"ซากศพ" วิเคราะห์บทกวีของโบดแลร์ ห้องนิตยสาร
Charles Baudelaire เป็นหนึ่งในกวีที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งยุค Decadence งานของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ความเสื่อมโทรม และความสิ้นหวัง พระองค์ทรงเปิดเผยด้านที่ตายแล้วของจักรวาลแก่เรา ความตายในบทกวีของเขานั้นสวยงามและกินเวลานาน ความมืด ความเสื่อมสลาย จิตสำนึกแตกแยก และความเสื่อมสลายทางกายภาพเป็นองค์ประกอบหลักของผลงานของเขา สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เกิดความรังเกียจเลย แต่ในทางกลับกัน มันดึงดูดความสนใจและดึงคุณเข้าสู่ห้วงลึกของบทกวี ผลงานที่โด่งดังที่สุดชิ้นหนึ่งของเขามีชื่อว่า "Carrion" ชื่อนี้สะท้อนถึงแก่นแท้ของงานของเขา เป็นบทกวีลำดับที่ 29 ในชุด Les Fleurs de Evil ที่โด่งดังที่สุดของ Charles Baudelaire
งาน "Carrion" เขียนขึ้นระหว่างปี 1840 ถึง 1850 อนิจจา ไม่มีวันที่แน่นอนในการสร้างบทกวีนี้ สะท้อนถึงความกดดันภายในที่เกิดขึ้นในจิตวิญญาณของผู้เขียน นี่เป็นช่วงเวลาที่เขาได้พบกับความรักในชีวิตซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการเสื่อมสลายทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณในตัวเขา เธอคือรำพึงของเขา "Black Venus" ของเขา - นักบัลเล่ต์ Jeanne Duval
เขาไม่เพียงแต่รักเธอเท่านั้น แต่ยังยกย่องและยกย่องเธออีกด้วย เธอรักเขาหรือเปล่า? คำถามที่ถกเถียงกันมาก Jeanne Duval นั้นดูแปลกประหลาดเหมือนกัน ภายนอกสวยงาม แต่ข้างในเน่าเปื่อยและตายไปแล้ว ดอกไม้แห่งความชั่วร้ายที่มีพิษ ครอบครัวของโบดแลร์ไม่ยอมรับเธอจนกระทั่งวันสุดท้ายของเขา ซึ่งทำให้เขาพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้งแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ในขณะที่มีความสัมพันธ์กับ Duval เขากลายเป็นขาประจำในซ่องและสถานที่ซอมซ่ออื่น ๆ ซึ่งเขาได้ทำ "การทดลองประสาทหลอน" กับจิตสำนึกของเขาตกลงไปในความว่างเปล่าและหลบหนีจากความเป็นจริง นอกจากนี้คู่รักทั้งสองก็สลายตัวเกือบเป็นพาหะของ “โรคคิวปิด” (ซิฟิลิส) ในช่วงเวลาหนึ่ง โบดแลร์จวนจะยากจนในขณะที่เขาใช้เงินทั้งหมดที่เขาได้รับมาจากพ่อ ซึ่งจัดสรรให้เขาเป็นค่าใช้จ่ายในกระเป๋า สำหรับดื่ม ความบันเทิง และยาเสพติด และแน่นอน เทพีดูวัลของเขา
Charles Baudelaire เป็นแฟนตัวยงของสิ่งที่น่าตกตะลึง วันหนึ่งเขาปรากฏตัวที่ร้านตัดผมที่มีผมสีเขียว แต่ก็ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ ไม่มีใครสนใจเขาอีกต่อไป ท้ายที่สุดแล้ว ภายในเขาเกือบจะตาย กลายเป็นเปลือกไร้ชีวิตและทำให้เกิดความดูถูกและความสงสารเท่านั้น ประการแรก Carrion คือสภาวะของจิตวิญญาณของกวี เขาเป็นคนตกต่ำ มีศีลธรรมและเสื่อมโทรมไปบางส่วนทางร่างกาย บทกวีสะท้อนสภาพของเขาได้ดีที่สุด ในปีสุดท้ายของชีวิต โบดแลร์เกือบจะบ้าคลั่ง
เนสเตโรวา เอเลน่า:
ไม่นานฉันก็เจอ บริการหนึ่ง หลักสูตรเหล่านี้
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม >>
จะเขียนเรียงความสุดท้ายอย่างไรให้ได้คะแนนสูงสุด?
เนสเตโรวา เอเลน่า:
ฉันเข้าเรียนด้วยความรับผิดชอบเสมอ แต่ฉันมีปัญหากับภาษาและวรรณคดีรัสเซียตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ฉันมักจะได้เกรด C ในวิชาเหล่านี้ ฉันไปติวเตอร์และเรียนด้วยตัวเองหลายชั่วโมง แต่ทุกอย่างก็ยากมาก ใครๆ ก็บอกว่าฉันแค่ “ไม่ได้ให้”...
3 เดือนก่อนการสอบ Unified State (2018) ฉันเริ่มมองหาหลักสูตรเตรียมสอบต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต ฉันพยายามทุกอย่างแล้วและดูเหมือนว่าจะมีความก้าวหน้าอยู่บ้าง แต่ภาษาและวรรณคดีรัสเซียนั้นยากมาก
ไม่นานฉันก็เจอ บริการหนึ่งซึ่งพวกเขาเตรียมความพร้อมอย่างมืออาชีพสำหรับการสอบ Unified State และ State Examination คุณจะไม่เชื่อ แต่ใน 2 เดือนหลังจากเรียนบนแพลตฟอร์มนี้ ฉันสามารถเขียน Unified State Examination ในวรรณคดีได้ 91 คะแนน! ต่อมาฉันได้เรียนรู้ว่าหลักสูตรเหล่านี้เผยแพร่ในระดับรัฐบาลกลางและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในรัสเซียในขณะนี้ สิ่งที่ฉันชอบที่สุดคือการเตรียมการนั้นง่ายและผ่อนคลาย และครูประจำหลักสูตรก็แทบจะเป็นเพื่อนกัน ไม่เหมือนครูสอนพิเศษทั่วไปที่รู้สึกถึงความสำคัญของตนเองอย่างล้นหลาม โดยทั่วไปแล้ว หากคุณต้องการเตรียมตัวสำหรับการสอบ Unified State หรือ State Examination (ในทุกวิชา) ฉันแนะนำอย่างแน่นอน หลักสูตรเหล่านี้
ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม >>
การแปลที่ดีที่สุดคือผลงานของ V. Levik
ประเภท ทิศทาง และขนาด
บทกวีนี้เขียนในรูปแบบของความสง่างาม ในนั้นผู้เขียนได้สรุปความรู้สึกทางอารมณ์จากชีวิตของเขาเองโดยมองทุกสิ่งจากมุมมองที่ต่างออกไป
คำแปลของ "Carrion" มีมิเตอร์แบบผสม: iambic hexameter ในเส้นคี่และ pentameter ในเส้นคู่
แน่นอนว่าทิศทางของงานนี้มีความเสื่อมโทรมอย่างเห็นได้ชัด ที่นี่เราสามารถติดตามลักษณะเฉพาะของขบวนการวรรณกรรมนี้ได้อย่างชัดเจน เช่น ความเศร้าโศก ความเสื่อมโทรม และความเสื่อมโทรม
รูปภาพและสัญลักษณ์
ผลงาน "Carrion" พาเราไปสู่พื้นที่ชนบทอันเงียบสงบและเงียบสงบของทุ่งฤดูร้อน ซึ่งมีคู่รักกำลังเดินเล่นอยู่ คำอธิบายนี้บอกในนามของ Baudelaire เอง เป็นไปได้ว่า Jeanne Duval ซึ่งเป็นเพื่อนที่สวยงามของเขา บทกวีนี้เต็มไปด้วยภาพที่ตัดกันเพื่อสร้างผลกระทบที่ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อจิตสำนึกของผู้อ่าน
ตัว อย่าง เช่น ใน เรือ ลำ เดียว พระองค์ วาง “นางฟ้า” และ “ม้า ที่ ตาย” ไว้ ข้าง กัน. ภาพสุดท้ายที่นี่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการวาดเส้นบางๆ ที่เปราะบางระหว่างสุนทรียภาพและจุดเริ่มต้นที่ไม่เป็นนิรันดร์ด้วยความเป็นโลกที่น่าเกลียด แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงดำรงอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งลึกลงไปในอกของสภาวะธรรมชาติของจุดเริ่มต้นนี้ ความงามของชีวิตนั้นมีอายุสั้นและเน่าเปื่อยได้ มันมีจุดจบที่หายวับไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในตัวเอง และซากศพถือเป็นอิสรภาพจากเซลล์และการละทิ้งอนุภาค
ความสยองขวัญทั้งหมดนี้ถูกเจือจางด้วยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ แต่มีสีสันเชิงบวกเช่น: "แสงสีขาวสว่าง", "หญ้าสีแดง", "ดวงอาทิตย์" ฯลฯ เป็นต้น ผู้เขียนยกย่องความสวยงามของเนื้อเน่าว่า “มันนอนหงาย มีหนองไหลออกมา” “พระอาทิตย์แผดเผาความเน่าเปื่อยนี้ลงมาจากฟ้า” “เผาซากศพลงดิน” “เศษโครงกระดูกเหมือน ดอกไม้” “หนอนเหมือนเมือกหนาสีดำ” โบดแลร์ไม่ได้มองว่านี่เป็นจุดจบของชีวิตหรือเป็นสิ่งที่น่าเกลียด แต่ในทางกลับกัน เขานำทุกอย่างไปสู่อีกระดับหนึ่ง:
ทั้งหมดนี้เคลื่อนไหวสั่นไหวและแวววาว
ราวกับว่ามันฟื้นขึ้นมาทันที
ร่างกายอันชั่วร้ายก็เติบโตและทวีคูณ
มีลมหายใจคลุมเครือมากมาย
ธรรมชาติที่วุ่นวายของกระบวนการสลายตัวของเนื้อหนังทำให้ฮีโร่โคลงสั้น ๆ หลงใหลเขาได้รับแรงบันดาลใจจากปรากฏการณ์นี้ บัดนี้เขามองเห็นความงามของสหายของเขาผ่านปริซึมแห่งความตายและความเสื่อมโทรมเท่านั้น เขาบอกว่าทุกอย่างจะเข้าที่และธรรมชาติอันยิ่งใหญ่จะยอมรับสิ่งที่เป็นของมันโดยชอบธรรมนั่นคือเนื้อหนัง
หัวข้อและประเด็นต่างๆ
ในบทกวี "ซากศพ" ปัญหาหลักคือความเปราะบางของสสารและความเน่าเปื่อยของความงามทางกายภาพ แก่นกลางคือกวีและบทกวี ผู้เขียนกล่าวว่าต้องขอบคุณพลังของคำและความหมายที่ลึกซึ้งเท่านั้นที่เขาสามารถรักษาและคงไว้ซึ่งความงามที่แท้จริงโดยรักษาโครงสร้างของบทกวีไว้
นอกจากนี้ โบดแลร์ยังสัมผัสถึงเรื่องของความรัก คนที่เขาเลือกก็ไม่น่าเชื่อถือเช่นกัน เช่นเดียวกับความแข็งแกร่งของความงาม ความรักก็มีวันหมดอายุ ความรู้สึกก็จะยอมจำนนต่อกระบวนการสลายตัว แล้วก็จมลงสู่การลืมเลือน นี่เป็นธรรมชาติของอารมณ์ของมนุษย์ ไม่ดีหรือไม่ดี ก็แค่นั้นแหละ อย่างไรก็ตาม แรงกระตุ้นอันมหัศจรรย์ของจิตวิญญาณสามารถค้นพบสถานที่ในความคิดสร้างสรรค์และได้รับความเป็นอมตะ
กวียังชื่นชมความกลมกลืนของธรรมชาติและส่วนต่างๆ ของมัน ซึ่งเกิดและตายไป แต่กลับกลายมาเป็นองค์รวม ม้าตาย แต่กลายเป็นที่หลบภัยสำหรับชีวิตใหม่ - หนอน สุนัขหิวโหย ฯลฯ ไม่มีอะไรฟุ่มเฟือยในโลกรอบตัวเรา ทุกสิ่งถูกคิดอย่างยอดเยี่ยม
ความหมาย
ความหมายของงานนี้คือ ไม่มีสิ่งใดทางกายภาพที่เป็นนิรันดร์ ทุกสิ่งที่มีอยู่ย่อมมีจุดจบของมัน และเป็นไปได้ที่จะจับภาพเพียงในความทรงจำเท่านั้น โบดแลร์แสดงให้เห็นว่าไม่มีอะไรน่าเกลียดในสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ด้วยบทกวีของเขา เขาเน้นย้ำถึงความงดงามทั้งที่เป็นและตาย ทำให้เกิดความขัดแย้งบางประการ
เขาได้แสดงความเคารพต่อธรรมชาติด้วยความกลมกลืนและความสมบูรณ์ของมัน เขายังคงตระหนักถึงพลังแห่งการสร้างสรรค์มือมนุษย์ นั่นคือศิลปะ พลังอำนาจทุกอย่างนี้สามารถย้อนเวลากลับไปและคงความทรงจำแห่งความงามไว้ได้
หมายถึงการแสดงออกทางศิลปะ
ผลงาน “ซากศพ” เต็มไปด้วยเทคนิคทางศิลปะที่หลากหลาย โบดแลร์ใช้สิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างแข็งขันเพื่อให้บทกวีของเขามีความหมายมากขึ้น เขาเปรียบเทียบระหว่าง "เทวดา" และ "ม้าที่ตายแล้ว" "ศพเน่า" และ "ดวงดาวที่มีชีวิต" เพื่อเน้นย้ำเส้นแบ่งระหว่างคนเป็นกับคนตาย
ผู้เขียนยังใช้คำฉายาจำนวนมากเพื่อสร้างความประทับใจแบบคู่: "แสงสีขาว", "หนองที่มีกลิ่นเหม็น", "เน่าไปครึ่งหนึ่ง", "ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่", "ความร้อนอันหอมกรุ่น" ฯลฯ โบดแลร์ใช้การเปรียบเทียบ ศพม้ากับสาวตลาดไร้ยางอาย แสดงถึงความหยาบคาย ไร้ยางอาย ของผู้ที่ตกสู่บาปทั้งฝ่ายวิญญาณและฝ่ายกาย
การวิพากษ์วิจารณ์
งานของโบดแลร์ทำให้เกิดปฏิกิริยาหลากหลายจากนักวิจารณ์ ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ นักเขียนอัตถิภาวนิยมชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียง เขียนบทความวิจัยเกี่ยวกับบทกวีของเขาจากมุมมองของจิตวิเคราะห์อัตถิภาวนิยม เขาเน้นย้ำถึงแก่นแท้ของความรู้สึกและความคิดสร้างสรรค์โดยทั่วไป:
ยิ่งร่างกายสกปรกติดหล่มเข้าไป
ความสุขที่น่าละอาย ยิ่งทำให้ตัวโบดแลร์เองรังเกียจมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ง่ายขึ้นเท่านั้น เหลือบมองและอิสรภาพที่เป็นตัวเป็นตน วิญญาณของเขาก็จะหลุดออกจากเปลือกที่ป่วยนี้ได้ง่ายขึ้นความชั่วสำหรับเขาไม่ใช่ผลจากความชั่วช้า แต่เป็นความชั่ว เป็นการต่อต้านความดี มีอานิสงส์ดีทั้งสิ้น มีแต่อานิสงส์ที่ตรงกันข้ามเท่านั้น
แต่ทันทีที่ซาร์ตร์เริ่มสรุป หมวดการประเมินก็คืบคลานเข้ามาทันที:
โบดแลร์ไม่ทราบความแตกต่างแม้แต่น้อยระหว่างการยืนยันตนเองในรูปแบบสุดโต่งและรูปแบบสุดโต่ง
การปฏิเสธตนเอง
น่าสนใจ? บันทึกไว้บนผนังของคุณ!
หน้าปัจจุบัน: 1 (หนังสือมีทั้งหมด 1 หน้า)
โบเดอแลร์ ชาร์ลส์
ซากศพ
ชาร์ลส์ โบดแลร์
การจะบอกว่าโบดแลร์ในรัสเซียเป็นมากกว่าโบดแลร์ แน่นอนว่าถือเป็นการพูดเกินจริง แต่กวีชาวฝรั่งเศสไม่เพียงแต่เข้าสู่วัฒนธรรมรัสเซียอย่างมั่นคงเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นบุคคลในตำนานในนั้นด้วย ชะตากรรมของ Russian Baudelaire ส่วนใหญ่คล้ายกับชะตากรรมของ Russian Byron: สิ่งหนึ่งสำหรับยุคทองส่วนอีกอันกลายเป็นเงิน
การรุกเข้าสู่รัสเซียของโบดแลร์เริ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของศตวรรษที่ 19 หากเราถือว่าการตีพิมพ์ฉบับแปลครั้งแรกในนิตยสารหนาเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการนี้ และจุดสิ้นสุดคือการตีพิมพ์ "ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย" ของรัสเซียฉบับสมบูรณ์ (พ.ศ. 2450-2551) ดังนั้นด้วยข้อตกลงในระดับหนึ่งเราสามารถแยกแยะความแตกต่างได้สองประการ ขั้นตอนในนั้น - พรีสัญลักษณ์และสัญลักษณ์
แน่นอนว่า Baudelaire ได้รับการแปลตาม Symbolists ตลอดศตวรรษที่ 20 เขาดึงดูดความสนใจของนักแปล เช่นเดียวกับงานคลาสสิกอื่นๆ ของยุโรป สิ่งที่น่าสังเกตเป็นพิเศษคือผลงานของวิลเฮล์มเลวิคผู้แปล "The Flowers of Evil" ทั้งหมดประมาณหนึ่งในสี่ - บางเวอร์ชันของเขายังคงไม่มีใครเทียบได้จนถึงทุกวันนี้ - เช่นเดียวกับ "Swimming" ที่มีชื่อเสียงของ Marina Tsvetaeva และการแปลของ เอเรียดเน่ เอฟรอน ลูกสาวของเธอ อย่างไรก็ตาม ยุคที่ตามหลังยุคเงินไม่ได้เพิ่มสิ่งใดเลยให้กับภาพลักษณ์ของโบดแลร์ในรัสเซียที่เป็นที่ยอมรับแล้วในฐานะบิดาและผู้พลีชีพในบทกวีใหม่
พัฒนาการขั้นแรกของโบดแลร์เริ่มขึ้นในทศวรรษที่ 60 ของศตวรรษที่ 19 และดำเนินต่อไปจนกระทั่งประมาณต้นศตวรรษที่ 20 ในเวลานี้ เขาได้รับการแปลเป็นหลักโดยพรรคเดโมแครตที่ปฏิวัติอย่างเข้มงวด เช่น Nikolai Kurochkin น้องชายของนักแปล Beranger ผู้โด่งดัง Vasily Kurochkin, Dmitry Minaev และ Pyotr Yakubovich พวกเขาเห็นโบดแลร์เป็นนักร้องของชนชั้นกรรมาชีพที่ถูกกดขี่เป็นหลัก (อิงจากวงจร "Parisian Pictures" และ "Revolt" เป็นหลัก) ซึ่งส่วนหนึ่งอธิบายถึงความหลงใหลในความเสื่อมโทรมของฝรั่งเศส
ในบริบทนี้ ร่างของ Pyotr Yakubovich-Melshin นักแปลที่จริงจังคนแรกของ Baudelaire มีความโดดเด่น ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 ของศตวรรษที่ผ่านมา ยากูโบวิชเป็นหัวหน้าองค์กรเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กของ "นโรดนายา โวลยา" ในปี พ.ศ. 2427 เขาถูกจับกุม ศาลตัดสินประหารชีวิตเขาด้วยการแขวนคอ ซึ่งต่อมาถูกลดทอนลงถึงสิบแปดปีแห่งการทำงานหนัก ในไซบีเรีย เขาเป็นนักปฏิวัติที่แข็งขันและแปลหนังสือ The Flowers of Evil เป็นส่วนใหญ่ ในการแปลของเขาในปี พ.ศ. 2438 บทกวีของโบดแลร์จำนวนห้าสิบสามบทได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในรัสเซียเป็นหนังสือแยกต่างหาก ในคำนำของฉบับขยายครั้งที่สองของปี 1909 เขาปกป้องโบดแลร์ทั้งจากคนเสื่อมโทรมซึ่งเขาเรียกว่า "โรงเรียนแห่งกวีหน้าตาบูดบึ้ง" และทางอ้อมจากเพื่อนนักสู้ปฏิวัติของเขา ยาคุโบวิชเน้นย้ำเป็นพิเศษถึงการไม่มีอยู่ในหนังสือ " ส่วนที่มีเสียงดัง "Revolte" ("Revolt") ทัศนคติของเขาที่มีต่อ Baudelaire ได้รับการกำหนดไว้ที่ดีที่สุดในคำนำเดียวกัน:
“ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2422 งานแปลครั้งแรกของฉันจาก Baudelaire เริ่มได้รับการตีพิมพ์ (ในวารสาร "Slovo") แต่งานหลักทำโดยฉันในภายหลังมาก (พ.ศ. 2428-2436) ในป้อม Peter และ Paul บน Kara และใน Akatui โบดแลร์ปรากฏต่อฉันในช่วงเวลาที่ยากลำบากเหล่านั้นในฐานะเพื่อนและผู้ปลอบโยน และฉันก็ได้มอบสิ่งดี ๆ ในใจให้เขามากมาย...
เมื่อทำงานเสร็จแล้วและใฝ่ฝันที่จะตีพิมพ์เป็นหนังสือแยก ฉันก็เขียนไว้ในคำนำที่วางแผนไว้เหนือสิ่งอื่นใด:
ในสมัยนั้นเมื่อวิญญาณอยู่ในความมืดมิดแห่งคืนนอนไม่หลับ
เธอเต็มไปด้วยความฝันและความคิดที่รักชื่อเสียง
จากกลุ่มคนต่างด้าวที่ยกย่องสรรเสริญ
มีคนหนึ่งปรากฏแก่ฉัน สวยงามและซีดเซียว
............................::::::::::
และเพื่อนปีกของฉันก็พาฉันไป
ผ่านห้องใต้ดินอันมืดมน ผ่านห้องใต้หลังคาที่มืดมน
ผ่านแดนแห่งความฝันอันแปลกประหลาด ความเจ็บป่วยอันไร้เรี่ยวแรง
เด็กชายผู้ภาคภูมิใจสู่ท้องฟ้าอันสูงส่ง
และเธอก็ชี้แจงอย่างชัดเจน: ทำไมต้องรักจนเจ็บ?
เธอรักสิ่งที่โลกประณามด้วยการเยาะเย้ย
และสิ่งที่เขาเห็นในรัศมีอันรุ่งโรจน์
น้ำดีและความโศกเศร้านั้นจะเกิดในจิตวิญญาณของเธอ!.. ”
ยาคุโบวิชแม้ว่าการแปลของเขาตามลำดับเวลาจะเป็นของยุคเงินและได้รับการตีพิมพ์ด้วยคำนำโดยบัลมอนต์ แต่ก็เป็นคนรุ่นเก่าที่แตกต่างและรับรู้โบดแลร์ด้วยวิธีโรแมนติกที่ไร้เดียงสา (มุมมองนี้ก็เช่นกัน แบ่งปันโดย M. Gorky) ผู้ร่วมสมัยที่อายุน้อยกว่าของ Yakubovich มีปฏิกิริยาแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงกับ "ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย" สำหรับพวกเขา โบดแลร์กลายเป็นเป้าหมายของการนมัสการอย่างกระตือรือร้น ในทศวรรษแรกของศตวรรษของเรา มีการตีพิมพ์คำแปลที่สมบูรณ์ของ "The Flowers of Evil" สามฉบับ: A. Panov (1907), A. Alving (1908) และ Ellis (1908) ไม่ต้องพูดถึงการแปลบทกวีแต่ละบทที่จัดพิมพ์โดย Bryusov, Balmont, Merezhkovsky, Annensky , เวียค Ivanov... แน่นอนว่าการแปลของ Lev Kobylinsky (นามแฝงวรรณกรรมเอลลิส) ซึ่งเป็นนักเทศน์และผู้เผยพระวจนะของโบดแลร์อย่างแท้จริงควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นที่ยอมรับในเวลานั้น - นี่คือวิธีที่ Andrei Bely พรรณนาเขาในหนังสือของเขาเรื่อง "The Beginning of ศตวรรษ”
เหตุใดโบดแลร์จึงกลายเป็นไอดอลของคนเสื่อมโทรมชาวรัสเซียในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ บดบังกวีชาวฝรั่งเศสคนอื่นๆ ที่พอล แวร์เลนเรียกว่า "สาปแช่ง" ซึ่งหมายถึงคำสาปแห่งการขาดการยอมรับและความเหงาที่น่าเศร้า - Nerval, Lautreamont, Rimbaud, Verlaine เอง? เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้อธิบายได้ไม่เพียง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของความสามารถของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความจริงที่ว่าเขาเป็นผู้ตั้งสมมติฐานและพิสูจน์มาตลอดชีวิตว่าสาเหตุของการปฏิเสธไม่ได้อยู่ในลักษณะที่ซับซ้อนของเขา ไม่ใช่ในความล้มเหลวแบบสุ่ม แต่ใน ธรรมชาติของอัจฉริยะของเขา "Sick Muse" ของ Baudelaire กลายเป็น Pythia ของบทกวีใหม่ๆ โดยประกาศว่าอาณาจักรของเธอไม่อยู่ที่ใดในโลก ความจริงที่ว่า "ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย" ถูกประณามโดยราชสำนักของจักรวรรดิที่สองก็ได้รับความสำคัญอย่างมากเช่นกัน ทั้งหมดนี้ยืนยันอีกครั้งถึงความคล้ายคลึงกันของบทบาททางประวัติศาสตร์ในวรรณคดีรัสเซียของ Byron และ Baudelaire ท้ายที่สุดแล้ว Byron ก็เป็น "กวีผู้สาปแช่ง" ตัวจริง - เนื่องจากความสามารถที่มืดมนและชีวประวัติที่น่าเศร้าของเขา นี่เป็นเสน่ห์ของเขาสำหรับเยาวชนรัสเซียและยุโรป ในเวลานั้นเป็นครั้งแรกที่ความคิดที่ตอนนี้มีอยู่เป็นเรื่องธรรมดาเกี่ยวกับชะตากรรมของกวีในฐานะโศกนาฏกรรมที่ขาดไม่ได้เกิดขึ้นและเป็นที่ยอมรับในใจ: ในบทบาทของกวีที่เป็นเลิศโอวิดค่อยๆบดบังฮอเรซทัสโซ - Petrarch, Chenier - Racine เป็นต้น เช่นเดียวกับเสน่ห์ของชื่อของ Byron มีส่วนทำให้การก่อตั้งแนวโรแมนติกในกวีนิพนธ์รัสเซียและลัทธิของ Baudelaire ถือเป็นการมาถึงของยุคแห่งสัญลักษณ์
ในการรับรู้ของเอลลิสและผู้ร่วมสมัยของเขา ศูนย์รวมอัจฉริยะของโบดแลร์ที่สมบูรณ์และสมบูรณ์แบบที่สุดและแก่นสารของมันคือ "ซากศพ" ที่มีชื่อเสียง ("อูเน ชาโรญ") ก่อนอื่นโบดแลร์เป็นผู้เขียน "Carrion" สำหรับพวกเขา ไม่มีบทกวีอื่นใด ทั้งภาษารัสเซียหรือภาษาต่างประเทศ คลาสสิกหรือสมัยใหม่ ที่ถูกกล่าวถึงหรือยกมาบ่อยนักในเวลานั้น
เนื้อหาของ "Carrion" ค่อนข้างง่าย: เก้า quatrains แรกนั้นอุทิศให้กับคำอธิบายโดยละเอียดของศพที่เน่าเปื่อย ในช่วงสามอันสุดท้ายกวีกล่าวถึงที่รักของเขาบอกว่าเธอก็ถูกกำหนดให้สลายไปในโลกเช่นกัน เธอจะยังคงอยู่ในบทกวีของเขา และด้วยพลังแห่งของขวัญของเขา จะรอดพ้นจากการถูกลืมเลือน แน่นอนว่าความคิดนี้เมื่อย้อนกลับไปถึงบทกวีอันโด่งดังของฮอเรซไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างไรก็ตาม แก่นแท้ของ "Carrion" ไม่สามารถลดลงเหลือเพียงบทสุดท้ายได้ คงจะไร้เดียงสาหากมองว่าข้อเหล่านี้เป็นเพียงการแสดงด้นสดในหัวข้อ vita brevis, ars longa อย่างไรก็ตาม ยังมีความพยายามค่อนข้างมากที่จะแปล "ซากศพ" ด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิมนี้ ดังนั้นในสามบทสุดท้ายของ A. Panov จึงมีลักษณะดังนี้:
แล้วไงล่ะ? คุณจะเหมือนเดิมที่รัก
คุณจะเป็นซากศพเดียวกัน
นางฟ้าที่น่ารักของฉัน ความรักของฉัน ความสุขอันศักดิ์สิทธิ์
ดวงดาวแห่งชีวิตของฉัน ผู้สร้างความฝันของฉัน!
ใช่! คุณจะเหมือนเดิม! ฉันเห็นคุณทรุดโทรมลง
ราชินีแห่งความฝันอันแสนสุข
ท่านจะนอนลงในดินอันหนาวเหน็บ แต่งงานตาย
คุณจะเน่าเปื่อยอยู่ใต้มาลัยดอกกุหลาบที่ดึงออกมา:
งั้นก็บอกหนอนพวกนั้นสิว่าจูบของคุณ
จะมีบอกพวกเขาว่าความงามของฉัน
ฉันจะจำอะไรเพื่อนรักของฉัน
ในความตายความฝันอันเป็นที่รักยังมีชีวิตอยู่!
เอลลิสเสนอการตีความงานนี้โดยอาศัยจิตวิญญาณของสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น ดังที่นำเสนอโดย Andrei Bely ดูเหมือนว่า: "... ในใจกลางของจิตสำนึกคือลัทธิแห่งความฝันซึ่งไม่อาจทนต่อความเป็นจริงซึ่งเป็นซากศพได้ มันคือศพของความฝัน" การอ่านนี้สะท้อนมุมมองของ Baudelaire ได้อย่างถูกต้องในระดับหนึ่ง แม้ว่างานแปลของ Ellis เองจะไม่ตรงกับรสนิยมของ A. Belyก็ตาม ในขณะที่เขาตั้งข้อสังเกตอย่างเหน็บแนมว่า "Kobylinsky อ่าน...> "Carrion" ในการแปลที่ไม่ดีของเขา ไม่มี Baudelaire อยู่ในนั้น คือ..." การตัดสินนี้ดูเข้มงวดเกินไป อย่างไรก็ตาม คำแปลของเอลลิสได้รับการเผยแพร่ด้านล่าง และผู้อ่านสามารถตัดสินได้ด้วยตัวเอง
ผู้เสื่อมโทรมชาวรัสเซียมีลัทธิความรู้สึกที่ผิดปกติและคลั่งไคล้เฉียบพลันซึ่งเรียกว่า "ช่วงเวลา" ซึ่งเป็นวัตถุหลักในการพรรณนาบทกวี ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่จะมีเฉดสีความรู้สึก ความคิด ความประทับใจที่ละเอียดอ่อนและไม่เคยปรากฏมาก่อนในรูปแบบคลาสสิกที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพื่ออธิบายบางสิ่งที่ไม่เคยมีการอธิบายไว้ในบทกวี และไม่เคยถูกมองว่าเป็นหัวข้อคำอธิบายโคลงสั้น ๆ ที่เป็นไปได้ . และในเด็กโบดแลร์คนนี้ก็อยู่ใกล้พวกเขาอย่างผิดปกติ
“กวีแห่ง “ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย” ธีโอฟิล โกติเยร์เขียน “รักสิ่งที่เรียกกันผิด ๆ ว่าสไตล์แห่งความเสื่อมโทรม และไม่มีอะไรมากไปกว่างานศิลปะที่ก้าวไปสู่วุฒิภาวะขั้นสูงสุดที่พบการแสดงออกในรังสีที่เอียงของการเสื่อมถอย ของอารยธรรมที่เสื่อมทราม: สไตล์... .> พยายามถ่ายทอดความคิดในเฉดสีที่เข้าใจยากที่สุดและก่อตัวในโครงร่างที่เข้าใจยากที่สุด: เขารับฟังการเปิดเผยที่ละเอียดอ่อนที่สุดของโรคประสาทอย่างอ่อนไหว คำสารภาพของความชราและความหลงใหลในทางที่ผิด ภาพหลอนที่แปลกประหลาดของ ความหลงใหลกลายเป็นความบ้าคลั่ง “รูปแบบแห่งความเสื่อมโทรม” นี้เป็นคำสุดท้ายของภาษาที่ใช้เพื่อแสดงทุกสิ่งและถึงขั้นสุดโต่งของการพูดเกินจริง”
ความจริงที่ว่าโบดแลร์สามารถขยายขอบเขตของบทกวีโดยนำเสนอความสามัคคีของ Apollonian ในรูปของศพที่เน่าเปื่อยไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้เสื่อมโทรมของรัสเซียได้ “ Carrion” ทำให้เกิดการลอกเลียนแบบนับไม่ถ้วนทำให้เกิดกระแสวรรณกรรมใหม่ขึ้นมาซึ่งสาระสำคัญสามารถระบุได้จากบรรทัดจากเพลง "Half-Breed" ของ A. Vertinsky: "ฉันสามารถสร้างบทกวีจากซากศพได้"
ตัวอย่างเช่น นี่คือบรรทัดต่อไปนี้:
มีซากศพอยู่บนหญ้าในฤดูใบไม้ผลิ:
ด้วยสายตาที่เป็นแก้ว
มองดูท้องฟ้าหายใจอย่างเงียบ ๆ
การตั้งครรภ์ด้วยหนอน
ชีวิตใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้น
ฉันทักทายคุณด้วยรอยยิ้ม
และพวกมันเปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนดอกไม้
หยดน้ำเหนียวๆ
บทกวีปี 1908 นี้รวมโดยผู้แต่งในรอบ "ดอกไม้จากดินแดนว่าง" เป็นของ A. I. Tinyakov (พ.ศ. 2429-2477) หนึ่งในตัวละครที่น่าสนใจที่สุดในยุคนั้น ไม่ใช่เพื่ออะไรเลยที่ยังมีความทรงจำมากมายเกี่ยวกับกวีผู้ไม่มีนัยสำคัญคนนี้: Khodasevich, Zoshchenko เขียนเกี่ยวกับเขา, เรื่องราวของ Georgy Ivanov เรื่อง "The Man in the Redingote" และ "Alexander Ivanovich" อุทิศให้กับเขา ด้วยชีวิตและบทกวีของเขาผู้แพ้ที่มีพรสวรรค์ซึ่งบูชาโบดแลร์พยายามรวบรวมภาพลักษณ์ของ "กวีผู้สาปแช่ง" ซึ่งในทางปฏิบัติกลายเป็นการล้อเลียนที่โหดร้ายของบทความ Black Hundred และ (อ้างอิงจาก G. Ivanov) บริการใน Cheka .
อีกตัวอย่างหนึ่ง: บทกวีของ S. V. Kissin (พ.ศ. 2428-2459) ซึ่งในบรรดาเพื่อนของเขามีชื่อเล่นว่า Muni เพื่อนสนิทของ V. Khodasevich ซึ่งปรากฏในบันทึกความทรงจำของเขา ใน terzas ที่สมบูรณ์แบบ เขาบรรยายถึงศพหญิงที่เน่าเปื่อย ซึ่งเป็นภาพที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ร่วง โองการสิ้นสุดเช่นนี้:
อีการ้องเพลงสรรเสริญความงามของเธอ
คุณจะเป็นแบบนี้ไม่ช้าก็เร็ว
ไม่ช้าก็เร็วเราทุกคนก็จะเป็นแบบนี้
ชู! คุณได้ยินเสียงร้องของอีกาจากหมอก
นอกเหนือจากการเลียนแบบ "Carrion" โดยตรงแล้ว เรายังสามารถอ้างอิงบทกลอนจากกวีคนอื่นๆ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีอิทธิพลจากเธอ:
ที่ซึ่งหัวใจถูกหนอนกัดกิน
ความรักสำหรับฉันนั้นไม่สิ้นสุด
นอนถัดจากแขกของราชวงศ์และ Khodynka
Elena Kuzina พยาบาลของฉัน
(V. Khodasevich "ไม่ใช่แม่ แต่เป็นสาวชาวนา Tula ... ", 2460, 2465)
ใบไม้ก็ร่วงหล่น ร่วงหล่น ร่วงหล่น
และไม่มีใครสามารถหยุดพวกเขาได้
จากดอกไม้ที่เน่าเปื่อยเหมือนซากศพ
เริ่มหายใจลำบาก...
(G. Ivanov “ ใบไม้ร่วงหล่นร่วงหล่น…”, 2498)
ข้อความทั้งหมดนี้ - แม้ว่าจะเป็นของกวีคนละคนก็ตาม แต่ก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวโดยวิธีการบรรลุผลทางกวีและธรรมชาติของข้อหลัง ตามกฎแล้วธีมของการเน่าเปื่อยเกิดขึ้นโดยเกี่ยวข้องกับคุณลักษณะโคลงสั้น ๆ ที่ "สูง" แบบดั้งเดิมไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ผลิคู่รักดอกไม้หรือนภา (“ คุณหายใจไม่ออกและนภาก็เต็มไปด้วยหนอน” - O . Mandelstam “ คอนเสิร์ตที่สถานี” 2464) สันนิษฐานได้ว่าการผสมผสานแบบออกซิโมโรนิกเหล่านี้ ย้อนกลับไปทั้งทางตรงและทางอ้อมกับเพลง "Carrion" ของโบดแลร์ ส่วนหนึ่งเป็นการแสดงโดยนัยของ "God is dead" ของ Nietzsche ซึ่งยังคงถูกมองว่าเป็นการเปิดเผย บทกวีเหล่านี้ให้พลังแห่งความรู้สึกทางกายที่เป็นนามธรรมในเชิงปรัชญา เฉียบพลันและเจ็บปวด เป็นรากฐานของผลงานแห่งความเสื่อมโทรมมากมาย ซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความสงสัยและความผิดหวังในคุณค่าดั้งเดิม
สำหรับโบดแลร์เอง ภาพลักษณ์ของความเสื่อมโทรมในกรณีนี้เชื่อมโยงกับธีมของความรัก และความรักในอุดมคติและความรักทางโลกเป็นแนวคิดที่แตกต่างกันโดยพื้นฐานสำหรับเขา ในฐานะเป้าหมายของสิ่งหลัง เขาสามารถรับรู้เพียงธิดาแห่งธรรมชาติเท่านั้นที่ไม่ถูกทำลายโดยอารยธรรมตามคำพูดของเขาเอง ในชีวิต Mulatto Jeanne Duval กลายเป็นศูนย์รวมของตำนานนี้ หนึ่งในตำนานที่มีลักษณะเฉพาะที่สุดที่เกี่ยวข้องกับชื่อของโบดแลร์คือ "ลัทธิดาวศุกร์สีดำ" ที่โด่งดังของเขา ซึ่งมีบทกวีสิบแปดบทจาก "ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย" ที่อุทิศให้
ในบทกวีเหล่านี้ โบดแลร์บรรยายถึงความรักแบบ "ทางโลก" ว่าเป็นความหลงใหลที่ถึงแก่ชีวิต และเป้าหมายของมันคือสิ่งมีชีวิตใจแข็ง เต็มไปด้วยตัณหาของสัตว์ เพิกเฉยต่อความรู้สึกอันประเสริฐ ราวกับแวมไพร์ที่ดูดซับพลังทางจิตวิญญาณที่ดีที่สุดของกวี และในขณะเดียวกันก็เหมือนนางฟ้า เหมือนอุดมคติที่สดใส โอเอซิสแห่งธรรมชาติเขตร้อนอันหรูหราและเงียบสงบในโลกของสลัมในเมือง ความเป็นคู่นี้ไม่ได้เกิดจากตรรกะที่ขัดแย้งกันของความเป็นเอกภาพของสิ่งที่ตรงกันข้าม “ ความยิ่งใหญ่ต่ำสิ่งสกปรกศักดิ์สิทธิ์”, “ทั้งความมืดและแสงสาดส่อง” - นี่คือสิ่งที่โบดแลร์เรียกว่าความรักของเขาและนี่คือการรับรู้ของเขาเกี่ยวกับความรักโดยทั่วไปหรืออย่างแม่นยำมากขึ้นคือความรักแบบ "ทางโลก"
กุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจความรักนี้คือการแบ่งขั้วของชีวิต - ศิลปะโดยนัย ซึ่งมองเห็นได้ง่ายในบทกวีเกี่ยวกับ Jeanne Duval (และในบทกวีอื่นๆ อีกมากมาย) การต่อต้านนี้เป็นหัวใจสำคัญของโลกทัศน์ทางกวีของโบดแลร์ อาณาจักรแห่งชีวิตประกอบด้วยแนวคิดต่างๆ เช่น ความรัก ธรรมชาติ ความปรารถนา และความหลงใหล ในความคิดของโบดแลร์ ทั้งหมดนี้มาพร้อมกับภาพความเสื่อมสลายที่ครอบงำจิตใจ ทุกสิ่งที่สวยงามเป็นของอาณาจักรแห่งศิลปะ แต่ความสวยงามในที่นี้เราหมายถึงเฉพาะสิ่งที่สร้างขึ้นโดยอัจฉริยะของมนุษย์เท่านั้น โบดแลร์พยายามไม่ปล่อยให้สัญญาณแห่งชีวิตเข้ามาในโลกของเขาแม้แต่น้อย “เมืองนี้ตั้งอยู่ริมน้ำ เขาว่ากันว่าสร้างด้วยหินอ่อน ผู้คนที่นั่นเกลียดพืชผักมากจนฉีกต้นไม้หมดสิ้น นี่คือภูมิทัศน์ที่คุณชอบ ภูมิทัศน์ที่สร้างจากแสง หิน และน้ำ เพื่อสะท้อนพวกเขา!” - นี่คือวิธีที่เขากล่าวถึงจิตวิญญาณของเขาในบทกวีร้อยแก้วบทหนึ่งของเขา อย่างไรก็ตาม ศิลปะซึ่งตรงกันข้ามกับธรรมชาติในฐานะสิ่งที่สูงกว่า กลับกลายเป็นคำพ้องความหมายกับสิ่งประดิษฐ์ ข้างหลังเขาไม่ใช่ชีวิต แต่เป็นความตาย
น่าแปลกที่การสลายตัวในระบบนี้ไม่ใช่คุณสมบัติของความตาย แต่ตรงกันข้าม การถวายบูชาแห่งชีวิต คำอธิบายของซากเน่าเปื่อยใน "Carrion" นั้นเป็นคำอธิบายถึงรูปแบบชีวิตที่เป็นไปได้ทั้งหมดซึ่งเป็นเพลงสรรเสริญที่ไม่สามารถทำลายได้ ความเป็นไปไม่ได้ของความตายคือสิ่งที่นักกวีหวาดกลัวมากที่สุดในความรักอันร้ายแรงของเขา:
คุณกำลังรอความสงบและสันติสุขอยู่หรือเปล่า?
คนโง่! - คุณเองจะกลับไปสู่นรก
จูบของคุณจะฟื้นคืนชีพ
ศพแวมไพร์ที่ตายแล้ว!
("แวมไพร์" แปลโดย M. Donskoy)
ทัศนคติของโบดแลร์ต่อชีวิตและความรักสามารถกำหนดได้ดีที่สุดโดยแนวคิดแบบคริสเตียนเรื่อง "การล่อลวง" "สิ่งล่อใจ" "เสน่ห์"; มันอาจจะกลับไปหาพวกเขา ชีวิตในทุกรูปแบบทำหน้าที่เป็นแหล่งของแรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานได้สำหรับกวีโดยได้รับพลังแห่งความหลงใหล แต่การทดลองนี้เป็นบาป เนื่องจากกวีเป็นผู้รับใช้ของสิ่งสวยงามและเป็นนิรันดร์ ซึ่งไม่มีที่ในชีวิต โบดแลร์พูดถึงความผูกพันอันเลวร้ายของเขา:
สัตว์ประหลาดที่ฉันเชื่อมต่อด้วย
เหมือนคนขี้เมาขมถือขวด
เหมือนนักโทษชั่วนิรันดร์ด้วยลูกกระสุนปืนใหญ่
เหมือนซากศพกับหนอนร้ายแรง...
และที่อื่น:
ภูมิใจในตัวเองคุณมาถึงโลก
เพื่อให้ธรรมชาติสามารถดำเนินแผนการอันมืดมนของมันได้
โดยคุณผู้หญิงความอับอายของเผ่าพันธุ์มนุษย์
- โดยคุณสัตว์! - ล้อเลียนอัจฉริยะ
(“คุณจะดึงดูดคนทั้งโลกมาที่เตียงของคุณ…” แปลโดย V. Levik)
ในบทกวีที่จ่าหน้าถึงจีนน์ กวีเปลี่ยนจากความรักไปสู่ความเกลียดชังอย่างต่อเนื่องและในทางกลับกัน ในความไม่รู้สึกตัวของแฟนสาวเขามองเห็นคุณภาพของความงามสูงสุดหรือสัตว์ ในบทกวีบทหนึ่งกล่าวว่า:
ฉันทุกคนตั้งแต่ผมเปียสีดำจนถึงขาอันสูงส่ง
ฉันรักคุณได้ ฉันสามารถยกย่องคุณได้
ห่อร่างกายอันมหัศจรรย์ของคุณด้วยตาข่ายแห่งการกอดรัด
ในช่วงเวลาเย็นๆ เวลาเศร้าๆ บ้าง
น้ำตาไหลโดยไม่สมัครใจอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
ความสงบสุขอันไร้ความปราณีของหน้ากากอันงดงาม
("ยืดตัวอยู่บนเตียงกับหญิงชาวยิวผู้บ้าคลั่ง..." แปลโดย V. Levik)
และในอีก:
โอ้ สิ่งมีชีวิตที่โหดร้าย! ด้วยความงามของคุณ
ยิ่งคุณเย็นชาเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งหลงใหลมากขึ้นเท่านั้น
("ฉันรักเธอเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน..." แปลโดย วี ชอร์)
คำสบประมาทและคำสาปซ้ำแล้วซ้ำเล่าดูเหมือนเป็นคาถาที่ออกแบบมาเพื่อขจัดความมืดของปีศาจ ความกระหายในการหลุดพ้นแบบเดียวกันนี้ยังอธิบายถึงความหลงใหลในความเสื่อมโทรมเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในเรื่องความงามใดๆ ที่ไม่ได้ทำด้วยมือ เมื่อกวีผู้รู้ว่าหน้าที่ของเขาคือการพยายาม "ทุกที่ที่เกินขอบเขตของโลก" รู้สึกว่าชีวิตดึงดูดเขาอย่างไม่อาจต้านทานได้ เขาก็หลับตาลงและจินตนาการถึงชัยชนะสูงสุดของมัน - ฝูงหนอนที่กลืนกินร่างที่สวยงามแล้วส่งคืนกลับไปสู่ ธรรมชาติ: “ขี้เถ้าเจ้า และเจ้าจะกลับมาเป็นผงคลี”
ผลลัพธ์ของความขัดแย้งนี้คือบทกวี "ซากศพ" ในนั้น โบดแลร์สัญญาว่าจะแย่งชิงชีวิต จากความเสื่อมโทรม สิ่งที่สวยงามและทำเครื่องหมายด้วยสัญลักษณ์แห่งความงาม ซึ่งทำให้เขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อผู้หญิงคนนี้ โดยมอบธรรมชาติของสัตว์ของเธอให้กับหนอน มีเพียงการนำเพื่อนของเขาผ่านไฟชำระแบบนี้เท่านั้นที่นักกวีจะพาเธอไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความตายที่สวยงามได้ หากไม่มีความช่วยเหลือจากกวีเธอก็ไม่สามารถหนีจากวงจรชีวิตนิรันดร์ได้ เพราะที่ไหนสักแห่งในส่วนลึกของจิตสำนึกของโบดแลร์ เขารู้ดีว่า ความงามคือความตาย สิ่งที่ไม่เน่าเปื่อยเท่านั้นคือสิ่งที่ตายไปแล้ว เพลงสวดเพื่อความงามและเพลงสวดสู่ความตายในหนังสือของเขามีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดจนไม่สามารถแยกความแตกต่างจากที่อื่นได้ ความตายคือสิ่งที่กล่าวถึง “ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย” ในท้ายที่สุด โดยลงท้ายด้วยคำวิงวอนอันโด่งดัง:
ความตาย! กัปตันเก่า! บนถนน! ตั้งใบเรือ!
เราเบื่อภูมิภาคนี้แล้ว! โอ ความตาย รีบออกเดินทางซะ!
ให้ท้องฟ้าและผืนน้ำเป็นที่ที่หมึกดำคล้ำ
รู้ไว้เถิดว่าอกของเราส่องแสงตะวันนับพัน!
เผยความลึกของคุณให้นักว่ายน้ำที่ถูกหลอก!
เรากระหาย สำรวจทุกสิ่งที่อยู่ใต้ดวงอาทิตย์แล้ว
ที่จะดำดิ่งสู่ก้นบึ้งของคุณ - นรกหรือสวรรค์ - หนึ่งเดียว!
เข้าสู่ส่วนลึกของสิ่งที่ไม่รู้จัก - เพื่อค้นหาสิ่งใหม่!
(คำแปล "ว่ายน้ำ" โดย M. Tsvetaeva)
เกี่ยวกับคำแปลของ "Carrion"
ในศตวรรษที่บวกตั้งแต่บทกวีจาก The Flowers of Evil ปรากฏตัวครั้งแรกในภาษารัสเซีย Carrion ได้รับการแปลอย่างน้อยเก้าครั้ง เนื่องจากมีพื้นที่ไม่เพียงพอ เราจึงถูกบังคับให้จำกัดตัวเองให้เหลือการแปลเพียง 5 ฉบับ โดย 2 ฉบับแรก (โดยยาคุโบวิชและเอลลิส) กลายเป็นผลลัพธ์สุดท้ายสำหรับสองช่วงของการดูดซึมของโบดแลร์โดยวัฒนธรรมบทกวีของรัสเซีย และ - ในทางหนึ่ง - ได้เข้าสู่ประวัติศาสตร์ของมันแล้ว ; ในทางตรงกันข้ามสองอันสุดท้ายถูกสร้างขึ้นในปี 1999 และ 2000 และกำลังได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรก คำแปลของ "Carrion" ที่ตีพิมพ์ในรัสเซียและสหภาพโซเวียตสามารถพบได้ในสิ่งพิมพ์ต่อไปนี้:
เอส. โบดแลร์. ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย แปลโดย A. A. Panov เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2450
เอส. โบดแลร์. ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย แปลโดย A. Alving เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2451
เอส. โบดแลร์. ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย แปลโดยเอลลิส ม., 2451.
โบดแลร์. ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย แปลโดย P. Yakubovich-Melshin เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2452
เอส. โกโลวาเชฟสกี บทกวี ม., 1900.
ซี. โบดแลร์. ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย แปลโดย V. Levik และ S. Petrov ม., 1970.
Rappelez-vous l"objet que nous vimes, mon ame,
Ce beau matin d'ete si doux:
Au detour d"un sentier une charogne ข้อมูล
ไม่เห็นแสงสว่าง seme de cailloux
Les jambes en l"air, comme une femme lubrique,
Brulante และ suant les พิษ
Ouvrait d'une facon nonchalante และเหยียดหยาม
Son ventre plein d"exalaisons.
Le Soleil rayonnait sur cette เทริน
Comme afin de la cuire ประเด็นหนึ่ง
Et de rendre au centuple a la grande ธรรมชาติ
Tout ce qu "ทั้งมวล elle avait ร่วม;
Et le ciel คำนึงถึงซากศพที่ยอดเยี่ยม
Comme une fleur s"epanouir.
La pointeur etait si forte, que sur l"herbe
Vous crutes vous evanouir
Les mouches bourdonnaient sur ce ventre เน่าเปื่อย,
D" ou sortaient de noirs bataillons
De larves, qui coulaient comme um epais liquide
Le long de ces vivants ลูกเห็บ
Tout cela สืบทอด, montait commme ไม่คลุมเครือ,
Ou s "elancait en petillant;
เมื่อ eut dit que le corps, enfle d"un souffle คลุมเครือ,
มีชีวิตและทวีคูณ
Et ce monde rendait une etrange musique,
Comme l"eau courante และ le vent
Ou le Grain qu"un vanneur d"un จังหวะการเคลื่อนไหว
Agite และ Tourne และ Son Van
Les รูปแบบ s "effacaient และ n" etaient บวก qu "un reve
Une ebauche lente a venir,
Sur la toile oubliee และ et que l "artiste acheve
ของที่ระลึกจาก Seulement par le
Derriere les Rochers une chienne inquiete
Nous คำนึงถึง d "un oeil fache,
Epiant le Moment de reprendre au squelette
Le morceau qu"elle avait lache.
– Et pourtant vous serez คล้ายกับ cette ordure,
การติดเชื้อที่น่ากลัว
Etoile de mes yeux, ธรรมชาติของโซเลย เดอ มา,
Vous, mon ange et ma Passion!
อุ๊ย! เตลเล วูส์ เซเรซ หรือ ลา ไรน์ เด เกรซ
พิธีชำระล้าง Apres les derniers
Quand vous irez, sous l"herbe และหญ้า Floraisons
มอยซีร์ ปาร์มี เล ออสเซมองต์
สวยงามมาก! ย่อย la vermine
Qui vous mangera de baiser
Que j "ai garde la forme et l" สาระสำคัญอันศักดิ์สิทธิ์
De mes amours สลายตัว!
("เลส์ เฟลอร์ ดู มาล", 2400)
มันเป็นเช้าที่ชัดเจน สู่บทเพลงแห่งสุนทรพจน์อันอ่อนโยน
เราเดินไปตามทาง ฉันหายใจเข้าลึกๆ
ทันใดนั้นคุณก็กรีดร้องเสียงดัง: บนเตียงหินแข็ง
ซากศพน่าเกลียดกำลังนอนอยู่รอบๆ...
เหมือนผู้หญิงไร้ยางอายก้าวไปข้างหน้าอย่างโจ่งแจ้ง
เธอได้เผยขาที่เปลือยเปล่าของเธอ
เผยท้องเขียวเหยียดหยาม
และบังคับให้ฉันหายใจพิษ...
แต่ราวกับอยู่บนดอกกุหลาบ บนโครงกระดูกที่เน่าเปื่อย
ท้องฟ้าดูสดใส เปลี่ยนเป็นสีฟ้าอย่างน่ายินดี!
มีเพียงเราเท่านั้นที่มืดมนและคุณนางฟ้าของฉัน
พวกเขายืนอยู่ที่นั่นครู่หนึ่ง ตัวสั่นและหน้าซีด
ฝูงคนแคระล้อมรอบใกล้และไกล
เสียงหึ่งอันไม่พึงประสงค์กระทบหูของเรา
พวกมันคลานไปตามผ้าขี้ริ้วที่เน่าเปื่อย
และพวกเขาก็ไหลเหมือนสตูว์หนา
กองพันหนอน...เหมือนคลื่นในทะเล
มวลสีดำนี้ตกลงมา
จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ ราวกับว่าเธอ
ฉันยังคงหายใจชีวิตที่คลุมเครือ
และดนตรีแปลกๆ ก็ดังเข้ามาหาเธอ... ดังนั้น
เม็ดขนมปังส่งเสียงเมื่อลมพัด
ถูกหามไปตามลานนวดข้าว เขาจึงวิ่งเข้าไปในหุบเขา
กระแสพูดคุยเหนือก้อนหิน
รูปร่างร่างกายเป็นความฝันมานานแล้ว
ชวนให้นึกถึงภาพร่างที่เร่งรีบและซีดเซียว
ร่างบนกระดาษด้วยมือของใครบางคน
และโยนไปมุมหนึ่งอย่างไร้ร่องรอย
จากด้านหลังกองหินบนโครงกระดูกที่มีกลิ่นเหม็น
เจ้าหมาน้อยมองด้วยดวงตาเป็นประกาย
และราวกับได้ลิ้มรสอาหารกลางวันอันเอร็ดอร่อย
ถูกเราขัดจังหวะในเวลาที่ไม่เหมาะสมเช่นนี้...
แต่ล็อตนี้ก็คุกคามคุณเช่นกัน
ให้เป็นขยะเน่าเหม็นน่าขยะแขยงเหมือนกัน
ถึงคุณนางฟ้าของฉันด้วยหน้าแดงอันร้อนแรง
ด้วยสายตาที่ริบหรี่ของคุณ!
ใช่แล้วที่รัก ใช่แล้ว ดวงอาทิตย์ของฉัน! อนิจจา,
คุณก็จะเป็นเหมือนเดิม...ในรูปแบบที่น่าละอายไม่แพ้กัน
หลังจากศีลระลึกครั้งสุดท้าย คุณจะปักหลัก
ท่ามกลางกระดูก ใต้ดอกไม้และสนามหญ้า
ดังนั้นจงบอกพวกหนอนว่าพวกมันจะคลานตามเวลาที่กำหนด
เพื่อกลืนกินความลูบไล้ของคุณในงานศพอันเลวร้าย
ว่าฉันได้ช่วยชีวิตคนรักที่ตายไปแล้วของฉัน
ภาพลักษณ์ของเปรินั้นไม่เสื่อมสลายและสวยงาม!
บอกฉันสิ คุณจำสิ่งที่ล่ามโซ่คุณไว้ได้ไหม
สายตาของเราถูกโอบกอดด้วยความสดใสของวันในฤดูร้อน
ซากศพที่ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว
ศพพลิกคว่ำอยู่บนเตียงหิน
เขาเหยียดขาอันผอมแห้งของเขาออกไปเป็นสีฟ้า
พิษจากการหายใจปกคลุมไปด้วยหนองและเหงื่อ
มันนอนอยู่ที่นั่นและเน่าเปื่อย เปิดส่วนลึกทั้งหมดออกมา
ด้วยความมึนเมาของหญิงสาวที่ดูเปลือยเปล่า
และดวงอาทิตย์อันละโมบก็ส่องประกายเหนือซากศพ
พยายามสลายทุกอย่างอย่างรวดเร็วจนหยดสุดท้าย
คืนสู่ธรรมชาติทุกสิ่งที่พลังของเธอถักทอ
ทุกสิ่งที่เคยเผาไหม้ด้วยความกระหายที่จะมีชีวิตอยู่!
ภายใต้การจ้องมองของสวรรค์ส่งกลิ่นเหม็นออกมา
เธอแผ่กระจายออกไปเหมือนดอกไม้มหึมา
และคุณกำลังหายใจไม่ออก - และราวกับว่าไร้ชีวิต
เธอกำลังเตรียมที่จะล้มคว่ำหน้าลงไปในทุ่งหญ้าอันสดชื่น
เสียงแมลงวันดังมาจากท้องเน่า
ตัวอ่อนเป็นชั้นวางสีดำตะกละ
ไหลเหมือนยางไม้จากโครงกระดูกของสิ่งมีชีวิต
และเมื่อเคลื่อนย้าย ชิ้นส่วนที่ผุพังก็คลานออกมา
ศพลุกขึ้นเหมือนคลื่นเดือดต่อหน้าเรา
เขาล้มลงเพื่อเติบโตอีกครั้ง
และเขาก็ใช้ชีวิตอย่างแปลกประหลาดและแกว่งไปแกว่งมาอย่างแปลกประหลาด
และเขาก็ขยายตัวจนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ!
และทุกสิ่งรอบตัวเขาก็หายใจด้วยเสียงเพลงแปลก ๆ
ราวกับเสียงถอนหายใจรวมกับเสียงน้ำที่พึมพำ
ราวกับอยู่ในเครื่องฝัด เมล็ดข้าวกำลังหมุนและส่งเสียงกรอบแกรบ
และมันก็ถึงจังหวะ
ทันใดนั้นดูเหมือนว่าเราอยู่ในผ้าคลุมสีดำ
สลายซากศพหายไปราวกับความฝันอันซีดเซียว
เหมือนโครงร่างที่เลือนลางซึ่งไม่เชื่อฟังการจ้องมอง
เสร็จสิ้นด้วยความทรงจำ
และสุนัขก็วิตกกังวล โกรธ และหิว
เขาซ่อนตัวอยู่หลังก้อนหิน รอครู่หนึ่งพร้อมกับบ่นว่า
ให้รีบเร่งไปยังศพที่มีกลิ่นเหม็นอีกครั้ง
และแทะโครงกระดูกที่เขาแทะอีกครั้ง
แต่เวลาจะมาถึง - และคุณให้อาหารหนอน
เช่นเดียวกับสัตว์ประหลาดตัวนี้ จู่ๆ คุณก็มีกลิ่นเหม็นและเป็นหนอง
คุณคือใบหน้าที่สุกใสของดวงอาทิตย์ ดวงดาวสีทองในดวงตา
คุณคือความหลงใหลในจิตวิญญาณของฉัน คุณคือนางฟ้าที่บริสุทธิ์ของฉัน!
โอ้ใช่แล้วสวย - คุณจะเป็นโครงกระดูกที่เหม็น
ใต้พรมดอกไม้ ท่ามกลางความมืดมิดแห่งหลุมศพ
ค้นหาความเยือกเย็นของคุณท่ามกลางกระดูก
ควันธูปสุดท้ายแทบไม่จางหายไป
แต่บอกพวกหนอนเมื่อไม่เสียใจ
พวกเขาจะกลืนกินคุณด้วยการจูบของพวกเขา
ว่าใบหน้าแห่งความรักของฉันสลายไปจากความเสื่อมโทรม
เราจะเลี้ยงดูเจ้าให้บริสุทธิ์และบริสุทธิ์ตลอดไป!
คุณจำสิ่งที่เราเห็นในฤดูร้อนได้ไหม?
นางฟ้าของฉัน คุณจำได้ไหม
ม้าที่ตายแล้วภายใต้แสงสีขาวอันเจิดจ้า
ท่ามกลางหญ้าสีแดงเหรอ?
เธอทรุดตัวลงครึ่งหนึ่งโดยกางขาออก
เหมือนสาวข้างถนน
เธอนอนอย่างไร้ยางอาย พุงขึ้นข้างถนน
น่ารังเกียจมีหนองหลั่ง
และดวงอาทิตย์ก็แผดเผาความเน่าเปื่อยนี้จากท้องฟ้า
เพื่อเผาซากศพลงสู่พื้นดิน
ดังนั้นธรรมชาติอันยิ่งใหญ่จึงรวมเป็นหนึ่งเดียว
ยอมรับการตัดการเชื่อมต่อแล้ว
และชิ้นส่วนของโครงกระดูกก็ยิ้มแย้มขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว
ใหญ่โตเหมือนดอกไม้..
จากกลิ่นเหม็นในทุ่งหญ้าในฤดูร้อนอันหอมกรุ่น
คุณเกือบจะรู้สึกไม่สบาย
รีบไปงานเลี้ยงมีแมลงวันพึมพำ
พวกเขาโฉบอยู่เหนือกองที่เลวทราม
และหนอนก็คลานและจับกลุ่มอยู่ในท้อง
เหมือนเมือกหนาสีดำ
ทั้งหมดนี้เคลื่อนไหวสั่นไหวและแวววาว
ราวกับว่ามันฟื้นขึ้นมาทันที
ร่างกายอันชั่วร้ายก็เติบโตและทวีคูณ
มีลมหายใจคลุมเครือมากมาย
และโลกนี้ก็มีเสียงลึกลับไหลออกมา
เหมือนลมเหมือนเพลาวิ่ง
เหมือนคนหว่านยกมือขึ้นอย่างนุ่มนวล
เขาโบกเมล็ดพืชไปเหนือทุ่งนา
มันเป็นความโกลาหลที่ไม่มั่นคงไร้รูปทรงและเส้น
เหมือนภาพร่างแรกเหมือนรอยเปื้อน
โดยที่ดวงตาของศิลปินมองเห็นร่างของเทพธิดา
พร้อมที่จะนอนราบบนผ้าใบ
จากด้านหลังพุ่มไม้มาหาเราผอมบางปกคลุมไปด้วยสะเก็ด
ผู้หญิงเลวตัดหญ้าลูกศิษย์ที่ชั่วร้าย
และรอสักครู่จึงคว้ามันออกมาจากกระดูก
และกินชิ้นอร่อย
แต่จำไว้ว่า คุณก็ติดเชื้อเหมือนกัน
คุณจะนอนลงเหมือนซากศพเน่าเปื่อย
เธอ ดวงตะวันในดวงตาของฉัน ดวงดาวที่มีชีวิตของฉัน
คุณเสราฟิมผู้เปล่งประกาย
และคุณผู้งดงามจะถูกสัมผัสด้วยความเสื่อมโทรม
และคุณจะเน่าเสียถึงกระดูก
สวมดอกไม้ไว้อาลัย
การสกัดแขกที่ฝังศพ
บอกหนอนเมื่อพวกเขาเริ่มจูบ
เพื่อกลืนกินคุณในความมืดอันบริสุทธิ์
ช่างงดงามที่เน่าเปื่อยสักเพียงไรเราจะรักษาไว้ตลอดไป
และรูปแบบและระบบอมตะ
เราเห็นเธอวันหนึ่งในฤดูร้อน
เพื่อนของฉัน ฉันจำเป็นต้องเตือนคุณไหม?
เส้นทางทางเลี้ยว - และที่นั่นท่ามกลางก้อนหิน
ซากศพที่น่าขยะแขยงนั่น
เหงื่อออกยาพิษ ยกขาขึ้นสูง
เหมือนอีตัวข้างถนน
นอนลงอย่างไร้ยางอายและมีน้ำมูกไหลออกมา
ท้องอันชั่วร้ายของเธอ
และดวงอาทิตย์จากเบื้องบนก็แผดเผาความเน่าเปื่อยนี้
ให้ละลายไปในธรรมชาติอีกครั้ง
ทุกสิ่งที่รวบรวมไว้ที่นี่อาจสลายตัวเป็นฝุ่นได้
และกลับไปเป็นร้อยเท่า
ห้องนิรภัยสีฟ้ามองดูศพที่เย่อหยิ่งนี้
ว่าดอกตูมมีหนองบานสะพรั่ง
กลิ่นเหม็นแรงมากจนในชั่วขณะหนึ่ง - และบนพื้นหญ้า
ซอมเลฟ คุณทรุดตัวลงพร้อมกับครวญคราง
ฝูงแมลงวันส่งเสียงพึมพำในอากาศที่มีกลิ่นเหม็นนั้น
เหนือท้องที่พ่นฝูงออกมา
ตัวอ่อนที่คลานเหมือนกระแสไขมัน
ตามกรอบภาพเคลื่อนไหว
ขึ้นครู่หนึ่งก็ลดระดับลงเหมือนคลื่น
มีฟองเล็กน้อยและมีน้ำมูกหนา
ดูเหมือนเต็มไปด้วยลมหายใจที่คลุมเครือ
เนื้อหนังมีชีวิตขึ้นมาและเติบโต
และโลกนี้ก็เหมือนเสียงลมเหมือนลำธาร
ดนตรีที่ไม่ได้ทำด้วยมือ:
นี่คือเสียงเครื่องฝัดเมื่อมีชาวนาอยู่ในนั้น
เขย่าธัญพืชเป็นจังหวะ
ลักษณะที่เบลอเริ่มไม่ชัดเจน
เหมือนแสง Chiaroscuro ระยิบระยับ
อะไรนะ ร่างอย่างเร่งรีบด้วยพลังแห่งความฝันเท่านั้น
ปรมาจารย์ผู้วิเศษสำเร็จการศึกษา
ในระยะไกลท่ามกลางก้อนหินมีสุนัขโทรมอยู่ในฝุ่น
เขามองดูเราอย่างชั่วร้ายและโง่เขลา
เพื่อที่คุณจะได้คว้ามันขึ้นมาจากพื้นดินได้อีกครั้ง
ชิ้นส่วนที่ฉีกออกจากศพ
- แต่คุณก็เหม็นเหมือนโครงกระดูกเลวทรามนั่นเช่นกัน
เหมือนกับการติดเชื้อที่เน่าเปื่อย
ดวงดาวแห่งดวงตาของฉัน รุ่งอรุณแห่งจิตวิญญาณของฉัน
ราชินีแห่งความหลงใหลและความปีติยินดี!
เจ้าจะเป็นเช่นนี้เมื่อได้ยินเสียงหอนของผู้หญิง
ในที่กำบังซึ่งปูกระดานและคับแคบ
คุณจะสงบลงใต้หญ้าอันเขียวชอุ่ม
ให้อาหารราที่หิวโหย
บอกหนอนว่าจะดูดอย่างดูดดื่ม
รูปร่างหน้าตาของคุณเหมือนไฟ - ท่อนไม้
ที่ฉันได้บันทึกไว้ทั้งจิตวิญญาณและร่างกายมานานหลายศตวรรษ
ที่รักของฉัน เน่าเปื่อย!
เธอจำได้ไหม ชีวิตของฉัน ปลายฤดูใบไม้ผลิเป็นอย่างไร
เมื่อรุ่งเช้าอ่อนโยนมาก
ซากศพที่น่าสมเพชปรากฏต่อเราในแอ่งน้ำหนอง
บนเตียงแข็งของดินแดนรกร้างเหรอ?
จงโอหังต่อหญิงโสเภณี เต็มไปด้วยความปรารถนา
ด้วยขาของฉันกางออกกว้าง
และเปิดเผยครรภ์นึ่งของเขาอย่างโง่เขลา
เธอทำให้เราประหลาดใจ
และดวงอาทิตย์ก็แผดเผาเธอทีละอนุภาค
ปรุงสุกกรองกากออก
ให้ละลายหนึ่งร้อยเท่า
คืนกลับสู่ธรรมชาติ
และพวกมันก็ฟักออกจากร่างขึ้นสู่สวรรค์แล้ว
ดอกไม้สีขาวโครงกระดูก
เมื่อสูดดมกลิ่นพวกมัน คุณแทบจะเอาชนะมันไม่ได้
การโจมตีอย่างฉับพลันของอาการวิงเวียนศีรษะ
ฝูงแมลงวันบนซากศพส่งเสียงกรอบแกรบเหมือนผ้าห่ม
หนอนไหลออกมาจากเธอ
และดูเหมือนพวกมันมีชีวิตขึ้นมาในสารละลายสีดำ
เน่ากระจัดกระจาย
ทั้งหมดนี้ละลายไหลและเป็นสนิม
เหมือนกับการถอนหายใจ
และร่างกายที่หกรั่วไหลก็ดูเหมือนจะทวีคูณ
เหมือนกระแสน้ำที่เร่งรีบ
และในความสับสนวุ่นวายนี้ก็มีเสียงร้องประสานเสียงแปลก ๆ
สงบลงเหมือนลมและคลื่น
ดูเหมือนว่ามีพัดกำลังเล่นอยู่
เสียงกรอบแกรบเป็นจังหวะของเมล็ดข้าว
ผืนผ้าใบจางหายไปอย่างไร
ในกรณีที่ความคิดจางหายไป - และร่างภาพให้สมบูรณ์
มีเพียงความทรงจำเท่านั้นที่ได้รับ
สุนัขผอมบางมองไปทางด้านหลังของเรา
ขี้ขลาดยิ้มในระยะไกล
และเฝ้ารักษาส่วนแบ่งของซากสัตว์ไว้
มีเวลาที่จะขโมยจากโลก
และคุณที่รักของฉันก็เป็นพิษจากศพเหมือนกัน
คุณจะทำให้โลกนี้อิ่มเอมใจ
และคุณดวงดาวของฉันถูกฉีกออกจากความเสื่อมโทรม
และคุณโชคชะตาและความหลงใหลของฉัน!
และคุณคนสวยและคุณจะจากไปในไม่ช้า
หุบเขาที่ส่องสว่างด้วยดอกไม้บาน
และในโลกแห่งความเสื่อมสลายฝูงสัตว์ที่ไม่รู้จักพอ
คุณจะไปที่โต๊ะจัดเลี้ยง!
เมื่อหนอนหิวจูบคุณ
บอกปรสิตแห่งหลุมศพว่า
ว่าฉันเป็นจากความตายซึ่งเราหลีกเลี่ยงไม่ได้
บันทึกลมหายใจของคุณ
29. ซากศพ
คุณจำสิ่งที่เราเห็นในฤดูร้อนได้ไหม?นางฟ้าของฉัน คุณจำได้ไหม
ม้าที่ตายแล้วภายใต้แสงสีขาวอันเจิดจ้า
ท่ามกลางหญ้าสีแดงเหรอ?
เธอทรุดตัวลงครึ่งหนึ่งโดยกางขาออก
เหมือนสาวข้างถนน
เธอนอนอย่างไร้ยางอาย พุงขึ้นข้างถนน
มีกลิ่นเหม็น มีหนองไหลออกมา
และดวงอาทิตย์ก็แผดเผาความเน่าเปื่อยนี้จากท้องฟ้า
เพื่อเผาซากศพลงสู่พื้นดิน
ดังนั้นธรรมชาติอันยิ่งใหญ่จึงรวมเป็นหนึ่งเดียว
ยอมรับการตัดการเชื่อมต่อแล้ว
และชิ้นส่วนของโครงกระดูกก็ยิ้มแย้มขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว
ใหญ่โตเหมือนดอกไม้..
จากกลิ่นเหม็นในทุ่งหญ้าในฤดูร้อนอันหอมกรุ่น
คุณเกือบจะรู้สึกไม่สบาย
รีบไปงานเลี้ยงมีแมลงวันพึมพำ
พวกเขาโฉบอยู่เหนือกองที่เลวทราม
และหนอนก็คลานและจับกลุ่มอยู่ในท้อง
เหมือนเมือกหนาสีดำ
ทั้งหมดนี้เคลื่อนไหวสั่นไหวและแวววาว
ราวกับว่ามันฟื้นขึ้นมาทันที
ร่างกายอันชั่วร้ายก็เติบโตและทวีคูณ
มีลมหายใจคลุมเครือมากมาย
และโลกนี้ก็มีเสียงลึกลับไหลออกมา
เหมือนลมเหมือนเพลาวิ่ง
เหมือนคนหว่านยกมือขึ้นอย่างนุ่มนวล
เขาโบกเมล็ดพืชไปเหนือทุ่งนา
มันเป็นความโกลาหลที่ไม่มั่นคงไร้รูปทรงและเส้น
เหมือนภาพร่างแรกเหมือนรอยเปื้อน
โดยที่ดวงตาของศิลปินมองเห็นร่างของเทพธิดา
พร้อมที่จะนอนราบบนผ้าใบ
จากด้านหลังพุ่มไม้มาหาเราผอมบางปกคลุมไปด้วยสะเก็ด
ผู้หญิงเลวตัดหญ้าลูกศิษย์ที่ชั่วร้าย
และรอสักครู่จึงคว้ามันออกมาจากกระดูก
และกินชิ้นอร่อย
แต่จำไว้ว่า คุณก็ติดเชื้อเหมือนกัน
คุณจะนอนลงเหมือนซากศพเน่าเปื่อย
เธอ ดวงตะวันในดวงตาของฉัน ดวงดาวที่มีชีวิตของฉัน
คุณเสราฟิมผู้เปล่งประกาย
และคุณผู้งดงามจะถูกสัมผัสด้วยความเสื่อมโทรม
และคุณจะเน่าเสียถึงกระดูก
สวมดอกไม้ไว้อาลัย
การสกัดแขกที่ฝังศพ
บทกวี "Carrion" ของ Charles Baudelaire รวมอยู่ในคอลเลคชัน "flowers of evil" ที่ "กบฏ" ที่สุดชุดหนึ่งของเขา หากเราพิจารณา "ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย" ตามชีวประวัติของกวีเอง สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าเขาไม่พิจารณาว่าจำเป็นต้องแยกความรู้สึกบริสุทธิ์ออกจากความรู้สึกที่พัฒนาตามภูมิหลังของชีวิตทางสังคมและการเมืองของคนรุ่นราวคราวเดียวกัน โดยทั่วไปแล้ว ใน "ดอกไม้แห่งความชั่วร้าย" เราสัมผัสได้ถึงความปรารถนาของผู้เขียนที่จะขยายขอบเขตของบทกวีแบบดั้งเดิมที่เชิดชูความงาม ธรรมชาติ ความรัก และคุณค่านิรันดร์อื่น ๆ ท้ายที่สุด โบดแลร์อุทิศสถานที่ที่โดดเด่นให้กับคนที่น่าเกลียดและน่าขยะแขยง
บทกวีชื่อดัง "Carrion" ซึ่งรวมอยู่ในคอลเลกชันและทำให้เกิดการวิจารณ์ที่หลากหลายในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกันกลายเป็นการแสดงออกที่แท้จริงของแรงบันดาลใจดังกล่าว แน่นอน เหนือสิ่งอื่นใด บทกวีนี้สร้างความตกใจให้กับสาธารณชนที่มีเจตนาดี ซึ่งคุ้นเคยกับบทกวีที่ฟังแล้วเพลิดเพลิน โบดแลร์ไม่ได้ร้องเพลงถึงความงามอมตะของจิตวิญญาณ แต่ร้องเพลงถึงความงามที่เสื่อมสลายของร่างกายที่เน่าเปื่อยและม้า: "ม้าที่ตายแล้ว", "วางท้อง", "เหม็นมีหนองหลั่ง"- ดังนั้นชื่อ - "ซากศพ"
ในวรรณคดีรัสเซียบทกวีนี้ได้รับความนิยมเมื่อต้นศตวรรษที่ยี่สิบ กวี Symbolist กลายเป็นนักแปลที่กระตือรือร้นที่สุด การแปลของ Lev Kobylinsky (เขียนโดยใช้นามแฝงเอลลิส) กลายเป็นที่ยอมรับ เอลลิสกลายเป็นนักเทศน์ของโบดแลร์โดยพื้นฐานแล้ว และถือว่าบทกวีของเขา "ซากศพ" เป็นแก่นสารของผลงานของกวีชาวฝรั่งเศสรายนี้ อะไรทำให้ผู้เสื่อมอายุในรัสเซียสนใจเช่นนั้น? เหตุใดบทกวีนี้จึงถูกอ้างถึงบ่อยที่สุดและมีการเลียนแบบมากที่สุด ลองคิดดูสิ
ในบรรดาคำแปลที่รู้จักทั้งหมดของ "Carrion" มีเหตุผลมากกว่าที่จะมุ่งเน้นไปที่การแปลของ Wilhelm Levick เนื่องจากเวอร์ชันของเขาเป็นเวอร์ชันกวีนิพนธ์ที่เข้าใจได้มากที่สุดสำหรับหูของรัสเซีย - สลับ iambic hexameter และ iambic tetrameter และ cross rhyme ในประเภทเพลง นี่เป็นการอุทิศให้กับ Jeanne Duval ผู้เป็นที่รักของกวี พระเอกโคลงสั้น ๆ กล่าวถึงนางเอกแนะนำให้นึกถึงศพม้าที่เน่าเปื่อยครึ่งหนึ่งที่พวกเขาเคยเห็น ทำไมคุณถาม ปรากฎว่าการเห็นปรากฏการณ์ที่น่าขยะแขยงนี้ทำให้เกิดความคิดของฮีโร่เกี่ยวกับความสามัคคีกับธรรมชาติ “เราทุกคนจะนอนอยู่บนพื้น ทุกอย่างจะเป็นฝุ่น”- โดยวิธีการที่เขาเตือนที่รักของเขาว่าเธอก็จะต้องตายเช่นกันซึ่งหมายความว่า "เน่าถึงกระดูก"และหนอนของเธอ “พวกมันจะเริ่มกลืนกินในความมืดอันบริสุทธิ์”- และทั้งหมดนี้แล้ว “เพื่อให้ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ยอมรับสิ่งที่รวมกันเป็นหนึ่งว่าแยกออกจากกัน”- ดังนั้น โบดแลร์จึงพูดถึงความเปราะบางของทุกสิ่งรอบตัวเรา รวมถึงความงามของผู้หญิงด้วย
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือสำหรับโบดแลร์ การเปลี่ยนไปสู่สถานะดั้งเดิมนั้นเทียบได้กับความคิดสร้างสรรค์ เมื่อทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้นและเกิดความสับสนวุ่นวาย ( “มันเป็นความโกลาหลที่ไม่มั่นคงไร้รูปทรงและเส้น”- แต่ทันทีที่ศิลปิน (ผู้สร้าง?) หยิบสไตลัสขึ้นมา มันก็จะปรากฏต่อหน้าเรา “เหมือนร่างแรกเหมือนรอยเปื้อน”, ร่างของชีวิตใหม่, “ที่ตาศิลปินเห็นรูปปั้นเจ้าแม่พร้อมนอนบนผืนผ้าใบ”.
อย่างไรก็ตาม บทกวีจบลงด้วยเพลงสวดที่คาดไม่ถึงถึงความเป็นอมตะแห่งความงามที่แท้จริง: "ความงามที่เน่าเปื่อยได้ - ฉันจะรักษาทั้งรูปร่างและโครงสร้างที่เป็นอมตะตลอดไป"- กวีมั่นใจว่าบทกวีชั้นสูงเท่านั้นที่สามารถรักษาความงามชั่วนิรันดร์ผ่านพลังของคำบทกวี
ความจริงที่ว่าโบดแลร์สามารถผลักดันขอบเขตของจินตภาพบทกวีโดยนำเสนอความสามัคคีแม้กระทั่งในภาพของศพที่เน่าเปื่อย แต่ก็ไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับคนรัสเซียที่เสื่อมโทรมได้ “ Carrion” ทำให้เกิดการลอกเลียนแบบนับไม่ถ้วนทำให้เกิดกระแสวรรณกรรมใหม่ขึ้นมาซึ่งสาระสำคัญสามารถระบุได้จากบรรทัดจากเพลง "Half-Breed" ของ A. Vertinsky: "ฉันสามารถสร้างบทกวีจากซากศพได้" และหลายทศวรรษต่อมาในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 ของศตวรรษที่ 20 ผู้นำกลุ่มร็อค "Alice" Konstantin Kinchev ในอัลบั้มแรกของเขา "Energy" ในเพลงชื่อเดียวกันใช้บทกวี "Carrion" ของ Baudelaire เป็นประเภท ของความเป็นมา พวกเขาจะอ่าน "ซากศพ" ในศตวรรษที่ 21 หรือไม่?
ซาโมซาดีน่า เอคาเทรินา
นอกจากวิเคราะห์ "ซากศพ" แล้ว ยังสนใจงานอื่นๆ อีกด้วย
"ซากศพ" ชาร์ลส์ โบดแลร์
คุณจำสิ่งที่เราเห็นในฤดูร้อนได้ไหม?
นางฟ้าของฉัน คุณจำได้ไหม
ม้าที่ตายแล้วภายใต้แสงสีขาวอันเจิดจ้า
ท่ามกลางหญ้าสีแดงเหรอ?เธอทรุดตัวลงครึ่งหนึ่งโดยกางขาออก
เหมือนสาวข้างถนน
เธอนอนอย่างไร้ยางอาย พุงขึ้นข้างถนน
น่ารังเกียจมีหนองหลั่งและดวงอาทิตย์ก็แผดเผาความเน่าเปื่อยนี้จากท้องฟ้า
เพื่อเผาซากศพลงสู่พื้นดิน
ดังนั้นธรรมชาติอันยิ่งใหญ่จึงรวมเป็นหนึ่งเดียว
ยอมรับการตัดการเชื่อมต่อแล้วและชิ้นส่วนของโครงกระดูกก็ยิ้มแย้มขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว
ใหญ่โตเหมือนดอกไม้..
จากกลิ่นเหม็นในทุ่งหญ้าในฤดูร้อนอันหอมกรุ่น
คุณเกือบจะรู้สึกไม่สบายรีบไปงานเลี้ยงมีแมลงวันพึมพำ
พวกเขาโฉบอยู่เหนือกองที่เลวทราม
และหนอนก็คลานและจับกลุ่มอยู่ในท้อง
เหมือนเมือกหนาสีดำทั้งหมดนี้เคลื่อนไหวสั่นไหวและแวววาว
ราวกับว่ามันฟื้นขึ้นมาทันที
ร่างกายอันชั่วร้ายก็เติบโตและทวีคูณ
มีลมหายใจคลุมเครือมากมายและโลกนี้ก็มีเสียงลึกลับไหลออกมา
เหมือนลมเหมือนเพลาวิ่ง
เหมือนคนหว่านยกมือขึ้นอย่างนุ่มนวล
เขาโบกเมล็ดพืชไปเหนือทุ่งนามันเป็นความโกลาหลที่ไม่มั่นคงไร้รูปทรงและเส้น
เหมือนภาพร่างแรกเหมือนรอยเปื้อน
โดยที่ดวงตาของศิลปินมองเห็นรูปปั้นของเทพธิดา
พร้อมที่จะนอนราบบนผ้าใบจากด้านหลังพุ่มไม้มาหาเราผอมบางปกคลุมไปด้วยสะเก็ด
ผู้หญิงเลวตัดหญ้าลูกศิษย์ที่ชั่วร้าย
และรอสักครู่จึงคว้ามันออกมาจากกระดูก
และกินชิ้นอร่อยแต่จำไว้ว่า คุณก็ติดเชื้อเหมือนกัน
คุณจะนอนลงเหมือนซากศพเน่าเปื่อย
เธอ ดวงตะวันในดวงตาของฉัน ดวงดาวที่มีชีวิตของฉัน
คุณเสราฟิมผู้เปล่งประกายและคุณผู้งดงามจะถูกสัมผัสด้วยความเสื่อมโทรม
และคุณจะเน่าเสียถึงกระดูก
สวมดอกไม้ไว้อาลัย
การสกัดแขกที่ฝังศพบอกหนอนเมื่อพวกเขาเริ่มจูบ
เพื่อกลืนกินคุณในความมืดอันบริสุทธิ์
สิ่งสวยงามที่เน่าเปื่อยนั้นเราจะรักษาไว้ตลอดไป
และรูปแบบและระบบอมตะ
วิเคราะห์บทกวี "Carrion" ของโบดแลร์
เมื่อมีการตีพิมพ์คอลเลคชันเรื่องอื้อฉาวเรื่อง Flowers of Evil (พ.ศ. 2400) กวีชาวฝรั่งเศส Charles Pierre Baudelaire (พ.ศ. 2364-2410) ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ด้านบทกวีของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถของเขาในการทำให้สาธารณชนอ่านตกใจอีกด้วย เขาได้กล่าวถึงแก่นเรื่องและรูปภาพดังกล่าวว่าบทกวีของเขาไม่ได้ทำให้ใครเฉยเมยด้วยคำพูดที่น่าทึ่ง ผลงานของเขาทำให้เขารังเกียจ บังคับให้เขาปิดหนังสือและไม่กลับมาอ่านอีก หรือทำให้เขาหลงใหลและตรึงใจเขาไว้กับตัวเอง
นั่นคือบทกวี "ซากศพ" ซึ่งรวมอยู่ในหมวด "ม้ามและอุดมคติ" เมื่อพิจารณาจากจำนวนการแปลและการเลียนแบบ งานชิ้นนี้สัมผัสความรู้สึกของกวีร่วมสมัยของโบดแลร์และนักเขียนรุ่นหลังหลายคน ชื่อเรื่องนั้นสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้อ่านซึ่งคุ้นเคยกับการแสดงออกที่นุ่มนวลกว่า ไม่ใช่ทุกวันที่คุณจะเจอภาพลักษณ์ที่หยาบคายในชื่อผลงาน
ในรัสเซีย การแปลบทกวีนี้ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือการแปลของกวีวิลเฮล์ม เลวิก (1907–1982) นักแปลยังคงรักษาองค์ประกอบดั้งเดิมของงานไว้ คล้ายกับแหล่งที่มา มันมีสัมผัสข้ามรูปแบบ abab โครงสร้างของ quatrains ก็คล้ายกันเช่นกัน - เส้นคี่ยาวมีตอนจบที่เป็นผู้หญิง แม้กระทั่งเส้นที่สั้นกว่าและมีตอนจบแบบผู้ชายก็ตาม มิเตอร์ที่แปลว่า "ซากศพ" คือ iambic hexameter (ในเส้นคี่) และ iambic pentameter (ในเส้นคู่)
บทสิบสองบทเล่าถึงการเดินที่ผิดปกติซึ่งพระเอกโคลงสั้น ๆ มีส่วนร่วมกับความหลงใหลของเขา ความพิเศษของทางเดินริมน้ำแห่งนี้อยู่ที่ว่าแทนที่จะชื่นชมทิวทัศน์ในฤดูร้อน ตัวละครจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของศพที่พวกเขาบังเอิญพบระหว่างทาง เก้า quatrains มีไว้สำหรับคำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการเน่าเปื่อย การสลายตัว และการเน่าเปื่อยของม้าที่ตายแล้ว อีกสามคนเป็นการประกาศความรักต่อเพื่อนของคุณ ผู้เขียนเตือนเธอว่าวันหนึ่งเธอก็จะสิ้นสุดการเดินทางของชีวิตของเธอเช่นกัน:
และคุณผู้งดงามจะถูกสัมผัสด้วยความเสื่อมโทรม
แล้วคุณจะเน่าถึงกระดูก...
อย่างไรก็ตาม กวีสัญญาว่าเขาจะรักษาภาพลักษณ์ที่สวยงามของเธอไว้ในบทกวีของเขา จึงทำให้ความงามของเธอเป็นอมตะ
ผู้เขียนต้องการจะพูดอะไรโดยพรรณนาถึงปรากฏการณ์ที่น่าเกรงขามเช่นนี้อย่างละเอียด? นักวิจัยผลงานของโบดแลร์ตั้งข้อสังเกตว่ากวีคนนี้ให้ความสำคัญกับความงามเหนือสิ่งอื่นใด ประเด็นโปรดของเขาคือการต่อต้านชีวิต นั่นคือบางสิ่งทางโลก พื้นฐาน วัตถุ และนิรันดร์ - ความงาม ความรัก จิตวิญญาณ ในเวลาเดียวกัน โลกเองก็มีความงามอยู่ด้วย ดังนั้น กวีจึงเปรียบเทียบซากที่ผุพังกับสิ่งสวยงามว่า
และชิ้นส่วนของโครงกระดูกก็ยิ้มแย้มขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้ว
ใหญ่โตเหมือนดอกไม้..
กวีกำหนดหน้าที่ของตัวเองในการแย่งชิงสิ่งที่มีค่าที่สุดไปจากชีวิตและรักษาความงามไว้ชั่วนิรันดร์ นี่คือแรงจูงใจหลักของขบวนการบทกวีแห่งความเสื่อมโทรมซึ่งโบดแลร์เองก็เป็นเจ้าของ เมื่อพิจารณาจากอิทธิพลที่ผลงานของกวีมีต่อลูกหลานของเขา ผู้เขียนก็ประสบความสำเร็จ