั้งแต่ปี 2551 แต่เราไม่ทราบว่ามีการซื้อขายหุ้นใดบ้าง (ถ้ามี) ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2550 ถึงสิ้นปี 2551 ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2555 Kingdom ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์โดยอ้างว่าได้ลงทุนใน Twitter มูลค่า 300 ล้านดอลลาร์ โดยครึ่งหนึ่งของเงินทุนมาจาก Kingdom Holding ครึ่งหนึ่งมาจากเงินทุนส่วนตัวของเจ้าชาย Sunbar ยืนยันว่าสัดส่วนการถือหุ้นใน Apple, eBay, PepsiCo, Priceline, Procter & Gamble และบริษัทอื่นๆ อีกหลายแห่งไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ในฐานะนักลงทุนใน Kingdom คุณจะไม่รู้เรื่องนี้จากรายงานประจำปี หมายเหตุในงบการเงินปี 2555 แสดงรายการสินทรัพย์ส่วนตัวมูลค่า 2.1 พันล้านดอลลาร์ที่ไม่ได้รับการตรวจสอบ และระบุไว้ในประโยคเดียวว่า "การดำเนินงานของกลุ่มทุนกระจุกตัวอยู่ในสหรัฐอเมริกาและตะวันออกกลาง" การเปิดเผยข้อมูลขั้นต่ำนี้ "จะไม่ผ่านการทดสอบสามัญสำนึกในสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน" Jack Sisilsky ผู้จัดพิมพ์จดหมายข่าว The Analyst's Observer กล่าว

คำตอบของซันบาร์เหรอ? “เราไม่ใช่กองทุนรวม และไม่มีข้อบังคับที่เราต้องเปิดเผยองค์ประกอบของพอร์ตโฟลิโอของเราให้ใครก็ตาม”

แม้ว่ามูลค่าของบริษัทมหาชนมักจะถูกกำหนดโดยตลาด เมื่อพิจารณาจากการขาดความโปร่งใสของราชอาณาจักร หุ้นที่โดดเด่นต่ำ และแนวทางปฏิบัติในการซื้อขายที่น่าสงสัย Forbes จึงตัดสินใจมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์จริง เราประเมินผลตอบแทนจากผลประโยชน์ด้านการจัดการโรงแรมของ Four Seasons, Movenpick และ Fairmont Raffles และทำงานร่วมกับวาณิชธนกิจที่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมโรงแรมเพื่อใช้อัตราส่วนที่สูงสำหรับบริษัทมหาชน นอกจากนี้เรายังคำนวณมูลค่าสุทธิของหนี้ของส่วนได้เสียในโรงแรมมากกว่า 15 แห่งที่ Kingdom เป็นเจ้าของ

เมื่อพิจารณาถึงการถือครองอื่นๆ ที่เราสามารถระบุได้ รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ในซาอุดีอาระเบียและพอร์ตหุ้นของบริษัทต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาและตะวันออกกลาง เราประเมินมูลค่าหุ้นของเจ้าชายใน Kingdom Holding ที่ 10.6 พันล้านดอลลาร์ หรือน้อยกว่า 9.3 พันล้านดอลลาร์ เกรดตลาด

แม้ว่าเจ้าชายจะถือว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาที่รายงานไว้มูลค่า 9.7 พันล้านดอลลาร์นอกซาอุดีอาระเบียก็ตาม: แซนบาร์จดทะเบียนทรัพย์สินในซาอุดิอาระเบียคาดว่าจะมีมูลค่า 4.6 พันล้านดอลลาร์ ส่วนหุ้นในบริษัทสื่อของอาหรับมีมูลค่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ (ฟอร์บส์ลดราคาตัวเลขนี้เพราะเจ้าชายใช้ มูลค่าสุทธิปัจจุบันของรายได้ในอนาคต และเราใช้ตัวคูณรายได้ในปัจจุบัน) และเงินลงทุนอีก 3.5 พันล้านดอลลาร์ในบริษัทภาครัฐและเอกชนทั่วโลก - และแม้ว่าคุณจะรวมเครื่องบิน เรือยอชท์ รถยนต์ และเครื่องประดับจำนวนมาก การประมาณการขั้นสุดท้ายของ Forbes ก็ไม่ได้ เกินกว่า 20 พันล้านดอลลาร์ ยังคงเป็นชายที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอาหรับ ยังคงมากกว่าปีที่แล้วถึง 2 พันล้านดอลลาร์ แต่น้อยกว่าที่เจ้าชายอ้างไว้ถึง 9.6 พันล้านดอลลาร์ และเนื่องจาก Forbes มีความภาคภูมิใจในการประเมินมูลค่าแบบอนุรักษ์นิยม ในกรณีนี้ เราเชื่อว่ารายได้ที่ได้จะยิ่งลดลงหากสินทรัพย์ถูกขายไป

คำสั่งของเจ้าชาย

หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ Forbes จะคำนวณเสร็จสิ้น เจ้าชายทรงพระราชทานคำสั่งโดยตรงแก่ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินว่าอันดับของเขาในรายชื่อ Forbes ประจำปี 2013 สอดคล้องกับความปรารถนาของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โชคลาภของเขามีมูลค่า 29.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะดึงเขากลับมา สิบอันดับแรก - สถานที่ที่เขาใฝ่ฝันมาก แหล่งข่าวของเราซึ่งไม่ใช่พนักงานของบริษัทและคุ้นเคยกับวิธีคิดและการพูดของเจ้าชายเป็นอย่างดี อ้างว่าการออกคำสั่งโดยตรงไปยังซันบาร์นั้นถูกกำหนดขึ้นเพื่อเป็นข้อกำหนดในการ "ใช้มาตรการที่รุนแรง"

ตามมาด้วยจดหมายรายละเอียดสี่ฉบับจากซันบาร์ที่วิพากษ์วิจารณ์นักข่าวของเราและวิธีการของเราในการมีอคติต่อเจ้าชาย “เหตุใด Forbes จึงใช้มาตรฐานที่แตกต่างกันกับมหาเศรษฐีที่แตกต่างกัน เป็นเพราะภูมิหลังของเราหรือเปล่า” - ถามซันบาร์

ในจดหมายฉบับหนึ่ง Sanbar ยืนยันว่ามูลค่าการถือครองของ Kingdom พุ่งสูงขึ้น แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด อย่างไรก็ตาม เขาได้กล่าวถึงว่า Kingdom ได้ลดผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงในพอร์ตโฟลิโอลงเกือบ 1 พันล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ปี 2551 ในจดหมายอีกฉบับหนึ่ง เขากล่าวว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์ของซาอุดีอาระเบียใช้เวลา 12 เดือนในการตรวจสอบการเสนอขายหุ้น IPO ของราชอาณาจักรในปี 2550 “นี่เป็นอันตรายต่อการสถาปนาความสัมพันธ์ซาอุดีอาระเบีย-อเมริกัน การกระทำของ Forbes เป็นที่รังเกียจต่อราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และไม่สอดคล้องกับการแสวงหาความก้าวหน้า"

ในที่สุด ซันบาร์ยืนยันว่าชื่อของอัล-วาลีดถูกลบออกจากรายชื่อมหาเศรษฐี เว้นแต่ว่าฟอร์บส์จะเพิ่มการประเมินความมั่งคั่งของเขา ขณะที่ Forbes ถามคำถามที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นในขณะที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง เจ้าชายทรงประกาศผ่านห้องทำงานของเขาเพียงฝ่ายเดียวหนึ่งวันก่อนที่จะมีการตีพิมพ์ว่าเขากำลังจะ “ตัดสัมพันธ์” กับรายชื่อมหาเศรษฐีของ Forbes “เจ้าชายอัล-วาลีดตัดสินใจเช่นนี้ เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถมีส่วนร่วมในกระบวนการที่อิงข้อมูลที่บิดเบือนได้อีกต่อไป และดูเหมือนว่าจะมุ่งเป้าไปที่การทำให้นักลงทุนและสถาบันในตะวันออกกลางเสื่อมเสียชื่อเสียง”

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราเป็นพันธมิตรที่เต็มใจของทีม Forbes และได้ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องในวิธีการของเราซ้ำแล้วซ้ำอีกซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไข” Sanbar กล่าวในแถลงการณ์ “อย่างไรก็ตาม หลังจากหลายปีของความพยายามของเราในการแก้ไขข้อผิดพลาดโดยถูกละเลย เราก็ได้ข้อสรุปว่า Forbes จะไม่ปรับปรุงความแม่นยำในการประเมินการถือครองของเรา และตัดสินใจที่จะก้าวไปข้างหน้า”

แล้วเจ้าชายบอกเราเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาอย่างไร? ผ่านการแถลงข่าว.

แปลโดย Natalia Balabantseva

จากบรรณาธิการ- ในปี 2013 เจ้าชายอัล-วาลีด บิน ทาลาล ได้ยื่นฟ้องนิตยสาร Forbes โดยกล่าวหาว่าการตีพิมพ์เผยแพร่ทรัพย์สมบัติของเขาน้อยไป และด้วยเงิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้เขาอยู่ในอันดับที่ 29 ในการจัดอันดับของ Forbes เจ้าชายเองก็ประเมินทรัพย์สมบัติของเขาไว้ที่ 29.6 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเขาจะติดอยู่ในสิบอันดับแรกของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ในปี 2558 ทั้งสองฝ่ายกล่าวว่าความขัดแย้งทางกฎหมายได้รับการแก้ไขแล้ว “ตามเงื่อนไขที่ยอมรับร่วมกัน” ในการจัดอันดับมหาเศรษฐีทั่วโลกในปี 2560 เจ้าชายอยู่อันดับที่ 45

ความมั่งคั่งอันมหาศาลของชีคอาหรับกลายเป็นที่พูดถึงกันมานานแล้ว เอกสารที่ได้รับจาก WikiLeaks ให้รายละเอียดว่าสมาชิกของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียแบ่งรายได้จากทองคำดำอย่างไร

เจ้าชายอัล-วาลีด บิน ทาลาลแห่งซาอุดิอาระเบีย ทรงอาศัยอยู่กับภรรยาและลูกๆ ของเขาอย่างยิ่งใหญ่ พระราชวัง- มีห้องพักทั้งหมด 317 ห้อง สระว่ายน้ำ 3 สระ และโรงภาพยนตร์ 1 ห้อง มีห้องครัวห้าห้อง แต่ละคนมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางตามประเพณีการทำอาหารบางอย่าง - อาหรับ ตะวันออกไกล และยุโรป หนึ่งใช้สำหรับการเตรียมของหวานเท่านั้น พ่อครัวที่ทำงานในวังสามารถเตรียมอาหารให้คนสองพันคนได้ภายในหนึ่งชั่วโมง

เจ้าชายวัย 56 ปีมีรถยนต์หรูหรา 200 คันในโรงรถของเขา รวมถึงโรลส์-รอยซ์ ลัมโบร์กีนี และเฟอร์รารี อัล-วาลิดยังมี "พระราชวังบิน" ที่สร้างขึ้นใหม่ในลักษณะพิเศษอีกด้วย และเขาสามารถผ่อนคลายกับเรื่องเดียวกับที่แสดงในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ เรื่อง Never Say Never Again โชคลาภของเจ้าชายมีมูลค่ารวมหลายพันล้านดอลลาร์

[NEWSru.com, 11/14/2007, “เจ้าชายซาอุดีอาระเบียซื้อเครื่องบิน A380 เพื่อเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังบินได้”: เจ้าชายวาลีด หลานชายของกษัตริย์อับดุลลาห์ อัล ซูด แห่งซาอุดีอาระเบีย เป็นเจ้าของหุ้นทางอ้อม 3.6% ของหุ้นซิตี้กรุ๊ปผ่านทาง บริษัท ซาอุดีอาระเบีย ราชอาณาจักร เขาควบคุมโฮลดิ้งและตามนิตยสาร Forbes อยู่ในอันดับที่ 13 ในรายชื่อบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก (ตามแหล่งข้อมูลอื่น - ที่ห้า) เจ้าชายทรงรู้เรื่องความหรูหราเป็นอย่างดีและเป็นเจ้าของโรงแรมอันทรงเกียรติหลายแห่งในโลก เช่น George V ในปารีส, Plaza ในนิวยอร์ก, Savoy และ Four Seasons ในลอนดอน และ Nile Plaza Four Seasons ในไคโร - ใส่ครู]

ปรากฎว่ามีระบบ "ทุนการศึกษา" สำหรับสมาชิกราชวงศ์ นอกจากนี้ยังจัดตามยศอย่างเคร่งครัด ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 ลูก ๆ ของผู้ก่อตั้งซาอุดีอาระเบียสามารถรับรายได้ 200-270,000 ดอลลาร์ต่อเดือน ลูกหลานได้รับเงิน 27,000 เหลน - 13,000 และรุ่นต่อไป - 8,000 กษัตริย์องค์แรกมีพระราชโอรสหลายสิบองค์ ราชวงศ์มีประชากรเพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดพันคน ตัวแทนยังได้รับ "โบนัส" หลายล้านดอลลาร์ ในกรณีที่เจ้าชายต้องการจะอภิเษกสมรสหรือสร้างพระราชวังใหม่ นอกจากนี้ วงในยังจัดการการซื้อโดยรวม ซึ่งมีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี

เจ้าชายอัล-วาลีด บิน ทาลาล ซื้อเครื่องบินแอร์บัส A380 “พระราชวังบิน” ในราคา 300 ล้านดอลลาร์ ซึ่งการตกแต่งสำเร็จจะใช้เงินอีก 300 ล้านดอลลาร์

Golden Airbus: ความเป็นจริงของชีคอาหรับ ความฝันของมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย

เจ้าของเครื่องบิน A380 ลึกลับคือเจ้าชายอัล-วาลีด บิน ทาลาล บิน อับดุล อาซิซ อัล-ซาอูด

[RBC, 22/06/2007, “การจัดซื้อแห่งปี: 600 ล้านดอลลาร์สำหรับพระราชวังบิน”: มีการพูดถึง A380 มากมายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โปรดจำไว้ว่านี่คือเครื่องบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีราคาประมาณ 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ในรูปแบบผู้โดยสาร เครื่องบินยักษ์สองชั้นลำนี้สามารถบรรทุกคนได้ประมาณ 840 คน เห็นได้ชัดว่าผู้ซื้อส่วนตัวไม่ต้องการที่นั่งที่คับแคบมากนัก โดยธรรมชาติแล้ว เครื่องบินจะต้องได้รับการตกแต่งใหม่ทั้งหมด และไม่ต้องสงสัยเลยว่าการปรับแต่ง A380 จะกลายเป็นโครงการพิเศษในธุรกิจการบิน ตามรายงานบางฉบับ การเปลี่ยนแปลงอาจใช้เวลาประมาณหนึ่งปีและจะทำให้เจ้าของเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก แน่นอนว่าเจ้าของวังสวรรค์ในอนาคตจะไม่เสียเวลากับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และจะสั่งการออกแบบที่น่าทึ่งและตัวเลือกเพิ่มเติมมากมาย ในกรณีนี้ค่าใช้จ่ายของสายการบินพิเศษจะเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่านั่นคือ สูงถึง 600 ล้านดอลลาร์
การประกาศข้อตกลงที่ไม่เคยมีมาก่อนของตัวแทนของแอร์บัสได้สร้างความสนใจให้กับนักบินทั่วโลก เป็นการยากที่จะจินตนาการถึงสิ่งที่จะปรากฏในห้องโดยสารของยักษ์แทนที่จะเป็นที่นั่งผู้โดยสารมาตรฐาน 900 ตร.ม. พื้นที่ m ให้โอกาสมากมายในการตระหนักถึงจินตนาการ ไม่น่าเป็นไปได้ที่เราจะได้เห็นผลงานของนักออกแบบ: เครื่องบินเป็นแบบส่วนตัว แต่คุณสามารถเข้าใจคร่าวๆ ได้โดยดูจากรุ่น A380 VIP ที่ถูกนำเสนอในนิทรรศการการบินธุรกิจที่เมืองเจนีวาเมื่อเร็วๆ นี้ ตามที่นักออกแบบของแอร์บัส วังบินต้องมีห้องฉายภาพยนตร์ในรูปแบบของอัฒจันทร์ความจุ 15-20 ที่นั่ง รวมถึงห้องประชุมด้วย อ่างจากุซซี่ที่ระดับความสูงหลายกิโลเมตร? อย่างง่ายดาย! จะต้องมีโรงจอดรถชั้นล่าง
ปัญหาเดียวของซูเปอร์เจ็ตก็คือไม่ใช่ทุกสนามบินที่ไม่สามารถรองรับยักษ์ใหญ่เช่นนี้ได้ แต่สิ่งนี้ไม่น่าจะทำให้เจ้าของอารมณ์เสีย เครื่องบินที่ทรงพลังเช่นนี้ซึ่งลดน้ำหนักผู้โดยสารและที่นั่งได้ 840 ที่นั่งก็กลายเป็นเพียงสัตว์ประหลาด “ลักษณะการบินของสายการบินดังกล่าวจะเปลี่ยนไปอย่างมากในทางที่ดีขึ้น” Rustem Arinov รองผู้อำนวยการฝ่ายการค้าของบริษัท Moscow Sky กล่าว - ความเร็วจะเพิ่มขึ้นและการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงจะลดลงอย่างรวดเร็ว จะมีความเป็นไปได้ที่จะมีเที่ยวบินแบบไม่แวะพักเกือบทั่วโลก” “นอกจากนี้ เครื่องบิน A380 ยังใช้เทคโนโลยีอวกาศโดยใช้วัสดุคอมโพสิตโดยไม่มีหมุดย้ำ ซึ่งช่วยลดแรงต้านของอากาศได้อย่างมาก” R. Arinov กล่าว - ใส่ครู]

เจ้าชายจะสามารถย้ายเข้าที่พักบินได้ภายในสองปี แต่ตอนนี้รายละเอียดแรกปรากฏขึ้นเกี่ยวกับการดัดแปลงใดที่เครื่องบินขนาดยักษ์จะต้องเผชิญ สิ่งที่น่าสนใจที่สุดจะดึงดูดสายตาของทุกคนที่มองเห็นเครื่องบินของเจ้าชาย ยิ่งไปกว่านั้น ในวันที่อากาศดี แม้จะมองจากพื้นดิน คุณก็สามารถเดาได้ว่า Al-Walid bin Talal bin Abdul Aziz al-Saud กำลังบินอยู่เหนือศีรษะของคุณ เครื่องบินจะส่องแสงท่ามกลางแสงอาทิตย์ - เจ้าชายตัดสินใจปิดทองแอร์บัสของเขาอย่างแท้จริง การเคลือบตัวเครื่องบินด้วยโลหะมีค่าจะทำให้คนรักหรูหราชาวอาหรับต้องเสียเงิน 58 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับ A 380 นั้น เจ้าชายจ่ายไป 300 ล้าน ตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การสร้างใหม่จะมีราคาเท่ากัน

ภายในของพระราชวังบินจะไม่เรียบง่ายไปกว่าภายนอก ตัวเลือกการออกแบบโดยประมาณสำหรับการตกแต่งภายในของพระราชวังบินได้ปรากฏขึ้นแล้ว จนถึงขณะนี้มีข้อมูลรั่วไหลไปยังสื่อมวลชนว่าจะมีสระว่ายน้ำและห้องซาวน่าบนเรือ ห้องรับประทานอาหารบนเรือสำหรับเจ้าชายจะปูด้วยหินอ่อน และผนังของห้องอื่นๆ บางห้องจะตกแต่งด้วยแผงไฮเทคขนาดใหญ่ที่ใช้ใยแก้วนำแสงพร้อมทิวทัศน์ของทะเลทรายอาหรับ ในเที่ยวบินระยะไกล bin Talal ไม่เพียงแต่จะดื่มด่ำกับความสุขเท่านั้น แต่ยังออกกำลังกายในโรงยิมของเขาเองด้วย โชคดีที่พื้นที่ใช้สอยภายในของ A380 นั้นเพียงพอที่จะรองรับสนามวอลเลย์บอลได้มากกว่าหนึ่งสนาม เป็นต้น

เพื่อให้ทราบคร่าวๆ เกี่ยวกับขนาดของ A380 ควรทราบว่าในรุ่นพื้นฐานเครื่องบินลำนี้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 840 คน! ความสูง 24 เมตร ยาว 73 เมตร ปีกกว้าง 79.4 เมตร ข้อเสียอย่างเดียวของขนาดนี้คือ A380 ไม่สามารถรองรับสนามบินใดๆ ได้ แต่เจ้าชายไม่น่าจะอารมณ์เสียกับเหตุการณ์นี้ ท้ายที่สุดแล้ว กองเรือของเขามีเครื่องบินอยู่แล้ว และอาจมีมากกว่าหนึ่งลำด้วย -

ในช่วงกลางเดือนเมษายน พ.ศ. 2547 หนึ่งในผู้เล่นที่ฉลาดและมีอำนาจมากที่สุดซึ่งเป็นผู้บัญชาการภาคสนามชาวอาหรับได้ออกจากฉากทางการเมืองของเชชเนีย ส่วนสำคัญในชีวิตของเขาผ่านไปภายใต้เงาของผู้บัญชาการชาวอาหรับผู้โด่งดังอีกคน - และแม้กระทั่งตอนนี้ กว่าสองปีหลังจากที่ “อาหรับผิวดำ” ออกไปอีกโลกหนึ่ง ตัวตนของรองผู้ว่าการของเขาตลอดจนสถานการณ์การเสียชีวิตของเขายังคงถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับ เราสามารถเปิดม่านของความลึกลับนี้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับตัวละครตัวนี้ไม่น่าจะสมบูรณ์และเชื่อถือได้

ชื่อจริงของอบู อัล-วาลิด คือ อับดุลอะซิซ อัล-ฆอมีดี เขาเกิดในปี 1967 ในจังหวัด Baljurashi ของซาอุดีอาระเบีย ในครอบครัวของ Saeed bin Ali al-Ghamidi ซึ่งเป็นพ่อค้าอสังหาริมทรัพย์ ไม้ และสี เนื่องจากอับด์อัล-อาซิซเป็นบุตรชายคนที่สองในสิบเอ็ดคนของซาอิด เบน อาลี เขาจึงไม่จำเป็นต้องนับส่วนสำคัญใดๆ ในมรดกของบิดาของเขา บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงเลือกชีวิตที่วุ่นวายของทหารรับจ้างที่มีอุดมการณ์ ต่อสู้เพื่อเงินและเพื่อความเชื่อทางศาสนาอย่างเท่าเทียมกัน

ภูมิหลังทางครอบครัวของ Abd al-Aziz ก็มีส่วนในเรื่องนี้เช่นกัน ความจริงก็คือ al-Ghamidi เป็นนามสกุลซาอุดิอาระเบียเก่าซึ่งสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าฮามิดและโดดเด่นด้วยความกระตือรือร้นทางศาสนาที่สำคัญเสมอ สมาชิกแต่ละคนของครอบครัวนี้สามารถบรรลุตำแหน่งสูงในลำดับชั้นของซาอุดิอาระเบีย ดังนั้น จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ กงสุลซาอุดิอาระเบียในมอสโกคืออับดุลลาห์ อัล-ฆามิดี อย่างไรก็ตาม Abd al-Aziz ลูกชายของพ่อค้าแทบไม่หวังว่าจะได้เป็นกงสุลและตั้งแต่แรกเริ่มก็สามารถพึ่งพาพลังงานของเขาเองเท่านั้น “ทายาทแห่งตระกูลขุนนาง” อีกสองคน ได้แก่ อาหมัด อิบราฮิม อัล-คาซนาวี อัล-กามิดี และซาอิด อัล-กามิดี ซึ่งเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 พร้อมด้วยผู้ก่อการร้ายอีกสองคน ได้จี้เครื่องบินโบอิ้ง 757 ที่ตกในเพนซิลเวเนียด้วย สิ่งเดียวกันนี้เชื่อกันว่าเป็นผลมาจากการต่อสู้ระหว่างผู้โดยสารกับโจรสลัดทางอากาศ

โดยทั่วไปแล้ว ความสัมพันธ์ในครอบครัวของอาบู อัล-วาลิดค่อนข้างซับซ้อน ในด้านหนึ่ง ครอบครัวพ่อแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่และสบายดีในซาอุดิอาระเบีย ในเชชเนีย Abu al-Walid แต่งงานกับหญิงชาวเชเชนซึ่งมีลูกชายสองคนคือ Omar และ Saleh ในทางกลับกัน ด้วยเหตุผลบางประการ จึงมีข่าวลืออย่างต่อเนื่องในหมู่กลุ่มติดอาวุธชาวเชเชนว่า Abu al-Walid เป็นลูกพี่ลูกน้องของ Khattab ชาวจอร์แดน แต่ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง al-Walid ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวประวัติการต่อสู้ของเขาในฐานะ "น้องชาย" ของ "อาหรับผิวดำ" โดยทำงานให้เขา "อยู่ในปีก" และพิจารณาตัวเองว่าเป็นอุปราชของเขา

หนุ่ม Abu al-Walid ก้าวแรกของเขาในฐานะนักสู้ในอัฟกานิสถาน โดยต่อสู้กับ Khattab เพื่อต่อสู้กับกองทัพโซเวียตที่นั่น ต่อมาหลังจากการสถาปนาระบอบตอลิบาน เขาได้ไปเยือนอัฟกานิสถานหลายครั้ง เข้าอบรมเพิ่มเติมที่นั่น และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิดชั้นหนึ่ง

หลังจากอัฟกานิสถาน มีผู้พบเห็นอาบู อัล-วาลิดในยูโกสลาเวีย ซึ่งเขาต่อสู้เคียงข้างชาวมุสลิมบอสเนีย การเข้าร่วมในการรณรงค์ของชาวเชเชนครั้งแรกของเขานั้นเป็นที่น่าสงสัย: ในเวลานั้นเขากำลังเรียนรู้ความซับซ้อนของระเบิดของฉันในค่ายใกล้กับกลุ่มตอลิบานในอัฟกานิสถาน การปรากฏตัวครั้งแรกที่เชื่อถือได้ของเขาในเชชเนียสามารถย้อนกลับไปในปี 1997: เขาเดินทางไปยังดินแดนของสาธารณรัฐกบฏจากอัฟกานิสถานผ่านทาจิกิสถาน ยิ่งไปกว่านั้น เขากลายเป็นคนสนิทของ Khattab และเป็นมือขวาของเขาเกือบจะในทันที โดยมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องเสบียงและเงินเดือนให้กับกลุ่มติดอาวุธ จริงอยู่ที่ในตอนแรกเขาดำรงตำแหน่งที่ค่อนข้างถ่อมตัวในลำดับชั้นของพวกอันธพาล: ตัวอย่างเช่นตามเอกสารที่ถูกจับในกรอซนีในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2543 อาบูอัล - วาลิดได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในยศพันโทและรองผู้บัญชาการกองพันของกรมทหารอิสลามคาตตับ ซึ่งประกอบด้วยทหารรับจ้างชาวอาหรับเป็นส่วนใหญ่

ในช่วงที่การดำรงอยู่ของ "Ichkeria" ของ Maskhadov สาธารณรัฐอยู่ในขอบเขตความสนใจที่ใกล้ที่สุดของ Osama bin Laden เขามีความหวังสูงสำหรับเชชเนียที่เป็นอิสระโดยตั้งใจที่จะเปลี่ยนให้เป็นกระดานกระโดดสำหรับกองกำลังก่อการร้ายระหว่างประเทศซึ่งจะสะดวกที่จะเริ่มการโจมตีดาเกสถานโดยมีเป้าหมายในการเปลี่ยนคอเคซัสให้เป็น "ป้อมปราการวาฮาบี" และหนึ่งในนั้น ฐานที่มั่นแห่งอนาคต “คอลีฟะห์” ในบรรดาเชื้อสายเชเชนทั้งหมด อาจมีเพียงคนเดียวที่ถูกสังหารเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ของปีนี้เท่านั้นที่สามารถอวดการติดต่อเป็นการส่วนตัวกับผู้ก่อการร้ายหมายเลข 1 อย่างไรก็ตาม แนวอำนาจหลักในวาฮาบีเชชเนียถูกสร้างขึ้นจากชาวอาหรับโดยเฉพาะ

ผู้ก่อการร้าย “นานาชาติ” อาหรับสี่คนรับผิดชอบต่อเชชเนียก่อนโอซามา บิน ลาเดน: คัตตับ, อาบู จาฟาร์, อาบู อูมาร์ และอาบู อัล-วาลิด ตามที่ทราบกันดีว่าสามคนแรกถูกชำระบัญชีระหว่างการรณรงค์ชาวเชเชนครั้งที่สอง และตอนนี้กลุ่มติดอาวุธชาวเชเชนเท่านั้นที่สูญเสียอัล - วาลิดซึ่งทางการรัสเซียเคยประกาศรางวัล 100,000 ดอลลาร์ในการชำระบัญชี

Abu al-Walid ร่วมกับ Khattab มีส่วนร่วมในการโจมตีดาเกสถาน โดยหวังว่าจะเปลี่ยนสาธารณรัฐนี้ เช่น เชชเนีย ให้เป็น "รัฐชารีอะ" แต่คราวนี้กิจการของกลุ่มติดอาวุธแทบไม่ประสบความสำเร็จเท่ากับในสงครามเชเชนครั้งแรก และเมื่อพวกเขาถูกบังคับให้กลับเข้าไปในเชชเนียและการรณรงค์ของชาวเชเชนครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น สถานการณ์เลวร้ายมากสำหรับทหารรับจ้างชาวอาหรับ

โชคของอัล-วาลิดก็หมดลงเช่นกัน ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2543 กลุ่มหนึ่งที่นำโดยอาคิเมซ โกชิยาเยฟ ซึ่งได้รับการฝึกฝนโดยอัล-วาลิดให้ทำการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในรัสเซีย ล้มเหลวและถูกต่อต้าน ในบรรดาสมาชิกแก๊งทั้งหมด มีเพียง Gochiyaev เท่านั้นที่สามารถหลบหนีได้ และในเดือนเดียวกัน Yaqub al-Ghamidi ญาติของ al-Walid ก็ถูกสังหาร

ก่อนที่ Khattab จะจัดการนักรบอาหรับที่มีประสบการณ์ประมาณหนึ่งพันคน ซึ่งหลายคนเริ่มต่อสู้กับเขาในอัฟกานิสถานและบอสเนีย ด้วยการใช้ที่กำบังของชาวเชเชนและดาเกสถานวาฮาบิส คัตตับสามารถรักษากองกำลังส่วนใหญ่ของเขาไว้และถอนพวกเขาไปยังเชชเนีย ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2542 ช่วงเวลาที่ยากลำบากมาถึงพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะยังคงสามารถวางใจในการสนับสนุนจากประชากรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ทางใต้ของเชชเนีย แต่ในหมู่ชาวเชเชนธรรมดาจำนวนมากมีการปฏิเสธคำสั่งที่ Khattab, Abu al-Walid และผู้บัญชาการภาคสนามชาวอาหรับคนอื่น ๆ นำมาด้วยมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขา.

อย่างไรก็ตาม Khattab ยังคงมีไพ่ทรัมป์หลักสองใบอยู่ในมือ - ประการแรก "กองทหารอิสลาม" ของเขาและประการที่สอง (และที่สำคัญกว่านั้น) ควบคุมเงินทุนที่มาถึงเชชเนียในนามขององค์กรหัวรุนแรงและผู้ก่อการร้ายต่างๆ โดยส่วนใหญ่มาจาก "กลุ่มภราดรภาพมุสลิม" ".

นอกจากความพ่ายแพ้ครั้งแรกแล้ว ความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้บัญชาการชาวเชเชนและอาหรับก็เริ่มขึ้นในเรื่องการจัดสรรเงินทุนเหล่านี้ ชาวเชเชน (และ "ผู้สนับสนุนจากต่างประเทศ") กล่าวหาชาวอาหรับอย่างสมเหตุสมผลว่ายักยอกส่วนสำคัญของความช่วยเหลือด้านวัตถุ กระแสการเงินไปยังเชชเนียเริ่มค่อยๆ หมดลง ดังที่การสืบสวนของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมแสดงให้เห็น เงินทุนส่วนใหญ่ถูกขโมยไปโดย Khattab และวงในของเขา เช่น Abu Umar หรือ Abu Sayyah ในช่วงสงคราม Khattab ได้สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหน้าที่บางคนของกลุ่มภราดรภาพมุสลิม สามารถจัดสรรเงินหลายสิบล้านดอลลาร์ได้

Abu al-Walid แม้ว่ามือขวาของ Khattab ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงและเปิดเผยในการโจรกรรมครั้งนี้ ดังนั้นเขาจึงได้รับตำแหน่งผู้แทนผู้มีอำนาจเต็มของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมในเชชเนียซึ่งก็คือในตำแหน่งของ Khattab แน่นอนว่าฝ่ายหลังไม่สามารถยืนดูได้ในขณะที่เขาถูกปัดเศษจากเงินจำนวนมากและจากอำนาจเหนือกลุ่มติดอาวุธเพียงผู้เดียว

ในบรรดาแม่ทัพทั้งหมด Khattab ไว้วางใจน้อยมากจริงๆ เขาเป็นคนสนิทของเขามาโดยตลอด แต่สิ่งนี้สามารถอธิบายได้มากกว่าความบังเอิญของผลประโยชน์ของผู้นำทั้งสองมากกว่าความไว้วางใจอย่างจริงใจระหว่างพวกเขา ในเวลาเดียวกัน Khattab มักจะวางตำแหน่ง Basayev ให้เป็นหัวหน้าอย่างเป็นทางการของกลุ่มก่อการร้ายโดยเลือกที่จะเป็น "ผู้มีชื่อเสียงสีเทา" และปกครองจากด้านหลัง Basayev ตัวอย่างเช่น ทันทีในปี 2544 ผู้บัญชาการ Ramzan Akhmadov เริ่มปรากฏตัวในฐานะผู้นำของ Wahhabis ตาม "ข้อดีการต่อสู้" ของเขา Khattab สั่งกำจัดเขาทันทีซึ่งดำเนินการโดยชาวอาหรับ Yakub จากการปลดของ Akhmadov

ตอนนี้ถือได้ว่าพิสูจน์ได้ว่าในฤดูใบไม้ร่วงปี 2544 “แมวดำวิ่งไปมาระหว่างผู้บัญชาการชาวอาหรับสองคน” Abu al-Walid ในฐานะ "หัวหน้าเรือนจำ" ได้เริ่มการสอบสวนเกี่ยวกับการหายตัวไปของเงินที่มีไว้สำหรับกลุ่มติดอาวุธ และโดยไม่ได้รับหลักฐานโดยตรง อย่างไรก็ตามก็สรุปได้ว่า Khattab อยู่เบื้องหลังเงินนั้น เนื่องจาก “ความคิดเห็นของสาธารณชน” ของกลุ่มติดอาวุธอยู่เคียงข้างอัล-วาลิด ซึ่งนำเสนอตัวเองว่าเป็นนักสู้ที่ไม่เสียสละเพื่อศรัทธา Khattab พบว่าตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่อันตราย แต่เขาเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะออกจากเชชเนียก่อนหน้านั้นนาน

ในช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงปี 2544 Khattab สามารถกำจัดเพื่อนร่วมงานเกือบทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับกลอุบายของเขาได้ นอกจากนี้สิ่งนี้มักดำเนินการโดยทหารรัสเซียเนื่องจาก Khattab ส่งผู้บัญชาการภาคสนามเหล่านี้ไปปฏิบัติภารกิจที่ยากและอันตราย นี่คือวิธีที่อบูดารร์ อบูอุมัร และอบูยะกูบถูกทำลาย และต่อมาคืออบูไซยะห์

ขณะเดียวกัน Abu al-Walid อยู่ด้านหลัง Khattab และเริ่มแผนการที่จะถอดถอนเจ้านายของเขา เขาสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่กลุ่มภราดรภาพมุสลิมได้โดยตรง เช่น อาบู ราเบีย และเริ่มพยายามควบคุมการจัดสรรเงินทุนด้วยตัวเอง แน่นอนว่า Khattab ไม่สามารถให้อภัยเรื่องนี้ได้

ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน พ.ศ. 2544 เขาได้ยื่นข้อกล่าวหาต่ออาบู อัล-วาลิด ว่าคนหลังกำลังวางแผนบางอย่างต่อต้านเขา และขู่ว่าจะฆ่าเขา ในช่วงฤดูหนาวปี พ.ศ. 2544-2545 Khattab ได้พัฒนาปฏิบัติการเพื่อทำลายรองผู้อำนวยการของเขา ด้วยเหตุนี้ Abu al-Walid จึงได้รับมอบหมายให้ดูแลเขตอันตรายทางใต้ของ Grozny

Abu al-Walid เข้าใจดีถึงการกระทำที่เจ้านายของเขากำลังเตรียมการ และตัดสินใจเป็นผู้นำ ก่อนอื่นเขาได้เตรียม "ทางเลือกสำรอง" - Abu Rabia ซึ่งอยู่ในทบิลิซีเตรียมเอกสาร เสื้อผ้าพลเรือน และเส้นทางไปจอร์เจียให้เขา หลังจากได้รับเส้นทางหลบหนีที่เป็นไปได้แล้ว Abu al-Walid ก็เริ่มดำเนินการ

ประการแรก เขาได้ขอความช่วยเหลือจากผู้รับผิดชอบจากกลุ่มภราดรภาพมุสลิมชื่อ Shagran และ Abu Qutayba Abu al-Walid สามารถโน้มน้าวพวกเขาได้ว่า Khattab และไม่มีใครต้องตำหนิสำหรับการลดลงของกิจกรรมการก่อการร้าย เนื่องจากเขายักยอกเงิน ป้องกันการรับสมัครผู้ก่อการร้ายรายใหม่ การซื้ออาวุธ วัตถุระเบิด กระสุน และอุปกรณ์

ความตายได้เข้าใกล้คัตตะบเข้ามาทุกที ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2545 Oybek Rasimov นักการเงินคนสุดท้าย (รองจาก Abu Yaqub และ Abu Sayyah) ของ Khattab ซึ่งมีชื่อเล่นว่า "อุซเบก" ถูกสังหาร เมื่อเขาเสียชีวิต Khattab ก็สูญเสียผู้บัญชาการคนสุดท้ายคนสุดท้ายซึ่งเขาสามารถไว้วางใจได้อย่างเต็มที่

แต่อาบู อัล-วาลิดไม่สามารถ “โค่นล้ม” คัตตับได้ตราบใดที่เขามีผู้พิทักษ์ที่มีอิทธิพลในองค์กรภราดรภาพมุสลิม หนึ่งในคนเหล่านี้คือ Abu Jaber ซึ่งพยายามตกแต่งความสำเร็จของ Khattab ตลอดเวลาและถือว่าผู้สนับสนุนของเขาทำให้ผลลัพธ์ทางการทหารสูงเกินจริงอย่างชัดเจน ตัวอย่างของกิจกรรมดังกล่าวคือปฏิบัติการโจรในเมือง Argun ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2544 ซึ่งดำเนินการโดยผู้คนจากกลุ่มที่เรียกว่า "Argun jamaat" ซึ่งนำโดย Ismail Eskiev อย่างหลังก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการพยายามหาเงินผ่าน Abu al-Walid ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาต่อต้าน Khattab โดยต้องการกระตุ้นให้เกิด "การประลอง" อย่างจริงจังกับฝ่ายหลัง อย่างไรก็ตาม Eskiev เสียชีวิตในการสู้รบ และ Abu Jaber ก็สามารถระบุผลลัพธ์ทั้งหมดว่าเป็นของ Khattab

ด้วยความเชื่อมั่นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัด Khattab ผ่านทางชีคขององค์กรภราดรภาพมุสลิม Abu al-Walid จึงตัดสินใจกำจัด Khattab ทางร่างกาย ซึ่งเขาสามารถทำได้เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ จริงอยู่ หลังจากนั้นแม้แต่ผู้สนับสนุนเช่น อบู กุตัยบะ ก็หันหลังให้กับอบู อัล-วาลิด แต่ในที่สุดตำแหน่งรองของ Khattab ก็ทำให้มั่นใจได้ว่า al-Walid เข้ามาแทนที่เขาหลังจากการตายของชาวอาหรับผิวดำ

ด้วยการสร้างสมดุลระหว่างความขัดแย้งระหว่างผู้บัญชาการภาคสนามและผู้อุปถัมภ์ชาวต่างชาติ Abu al-Walid al-Ghamidi จึงสามารถได้รับตำแหน่งที่โดดเด่นแบบเดียวกันในการกระจายกระแสทางการเงินเช่นเดียวกับที่ Khattab ซึ่งถูกสังหารด้วยความช่วยเหลือของเขาถูกยึดครอง ดังนั้น สำหรับการโจมตีของผู้ก่อการร้ายเพียงครั้งเดียวในรถไฟใต้ดินมอสโกเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 อาบู อัล-วาลิดได้รับเงินสี่ล้านครึ่งล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่เขาจัดสรรให้กับตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองปีนับตั้งแต่การเสียชีวิตของ Khattab สถานการณ์ในเชชเนียเริ่มไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อกลุ่มติดอาวุธ และได้รับเงินน้อยลงมากสำหรับการกระทำของผู้ก่อการร้าย และกลายเป็นเรื่องยากมากขึ้นในการดำเนินการ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนกล่าวว่า Abu al-Walid กำลังวางแผนเช่นเดียวกับ Khattab ที่จะออกจากเชชเนียและย้ายไปที่ภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกซึ่งเขายังสามารถสร้างรายได้ที่ดีจากการทำสงครามก่อการร้าย

การโจมตีด้วยขีปนาวุธและระเบิดในเวลาต่อมาบนฐานภูเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของอัล-วาลิดเมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2547 ทำให้การปรากฏตัวของเขาในเชชเนียสิ้นสุดลง และไม่สำคัญว่าเขาจะถูกฆ่า (ตามที่เป็นไปได้มากที่สุด) หรือแกล้งตายเพื่อออกจากเชชเนีย สิ่งสำคัญคือนี่คือตัวแทนหลักคนสุดท้ายของ "ผู้พิทักษ์เก่า" ชาวอาหรับของ Khattab ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงกับผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศและรับเงินจากพวกเขา ผู้ที่ตอนนี้ยังคงอยู่ในเชชเนียส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่เอกชนและไม่ใช่ชั้นสัญญาบัตรของกองทัพก่อการร้าย พวกเขายังคงมีความแข็งแกร่งในการโจมตีอย่างกล้าหาญ แต่ไม่น่าเป็นไปได้ที่อำนาจที่เพียงพอจะบังคับให้ผู้ก่อการร้ายระหว่างประเทศที่ร้ายแรงให้เคารพตนเองเช่นเดียวกับที่ Emir Khattab และ “น้องชาย” ของเขา Abu al-Walid al-Ghamidi ทำ