ปืนพกเยอรมันแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง - อุดมคติหรือตำนาน อาวุธขนาดเล็กของสงครามโลกครั้งที่สองโดยสังเขป
- ปืนไรเฟิลของเยอรมนี อเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ สหภาพโซเวียต (ภาพถ่าย)
- ปืนพก
- ปืนกลมือ
- อาวุธต่อต้านรถถัง
- เครื่องพ่นไฟ
กล่าวโดยย่อว่าก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะปะทุขึ้น ประเทศต่างๆโลกได้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว ทิศทางทั่วไปในการพัฒนาและผลิตอาวุธขนาดเล็ก เมื่อพัฒนารูปแบบใหม่และปรับปรุงสิ่งเก่าให้ทันสมัย ให้ความสำคัญกับการเพิ่มความหนาแน่นของไฟมากขึ้น ในเวลาเดียวกัน ความแม่นยำและระยะการยิงก็จางหายไปในพื้นหลัง สิ่งนี้นำไปสู่ การพัฒนาต่อไปและเพิ่มจำนวน มุมมองอัตโนมัติ แขนเล็ก- ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือปืนกลมือ ปืนกล ปืนไรเฟิลจู่โจม ฯลฯ
ความจำเป็นในการยิงอย่างที่พวกเขาพูดในขณะเดินทางนำไปสู่การพัฒนาอาวุธที่เบากว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งปืนกลมีน้ำหนักเบาและคล่องตัวมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีอาวุธ เช่น ระเบิดมือลูกซอง ปืนไรเฟิลต่อต้านรถถัง และเครื่องยิงลูกระเบิด ออกมาเพื่อใช้ในการต่อสู้
ปืนไรเฟิลของเยอรมนี อเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ สหภาพโซเวียต
พวกมันเป็นหนึ่งในอาวุธที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในเวลาเดียวกันส่วนใหญ่ที่มีโบลต์เลื่อนตามยาวมี "รากร่วมกัน" ย้อนกลับไปที่ Mauser Hewehr 98 ซึ่งเข้าประจำการกับกองทัพเยอรมันก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
- ชาวฝรั่งเศสยังได้พัฒนาปืนไรเฟิลที่บรรจุกระสุนได้เอง อย่างไรก็ตามเนื่องจาก ยาว(เกือบหนึ่งเมตรครึ่ง) “RSC M1917” ไม่เคยแพร่หลาย
- บ่อยครั้งเมื่อพัฒนาปืนไรเฟิลประเภทนี้ นักออกแบบ "เสียสละ" ระยะการยิงที่มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มอัตราการยิง
ปืนพก
ปืนพกจากผู้ผลิตที่รู้จักกันในความขัดแย้งครั้งก่อนยังคงเป็นอาวุธขนาดเล็กส่วนบุคคลในสงครามโลกครั้งที่สอง ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงพักระหว่างสงคราม สงครามหลายแห่งได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย และเพิ่มประสิทธิภาพ
ความจุนิตยสารของปืนพกในช่วงเวลานี้อยู่ระหว่าง 6 ถึง 8 รอบซึ่งอนุญาตให้ทำการยิงต่อเนื่องได้
- ข้อยกเว้นเดียวในซีรีส์นี้คือ American Browning High-Power ซึ่งนิตยสารบรรจุได้ 13 รอบ
- อย่างกว้างขวางที่สุด อาวุธที่รู้จักประเภทนี้รวมถึง Parabellums ของเยอรมัน, Lugers และต่อมา Walters, British Enfield No. 2 Mk I และ TT-30 และ 33 ของโซเวียต
ปืนกลมือ
การปรากฏตัวของอาวุธประเภทนี้ถือเป็นก้าวต่อไปในการเสริมพลังการยิงของทหารราบ พวกเขาพบว่ามีการใช้อย่างแพร่หลายในการรบต่อไป โรงละครตะวันออกการกระทำทางทหาร
- ที่นี่กองทหารเยอรมันใช้ Maschinenpistole 40 (MP 40)
- ในการประจำการกับกองทัพโซเวียต PPD 1934/38 ได้ถูกแทนที่อย่างต่อเนื่อง โดยต้นแบบคือ Bergman MR 28, PPSh-41 และ PPS-42 ของเยอรมัน
อาวุธต่อต้านรถถัง
การพัฒนารถถังและรถหุ้มเกราะอื่นๆ ทำให้เกิดอาวุธที่สามารถทำลายล้างได้แม้กระทั่งยานพาหนะที่หนักที่สุด
- ดังนั้นในปี พ.ศ. 2486 จึงเข้ารับราชการ กองทัพอเมริกัน Ml Bazooka ปรากฏตัวขึ้น และต่อมาคือ M9 เวอร์ชันปรับปรุง
- ในทางกลับกัน เยอรมนีได้นำอาวุธของสหรัฐฯ มาเป็นต้นแบบ และเชี่ยวชาญการผลิต RPzB Panzerschreck อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Panzerfaust ซึ่งการผลิตมีราคาไม่แพงนักและตัวมันเองก็ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ
- อังกฤษใช้ PIAT กับรถถังและรถหุ้มเกราะ
เป็นที่น่าสังเกตว่าความทันสมัยของอาวุธประเภทนี้ไม่ได้หยุดอยู่ตลอดช่วงสงคราม ก่อนอื่นเลย นี่เป็นเพราะว่ามีการเสริมสร้างและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เกราะรถถังและเพื่อที่จะฝ่าฟันมันไปได้ จำเป็นต้องมีอำนาจการยิงที่แข็งแกร่งมากขึ้น
เครื่องพ่นไฟ
เมื่อพูดถึงอาวุธขนาดเล็กในยุคนั้น คงไม่มีใครพลาดที่จะพูดถึงเครื่องพ่นไฟซึ่งเป็นหนึ่งในอาวุธส่วนใหญ่ มุมมองที่น่ากลัวอาวุธและในขณะเดียวกันก็มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกนาซีใช้เครื่องพ่นไฟเพื่อต่อสู้กับผู้พิทักษ์สตาลินกราดซึ่งซ่อนตัวอยู่ใน "กระเป๋า" ของท่อระบายน้ำ
ในโพสต์ก่อนหน้านี้ Holivar เปิดเผยในหัวข้อปืนไรเฟิลจู่โจม Kalashnikov ซึ่งอย่างที่คุณทราบคือทุกสิ่งทุกอย่างของเรา แต่ในขณะเดียวกันการประพันธ์การออกแบบก็ยังเป็นที่ถกเถียงกัน
ในช่วงของการสู้รบที่ดุเดือด ฉันอ่านบทความและการอภิปรายหลายบทความในฟอรัม และได้ข้อสรุปที่ไม่รักชาติว่า ท้ายที่สุดแล้ว ปืนไรเฟิลจู่โจม AK-47 ไม่ใช่ของโซเวียต ที่ได้รับการออกแบบใหม่อย่างสร้างสรรค์ของ Stg-44 ของเยอรมัน
ในฐานะคนที่ถอดประกอบและประกอบ Kalash ได้ใน 20 วินาทีและยิงใส่เป้าหมายสองครั้ง ฉันไม่สามารถจดจำสิ่งที่ฉันอ่านได้ ดังนั้นเรื่องราวที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดในความคิดของฉันคือสิ่งนี้
Hugo Schmeisser ช่างทำปืนทางพันธุกรรมได้ออกแบบปืนไรเฟิลจู่โจม (ปืนกลมือ) MP-16 ตัวแรกของเขาในปี 1916 มีการสร้าง 35,000 ลำ และสตอร์มทรูปเปอร์ก็วิ่งไปกับพวกเขาผ่านสนามเพลาะของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ออกแบบมาตลอดชีวิต อาวุธอัตโนมัติ.
ในปี 1928 เขาได้สร้าง MP-28 และก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน - ตำรวจใช้มัน จากนั้นก็มี MP-34, MP-36
อันสุดท้ายได้รับใบอนุญาตแล้ว โดย Erma Werke ซึ่งใช้การออกแบบของ Schmeisser ในการสร้าง MP-38/MP-40 อันโด่งดัง (สำหรับพลร่มและลูกเรือรถถัง)
นี่คือสิ่งที่แสดงในภาพยนตร์โซเวียตเกี่ยวกับสงคราม และเราเรียกปืนกลนี้ผิดว่า "Schmeisser"(อย่างไรก็ตาม มีการผลิตน้อยกว่า 1.5 ล้านคนใน 8 ปี ซึ่งด้วยกองทัพ 6 ล้านคน ไม่สามารถให้ผลแบบเดียวกับในภาพยนตร์ของเราได้ เมื่อชาวเยอรมันทุกคนเดินด้วยปืนกลบนท้องของเขา )
ในขณะเดียวกันในปี พ.ศ. 2477 (หรือ พ.ศ. 2481?) มีการสร้างเวอร์ชันย่อในเยอรมนี ตลับหมึกกลาง- แวร์มัคท์ออกคำสั่ง ปืนสั้นอัตโนมัติภายใต้คาร์ทริดจ์นี้ถึงคู่แข่งสองราย - Schmeisser และ Walter พวกเขาสร้างปืนไรเฟิลจู่โจมตัวแรกของโลก Mkb-42X (Schmeisser) และ Mkb-42V (Walter)
ความแปลกใหม่อยู่ในคาร์ทริดจ์พิเศษนี้ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าคาร์ทริดจ์ปืนไรเฟิลซึ่งทำให้สามารถยิงเป็นชุดได้ แต่มีพลังมากกว่าคาร์ทริดจ์ปืนพกซึ่งเพิ่มระยะการยิงเมื่อเทียบกับปืนกลมือ ที่สอง คุณสมบัติที่สำคัญ- การใช้กลไกไอเสียก๊าซแทนการใช้การหดตัว
เมื่อนำมารวมกัน อาวุธขนาดเล็กที่ปฏิวัติวงการนี้ ปัจจุบัน ทหารทั่วโลกใช้อุปกรณ์ดังกล่าว
เช่นเดียวกับในสหภาพโซเวียต ในเยอรมนี การตัดสินใจทั้งหมดรวมถึงสิ่งที่ควรทำคือปืนไรเฟิล เป็นคนตัดสินใจโดย Fuhrer ในตอนแรกเขาไม่ชอบนวัตกรรมนี้ ปืนกลถูกสร้างขึ้นอย่างลับๆ และทดสอบในแนวรบด้านตะวันออก แต่แล้ว Fuhrer ก็เชื่อ และ Herr Hitler ก็ยอมตั้งชื่ออาวุธใหม่เป็นการส่วนตัว - "Sturmgewehr" (จริงๆแล้วเป็นปืนไรเฟิลจู่โจม)
นี่คือลักษณะของปืนไรเฟิลจู่โจม Stg-44 พวกเขาทำได้เพียงเล็กน้อยแต่เขาก็สู้ อย่างไรก็ตามมันไม่ได้แสดงในภาพยนตร์โซเวียตเรื่องใดเลย
อาวุธใหม่นี้ถูกพบเห็นในสหภาพโซเวียต แม้จะอยู่ในขั้นตอนการทดสอบภาคสนาม และสร้างความประทับใจอย่างมาก: “เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2486 ในกรุงมอสโก สภาเทคนิคผู้เชี่ยวชาญด้านพลเรือนและทหารมารวมตัวกันที่กองบังคับการสรรพาวุธประชาชน ถ้วยรางวัลที่ยึดได้บนโต๊ะวางอยู่ - ปืนกลเยอรมัน มีการออกคำสั่งทันที: ให้ทำสิ่งนี้ทันที ซับซ้อนในประเทศ"ตลับหมึกอัตโนมัติ" ()
ในปีพ. ศ. 2486 มีการสร้างคาร์ทริดจ์เฉพาะกาลของโซเวียตซึ่งดัดแปลงสำหรับอุปกรณ์ภายในประเทศ แต่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับขีปนาวุธของเยอรมัน Simonov เริ่มสร้างปืนสั้นอัตโนมัติสำหรับมันซึ่งออกแบบมาสำหรับการยิงเดี่ยว
อะนาล็อกของสหภาพโซเวียต ปืนไรเฟิลจู่โจมทำโดยทีมออกแบบหลายทีมในคราวเดียว - ภายใต้การนำของผู้เชี่ยวชาญ - Degtrev, Simonov รวมถึง Sudaev, Bulkin ฯลฯ และยังถูกกล่าวหาว่าอยู่ภายใต้การนำของจ่าสิบเอกอายุ 27 ปีที่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งโดย ครั้งนี้มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมอาวุธไม่เกิน 2 ปี - มิคาอิลคาลาชนิคอฟ
ในปี 1945 เมือง Suhl ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทของ Schmeisser ถูกชาวอเมริกันยึดครอง พวกเขานำนักออกแบบสองสามคนจากบริษัท Schmeisser ซึ่งต่อมาได้ช่วยชาวอเมริกันสร้าง M-16
สองสัปดาห์ต่อมา เมืองก็ตกเป็นของกองทัพแดง ได้รับเอกสารการออกแบบทั้งหมด (และน่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี) และมีการผลิตตัวอย่าง Stg-44 จำนวน 50 ตัวอย่างเป็นพิเศษ
ชไมเซอร์รับงานออกแบบ ปืนไรเฟิลใหม่ซึ่งเขาเริ่มทำ ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกยิงเพราะครั้งหนึ่งเขาเคยเข้าร่วมพรรคนาซีด้วยเหตุผลเห็นแก่ตัว
ฝ่ายตรงข้ามแสดงความเห็นในวิกิพีเดีย
พี.พี.เอส. ไม่ว่าในกรณีใด สิทธิ์ในปืนไรเฟิลจู่โจมซีรีส์ AK ยังคงเป็นของรัสเซีย
นาซีเยอรมนีกำลังเตรียมการทำสงครามอย่างจริงจังด้วย สหภาพโซเวียต- มีส่วนร่วมทั้งในด้านอุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์ ทรัพยากรมนุษย์ประเทศของตัวเองและศักยภาพของประเทศทาสทั้งหมด ออสเตรียและสาธารณรัฐเช็ก พร้อมด้วยจักรวรรดิไรช์ เป็นแหล่งผลิตอาวุธที่เป็นฐานการซ่อมแซม อุปกรณ์ทางทหาร, อาวุธของ Wehrmacht รถถัง เครื่องบิน ปืน รวมถึงอาวุธขนาดเล็กหลากหลายชนิด กองกำลังภาคพื้นดินพวกเขาเดินขบวนเป็นกระแสต่อเนื่องไปยังแนวรบด้านตะวันออกเพื่อให้ยังคงละลายและบิดเบี้ยวราวกับเศษโลหะบนดินรัสเซีย ปืนพกของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งให้บริการกับ Wehrmacht ทุกวันนี้มักจะถูกทำให้เป็นอุดมคติและรวบรวม ผู้ชื่นชอบและผู้ที่ชื่นชอบอาวุธในฟอรัมมักเรียกพวกเขาว่าเป็นตัวอย่างของแนวคิดการออกแบบและรูปลักษณ์ของมันในโลหะ นี่เป็นเรื่องจริงหรือเป็นเพียงการหลอกลวงอื่น ๆ ?
การผลิตอาวุธลำกล้องสั้น - ปืนพก, ปืนพกรุ่นหลังซึ่งสามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกสบายด้วยมือเดียวเพื่อติดอาวุธกองทัพไม่ใช่แนวคิดใหม่ ปืนพกแบบแรกคือปืนคาบศิลา ด้วยการถือกำเนิดของตัวอย่างแคปซูลแบบล้อ ผลกระทบจากหินเหล็กไฟ การออกแบบการจุดระเบิดของประจุผง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น แม้ว่าเนื่องจากความซับซ้อนและการผลิตที่ใช้แรงงานมากก็ตาม อาวุธราคาแพงใช้งานเป็นหลักดังนี้:
- อาวุธของทหารม้าที่ไม่สบายใจในการใช้ปืนยาวในการรบระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ปืนพกเหล่านี้แตกต่างออกไป อีกต่อไปลำกล้องเพื่อเพิ่มระยะการปะทะเป้าหมาย น้ำหนักที่มากได้รับการชดเชยโดยข้อเท็จจริงที่ว่าไม่ใช่คนขี่ที่ต้องถือปืนพกของทหารม้า
- อาวุธอันสูงส่งรวมถึงอาวุธดวล ปืนพกดังกล่าวมีความแตกต่างกันเช่น คุณภาพสูงความแม่นยำในการยิง และการตกแต่งที่มีราคาแพงจนกลายเป็นงานศิลปะ
- อาวุธของเจ้าหน้าที่.
ปืนพกเหล่านี้เป็นกระบอกเรียบ ยิงนัดเดียว และมักจะยิงผิดเวลา ดังนั้นเพื่อความน่าเชื่อถือและการประกันในสภาพการต่อสู้ พวกเขาจึงพยายามมีสำเนาสองชุดติดตัวไปด้วย เฉพาะในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เท่านั้นที่ปืนพกแบบคาร์ทริดจ์พร้อมกระบอกปืนไรเฟิลปรากฏขึ้นทำให้สามารถยิงที่แม่นยำหลายนัดโดยไม่ต้องบรรจุกระสุนใหม่ ด้วยข้อได้เปรียบดังกล่าว พวกเขาไม่เคยบังคับปืนพกออกจากประวัติศาสตร์ แม้จะมีการอุทธรณ์ลัทธิ ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับจิตสำนึกในภายหลังโดยชาวอเมริกันตะวันตก
กับ ปลาย XIXศตวรรษโดยนักออกแบบอาวุธ ประเทศต่างๆการพัฒนากำลังดำเนินการอยู่ ปืนพกบรรจุกระสุนเองหรือเรียกอีกอย่างว่าอัตโนมัติ ปืนพกประเภทนี้ประเภทแรกในประวัติศาสตร์ที่เข้าประจำการกับกองทหารม้าของออสเตรีย-ฮังการีคือ Roth-Steyr M1907:
อันดับแรก ตัวอย่างที่ดีแสดงให้ประเทศอื่น ๆ มีโอกาสที่จะติดอาวุธให้กับเจ้าหน้าที่ นายทหารชั้นต้น นักบิน และลูกเรือรถถังของตนด้วยอาวุธที่มีข้อได้เปรียบเหนือปืนไรเฟิลหลายประการ:
- ขนาดและน้ำหนักขนาดเล็กซึ่งช่วยให้คุณพกปืนพกได้เป็นเวลานานโดยไม่เมื่อยล้าในซองหนังบนเข็มขัดของคุณซึ่งคุณสามารถหยิบมันออกมาได้อย่างรวดเร็วและไม่รบกวนสภาพที่คับแคบ - ในรถยนต์ห้องนักบินของ เครื่องบิน รถถัง หรืออุปกรณ์อื่นๆ
- ง่ายต่อการจัดการ ความเฉื่อยต่ำระหว่างการใช้งาน เมื่อเทียบกับอาวุธสองมือ
- เนื่องจากมีมวลน้อย จึงสามารถบรรทุกเป็นอาวุธเสริมได้
ประสบการณ์การใช้งานในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งยืนยันความประทับใจและการสันนิษฐานเบื้องต้น สะดวกในการยิงจากปืนพกในการต่อสู้ระยะประชิด ภายในอาคาร สถานที่ รวมทั้งการขึ้นบันได การเคลื่อนย้ายในพุ่มไม้ ป่าทึบ,สวมใส่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้า แม้ว่าปืนพกจะด้อยกว่าปืนไรเฟิลในแง่ของอำนาจการยิง แต่ในหลายกรณี ปืนพกก็มีประสิทธิภาพเหนือกว่าในการต่อสู้ และมักจะทำให้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
นักออกแบบอาวุธชาวเยอรมันและออสเตรีย เราต้องให้โอกาสพวกเขา ใช้ความพยายามและความสามารถอย่างมากในการสร้างปืนพกที่พวกเขาสร้างขึ้น และต่อมา ปืนกลเยอรมันสงครามโลกครั้งที่สองได้รับ การยอมรับระดับโลกน่าเชื่อถือแค่ไหน อาวุธที่มีประสิทธิภาพ- โดยวิธีการหนึ่งในนั้น โซลูชั่นทางเทคนิคย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 30 ของศตวรรษที่ 19 ความจุของนิตยสารขยายที่เปลี่ยนได้เพิ่มขึ้นจาก 6 - 8 รอบเป็น 12 - 20 ซึ่งใช้ในอาวุธสมัยใหม่ด้วย
เมาเซอร์, วอลเตอร์, ลูเกอร์
ถูกต้องด้วยผู้ที่ชื่นชอบอักษรตัวใหญ่ อาวุธที่ดีเป็นปืนพกชื่อดังที่ใช้ประจำการกับตำรวจและ Wehrmacht ในช่วงสงครามโลกครั้งที่แล้ว และมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้ แต่ตามลำดับเกี่ยวกับรุ่นที่พบบ่อยที่สุดการผลิตซึ่งมีจำนวนหลายแสนชุด:
- ลูเกอร์ (รุ่น 1900) ปืนพกได้รับการพัฒนาในปี 1900 มีการปรับเปลี่ยนหลายอย่าง มอบปืนพกรุ่นปี 1903 และกระสุนขนาด 9 x 19 มม. เมื่อย้ายจากลำกล้อง 7.65 เป็น 9 มม. ชื่อที่ถูกต้อง Parabellum ซึ่งมักเรียกกันว่าอาวุธขนาดเล็กมือถืออันโด่งดังทุกรุ่น แม้ว่าหลังจากเข้าสู่ Reichswehr แห่ง Kaiser Germany แล้ว มีเพียงผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์เท่านั้นที่เริ่มได้รับชื่อนี้ มีการผลิตสำเนาการดัดแปลงปืนพก Luger (mod.1900) จำนวน 282,000 ชุด
- Luger P08 - อาวุธลำกล้องสั้นมาตรฐานของกองทัพเยอรมันตั้งแต่ปี 1908 ถึง 1945 น้ำหนักรวมแม็กกาซีน - เพียง 876 กรัม - 8 รอบ มีการเผยแพร่ประมาณ 3 ล้านเล่ม ปืนพกยี่ห้อ Luger ทั้งหมดผลิตจากเหล็กโลหะผสมที่ทนต่อการกัดกร่อน และโดดเด่นด้วยการผลิตคุณภาพสูง การออกแบบที่เชื่อถือได้ ความแม่นยำในการต่อสู้ สูง ความสามารถในการเจาะกระสุนยิงออกมาจากมัน ข้อเสีย ได้แก่ การผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น ต้นทุนสูง และความไวต่อการปนเปื้อน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขายังคงประจำการอยู่กับผู้บังคับบัญชาระดับรอง ลูกเรือติดอาวุธ และรถถัง อุปกรณ์เสริม- เจ้าหน้าที่เปลี่ยนมาใช้ปืนพกวอลเตอร์ที่ทันสมัยกว่า
- วอลเตอร์ พี38 – อาวุธโหลดตัวเองเส้นผ่าศูนย์กลาง 9 มม. เริ่มให้บริการในปี พ.ศ. 2483 มีความโดดเด่นด้วยคุณสมบัติทางเทคนิคสูงซึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งแสดงด้วยอายุการใช้งานที่รับประกัน 10,000 นัด น้ำหนัก – 880 กรัม แม็กกาซีน – 8 รอบ
- Walter RR (1929) เวอร์ชันย่อและเบากว่าของ Walter RRK (1931) ลักษณะตามลำดับ: น้ำหนัก - 690/590 กรัม ความยาว - 170/155 มม. หลักการทำงาน - ย้อนกลับ ความจุนิตยสาร - 8/7 รอบ ปืนพกผลิตขึ้นในสี่ลำกล้องตั้งแต่ 5 ถึง 9 มม. มีการผลิตทั้งหมดประมาณ 1.2 ล้านคัน
ใกล้ถึงวันหยุดแล้ว ชัยชนะอันยิ่งใหญ่- วันที่ คนโซเวียตเอาชนะการติดเชื้อฟาสซิสต์ เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การตระหนักว่ากองกำลังของฝ่ายตรงข้ามในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สองนั้นไม่เท่ากัน Wehrmacht นั้นเหนือกว่ากองทัพโซเวียตอย่างมากในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อยืนยันอาวุธขนาดเล็ก "โหล" ของทหาร Wehrmacht
1. เมาเซอร์ 98k
ปืนไรเฟิลนิตยสาร เยอรมันทำซึ่งเริ่มให้บริการในปี พ.ศ. 2478 ในกองทัพ Wehrmacht อาวุธนี้เป็นหนึ่งในอาวุธที่ใช้กันทั่วไปและได้รับความนิยมมากที่สุด ในหลายพารามิเตอร์ Mauser 98k นั้นเหนือกว่า ปืนไรเฟิลโซเวียตโมซิน. โดยเฉพาะเมาเซอร์ มีน้ำหนักน้อยลงสั้นกว่า มีสายฟ้าที่เชื่อถือได้มากกว่า และมีอัตราการยิง 15 นัดต่อนาที เทียบกับ 10 นัดสำหรับปืนไรเฟิลโมซิน สำหรับทั้งหมดนี้ เทียบเท่าเยอรมันจ่ายด้วยระยะการยิงที่สั้นลงและกำลังหยุดที่อ่อนลง
2. ปืนพกลูเกอร์
ปืนพกขนาด 9 มม. นี้ออกแบบโดย Georg Luger เมื่อปี 1900 ผู้เชี่ยวชาญสมัยใหม่ถือว่าปืนพกนี้ดีที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง การออกแบบของ Luger มีความน่าเชื่อถือมาก มีการออกแบบที่ประหยัดพลังงาน มีความแม่นยำในการยิงต่ำ ความแม่นยำสูงและอัตราการยิง ข้อบกพร่องที่สำคัญประการเดียวของอาวุธนี้คือการไม่สามารถปิดคันโยกล็อคกับโครงสร้างได้ซึ่งส่งผลให้ Luger อาจอุดตันด้วยสิ่งสกปรกและหยุดการยิง
3. ส.38/40
“Maschinenpistole” ต้องขอบคุณภาพยนตร์โซเวียตและรัสเซีย กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของพวกนาซี เครื่องจักรสงคราม- ความเป็นจริงก็เหมือนเช่นเคยมีบทกวีน้อยกว่ามาก MP 38/40 ซึ่งได้รับความนิยมในวัฒนธรรมสื่อ ไม่เคยเป็นอาวุธขนาดเล็กหลักสำหรับหน่วย Wehrmacht ส่วนใหญ่เลย พวกเขาติดอาวุธให้พวกเขาด้วยพลขับ ลูกเรือรถถัง และหน่วย หน่วยพิเศษ, กองหลังเช่นเดียวกับรุ่นน้อง เจ้าหน้าที่กองกำลังภาคพื้นดิน ทหารราบเยอรมันส่วนใหญ่ติดอาวุธด้วยเมาเซอร์ 98k มีเพียง MP 38/40s เท่านั้นที่ถูกส่งมอบให้กับกองกำลังจู่โจมในปริมาณหนึ่งเป็นอาวุธ "เพิ่มเติม"
4. เอฟจี-42
ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติเยอรมัน FG-42 มีไว้สำหรับพลร่ม เชื่อกันว่าแรงผลักดันในการสร้างปืนไรเฟิลนี้คือ Operation Mercury เพื่อยึดเกาะครีต เนื่องจากลักษณะเฉพาะของร่มชูชีพ กองกำลังลงจอด Wehrmacht จึงบรรทุกอาวุธเบาเท่านั้น อาวุธหนักและอาวุธเสริมทั้งหมดถูกทิ้งแยกกันในภาชนะพิเศษ แนวทางนี้จึงเกิด การสูญเสียครั้งใหญ่จากด้านลงจอด ปืนไรเฟิล FG-42 ก็เพียงพอแล้ว การตัดสินใจที่ดี- ฉันใช้คาร์ทริดจ์ขนาด 7.92x57 มม. ซึ่งบรรจุนิตยสารได้ 10-20 ฉบับ
5.มก.42
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมนีใช้ปืนกลหลายแบบ แต่ MG 42 ก็ได้กลายมาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของผู้รุกรานในสนามด้วยปืนกลมือ MP 38/40 ปืนกลนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1942 และแทนที่ MG 34 ที่ไม่น่าเชื่อถือบางส่วนบางส่วน แม้ว่าปืนกลใหม่จะมีประสิทธิภาพอย่างเหลือเชื่อ แต่ก็มีข้อเสียที่สำคัญสองประการ ประการแรก MG 42 มีความไวต่อการปนเปื้อนมาก ประการที่สอง มีเทคโนโลยีการผลิตที่มีราคาแพงและใช้แรงงานเข้มข้น
6. เกเวร์ 43
ก่อนเริ่มสงครามโลกครั้งที่สอง คำสั่ง Wehrmacht สนใจความเป็นไปได้ในการใช้งานน้อยที่สุด ปืนไรเฟิลบรรจุกระสุนได้เอง- เชื่อกันว่าทหารราบควรติดอาวุธด้วยปืนไรเฟิลธรรมดาและต้องมีการสนับสนุน ปืนกลเบา- ทุกอย่างเปลี่ยนไปในปี 1941 เมื่อสงครามเริ่มปะทุ ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ Gewehr 43 เป็นหนึ่งในปืนไรเฟิลที่ดีที่สุดในระดับเดียวกัน รองจากโซเวียตเท่านั้นและ อะนาล็อกอเมริกัน- คุณภาพของมันคล้ายกับ SVT-40 ในประเทศมาก นอกจากนี้ยังมีอาวุธรุ่นสไนเปอร์นี้ด้วย
7. มาตรฐาน 44
การจู่โจม ปืนไรเฟิล Sturmgewehr 44 ไม่ใช่คนที่ดีที่สุด อาวุธที่ดีที่สุดครั้งของสงครามโลกครั้งที่สอง มันหนักมาก ไม่สบายตัวเลย และดูแลรักษายาก แม้จะมีข้อบกพร่องเหล่านี้ StG 44 ก็กลายเป็นปืนกลตัวแรก ประเภทที่ทันสมัย- ดังที่คุณสามารถเดาได้ง่ายจากชื่อ มันถูกผลิตขึ้นแล้วในปี 1944 และถึงแม้ว่าปืนไรเฟิลนี้จะไม่สามารถช่วย Wehrmacht จากการพ่ายแพ้ได้ แต่ก็มีการปฏิวัติในด้านคู่มือ อาวุธปืน.
8.สตีลแฮนด์กราเนต
“สัญลักษณ์” อีกประการหนึ่งของ Wehrmacht อันนี้เป็นคู่มือ ระเบิดมือต่อต้านบุคลากรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายโดยกองทัพเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สอง มันเป็นถ้วยรางวัลที่ทหารแนวร่วมต่อต้านฮิตเลอร์ชื่นชอบในทุกด้าน เนื่องมาจากความปลอดภัยและความสะดวกสบาย ในช่วงเวลาทศวรรษที่ 40 ของศตวรรษที่ 20 Stielhandgranate เกือบจะเป็นระเบิดลูกเดียวที่ได้รับการปกป้องอย่างสมบูรณ์จากการระเบิดโดยพลการ อย่างไรก็ตาม มันก็มีข้อเสียหลายประการเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ระเบิดเหล่านี้ไม่สามารถเก็บไว้ในโกดังได้เป็นเวลานาน พวกเขายังรั่วไหลบ่อยครั้งซึ่งนำไปสู่ความเปียกชื้นและสร้างความเสียหายให้กับวัตถุระเบิด
9. เฟาสต์พาโทรน
ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เครื่องยิงลูกระเบิดต่อต้านรถถังการกระทำเพียงครั้งเดียว ในกองทัพโซเวียต ต่อมาชื่อ "เฟาสท์ปาตรอน" ได้รับการกำหนดให้เป็นภาษาเยอรมันทั้งหมด เครื่องยิงลูกระเบิดต่อต้านรถถัง- อาวุธดังกล่าวถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2485 โดยเฉพาะ "สำหรับ" แนวรบด้านตะวันออก- ประเด็นทั้งหมดก็คือ ทหารเยอรมันในเวลานั้นพวกเขาขาดอาวุธต่อสู้ระยะประชิดโดยสิ้นเชิง ปอดโซเวียตและรถถังกลาง
10. ปซบี 38
เยอรมัน ปืนไรเฟิลต่อต้านรถถัง Panzerbüchse Modell 1938 เป็นหนึ่งในที่สุด สายพันธุ์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักอาวุธขนาดเล็กจากสงครามโลกครั้งที่สอง ประเด็นก็คือมันถูกยกเลิกในปี 1942 เพราะมันดูไร้ประสิทธิภาพอย่างมากในการต่อสู้กับรถถังกลางโซเวียต อย่างไรก็ตาม อาวุธนี้เป็นการยืนยันว่าไม่ใช่แค่กองทัพแดงเท่านั้นที่ใช้ปืนดังกล่าว
เรามาต่อจากธีมอาวุธ เราจะแนะนำให้คุณรู้จักกับวิธีที่ลูกบอลยิงจากลูกปืน
ปืนไรเฟิล M-88 ถูกนำมาใช้เพื่อให้บริการในปี พ.ศ. 2431 ในปี พ.ศ. 2448 และ พ.ศ. 2457 มีการแก้ไขสองครั้ง: Gewehr 88/05 และ Gewehr 88/14 นอกจากนี้ จีนยังผลิตสำเนาที่ไม่มีใบอนุญาตภายใต้ชื่อ Hanyang 88 ปืนไรเฟิลดังกล่าวผลิตโดย Ludwig Loewe, Haenel, Steyr-Mannlicher, Imperial Arsenals of Amberg, Danzig, Erfurt และ Spandau, Hanyang Arsenal คุณสมบัติพิเศษของปืนไรเฟิลคือแม็กกาซีนซึ่งบรรจุกระสุนหนึ่งซอง ในระหว่างการถ่ายทำ ซองกระสุนอยู่ในแม็กกาซีนจนถึงตลับสุดท้าย หลังจากนั้นมันก็หลุดออกมาจากรูที่ส่วนล่างของแม็กกาซีน สิ่งนี้ทำให้การรีโหลดอาวุธเร็วขึ้น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการใช้ปืนไรเฟิลในจีน ตุรกี เชโกสโลวาเกีย และยูโกสลาเวีย โดยรวมแล้วมีการผลิตปืนไรเฟิลและปืนสั้นประมาณ 2 ล้านกระบอก ปืนไรเฟิลทีทีเอ็กซ์: ลำกล้อง – 7.92 มม.; ความยาว – 1,245 มม. ความยาวลำกล้อง - 740 มม. น้ำหนัก – 3.8 กก. ความจุนิตยสาร – 5 ตลับ 7.92x57 มม. ระยะการมองเห็น – 2 กม.
บนพื้นฐานของปืนไรเฟิล M-88 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2433 มีการผลิตปืนสั้นขนาดใกล้เคียงกันและนำมาใช้โดยทหารม้า มันแตกต่างจากปืนไรเฟิลตรงที่มีลำกล้องสั้นลง ไม่มีอุปกรณ์ยึดกระทุ้งและดาบปลายปืน วิธีการติดเข็มขัดแบบอื่น และด้ามโบลต์งอลง ในปีพ.ศ. 2434 ได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัย โดยได้รับฉายาว่า "Gew.91" และมีตะขอที่ปากกระบอกปืน ซึ่งออกแบบมาเพื่อวางปืนสั้นไว้ในม้าเลื่อย นอกจากนี้ บริษัท Haenel ยังผลิตปืนสั้นจำนวนหนึ่งสำหรับบรรจุกระสุนขนาด 7x57 มม. ปืนสั้นเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อจำหน่ายในอเมริกาใต้ ลักษณะการทำงานของปืนสั้น: ลำกล้อง – 7.92 มม.; ความยาว – 950 มม. ความยาวลำกล้อง - 445 มม. น้ำหนักไม่รวมตลับหมึก - 3.1 กก. ความจุนิตยสาร – 5 ตลับ 7.92x57 มม. ระยะการมองเห็น - 1.2 กม.
ปืนไรเฟิลอัตโนมัติได้รับการพัฒนาสำหรับกองทัพอากาศเยอรมันโดย Rheinmetall-Borsig ในปี 1943 บริษัท Krieghoff ผลิตปืนไรเฟิลได้ 2,000 กระบอกโดยไม่คำนึงถึงความคิดเห็น คณะกรรมการรับสมัคร- เครื่องนี้ถูกกำหนดอย่างไม่เป็นทางการว่า FG42-I ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2487 การผลิตปืนกลที่ออกแบบใหม่ทั้งหมดโดยมีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า FG42-II ได้เริ่มขึ้น เวอร์ชันล่าสุดถูกกำหนดให้เป็น FG42-III ในเอกสารหลายฉบับ นอกจากบริษัทที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ปืนกลยังผลิตโดย Dietrich และ Wagner & Co. เมื่อสิ้นสุดสงคราม มีการผลิตปืนไรเฟิลประมาณ 7,000 กระบอก
ปืนกลผลิตโดย C.G. Haenel Waffen und Fahrradfabrik" ตั้งแต่ปี 1943 และทำหน้าที่ติดตั้งให้กับหน่วยรบชั้นนำของ Wehrmacht ต้นแบบปืนกลถูกกำหนดให้เป็น MKb-42 และปืนอนุกรมคือ MP-43 มีการดัดแปลง MP-43/1 ที่เป็นที่รู้จักซึ่งมีความสามารถในการติดตั้งเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 30 มม. โดยการขันเข้ากับลำกล้อง เมื่อต้นปี พ.ศ. 2487 ปืนกลได้รับตำแหน่ง MP-44 และเมื่อปลายปีได้เปลี่ยนชื่อเป็น StG-44 ปืนไรเฟิลประเภทแก๊สอัตโนมัติพร้อมการกำจัดผงก๊าซผ่านรูด้านข้างในผนังลำกล้อง กลไกการเหนี่ยวไกเป็นแบบค้อนซึ่งอนุญาตให้ยิงครั้งเดียวและอัตโนมัติ ตัวเลือกการยิงอยู่ในกล่องไกปืน และปลายของมันยื่นออกไปทางซ้ายและขวา ในการดำเนินการยิงอัตโนมัติ ผู้แปลจะต้องเลื่อนไปทางขวาไปที่ตัวอักษร "D" และสำหรับการยิงครั้งเดียว - ไปทางซ้ายไปยังตัวอักษร "E" ปืนกลติดตั้งระบบล็อคเพื่อความปลอดภัยจากการยิงโดยไม่ตั้งใจ ยิงที่ระยะไกลถึง 400 เมตรด้วยการยิงนัดเดียวและเมื่อเข้าใกล้ที่สุดนักสู้ก็เปลี่ยนมายิงเป็นนัดสั้น ๆ อุปกรณ์เล็งสูงเกินไปและเปลวไฟอันแรงกล้าที่ออกมาจากกระบอกปืนทำให้ผู้ยิงเปิดโปง ปืนกลสามารถติดตั้งที่ยึดสำหรับ "เลนส์" สี่เท่า (ZF-4) และกล้องมองภาพกลางคืนแบบอินฟราเรด กระสุนของเครื่องประกอบด้วยนิตยสาร 6 ฉบับ ในช่วงสงครามมีการผลิตทั้งหมด 446,000 คัน ลักษณะการทำงานของปืนไรเฟิล: ลำกล้อง – 7.92 มม.; ความยาว – 940 มม. ความยาวลำกล้อง - 419 มม. น้ำหนักไม่รวมกระสุน 4.9 กก. น้ำหนักรวมกระสุน 6 กก. ความจุนิตยสาร - 30 รอบ 7.92x33 มม. ความเร็วเริ่มต้นกระสุน - 690 ม./วินาที; อัตราการยิง - 500 รอบต่อนาที; ระยะการมองเห็น – 600 ม.
ปืนสั้นบรรจุกระสุนได้เอง (ปืนไรเฟิล Volkssturm/VG.1-5) ผลิตโดยบริษัท Gustloff Werke ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2487 คุณสมบัติพิเศษของปืนสั้นคือระบบอัตโนมัติที่มีการกระทำแบบกึ่งพัดกลับเมื่อถูกเบรกด้วยผง ก๊าซ กลไกทริกเกอร์แบบค้อน การยิงทำได้เพียงนัดเดียวจากการยิงแบบปิด แต่ตัวอย่างบางส่วนมีตัวแปลโหมดการยิงและมีความสามารถในการยิงเป็นชุด ปืนสั้นถูกป้อนด้วยกระสุนจากแม็กกาซีนกล่องที่ถอดออกได้ของปืนไรเฟิลจู่โจม Stg-44 คาร์ไบน์ถูกสร้างขึ้นด้วย ใช้กันอย่างแพร่หลายการปั๊มจากเหล็กแผ่น การตอกหมุด และการเชื่อม โดยใช้เครื่องจักรขั้นต่ำในการตัดชิ้นส่วน คุณภาพของพวกเขาอยู่ในระดับต่ำสุดและเมื่อการยิงเกิดความล่าช้าเนื่องจากการปนเปื้อนของกลไกด้วยผงเขม่า นอกจากจะมีราคาถูกและง่ายต่อการผลิตแล้ว ปืนสั้นยังมีแรงถีบกลับต่ำ มีแม็กกาซีนความจุสูง และมีประสิทธิภาพการยิงค่อนข้างสูงในระยะใกล้ การมองเห็นคงที่ไม่อนุญาตให้ทำการยิงที่แม่นยำในระยะการยิงที่แตกต่างกัน มีการผลิตทั้งหมดประมาณ 10,000 หน่วย ลักษณะการทำงานของปืนสั้น: ลำกล้อง – 7.92 มม. ความยาว – 885 มม. ความยาวลำกล้อง - 378 มม. น้ำหนักไม่รวมตลับหมึก - 4.6 กก. ความจุนิตยสาร - 30 รอบ 7.92x33 มม. อัตราการยิง - 20 รอบต่อนาที ระยะการมองเห็น – 300 ม.
ปืนสั้น VG-1 ผลิตโดย Walther ในปี 1944-1945 และทำหน้าที่ติดอาวุธให้กับทหาร Volkssturm ซึ่งเป็นอาวุธที่ถูกที่สุดและง่ายที่สุดโดยมีลักษณะประสิทธิภาพต่ำ ปืนไรเฟิลกำลังทำซ้ำ โดยมีการบรรจุซ้ำแบบแมนนวลและการล็อคแบบแมนนวลโดยการหมุนโบลต์ สถานที่ท่องเที่ยวอลหม่าน. โดยรวมแล้วมีการผลิตประมาณ 100,000 หน่วย ลักษณะการทำงานของปืนสั้น: ลำกล้อง – 7.92 มม. ความยาว – 1,092 มม. ความยาวลำกล้อง - 589 มม. น้ำหนัก – 3.8 กก. ความจุแม็กกาซีน – 10 รอบ 7.92x57 มม.
ปืนสั้น VG-2 เช่นเดียวกับปืนไรเฟิลอื่นๆ ที่มีไว้สำหรับ Volkssturm ผลิตโดยบริษัท Spree-Werke ในปี 1944-1945 มีการออกแบบที่เรียบง่ายมากและราคาถูกกว่า ผิวหยาบ และอายุการใช้งานต่ำ ปืนไรเฟิลกำลังทำซ้ำ โดยมีการบรรจุและล็อคแบบแมนนวลโดยการหมุนโบลต์ โดยรวมแล้วมีการผลิตประมาณ 50,000 หน่วย ลักษณะการทำงานของปืนไรเฟิล: ลำกล้อง – 7.92 มม.; ความยาว – 1,068 มม. ความยาวลำกล้อง - 595 มม. น้ำหนัก – 3.9 กก. นิตยสารที่มีความจุ 10 ตลับ 7.92x57; ระยะการมองเห็น – 100 ม.
ปืนไรเฟิลบรรจุกระสุนอัตโนมัติ G-41 (W) ผลิตโดย Walther และ BLM ในปี พ.ศ. 2485-2486 ปืนไรเฟิลมีความน่าเชื่อถือต่ำ ความไวต่อการปนเปื้อน (รวมถึงเนื่องจากการที่โบลต์เดิมเลื่อนไปตามรางบนพื้นผิวด้านนอก ผู้รับ, ไวต่อการปนเปื้อนสูง), น้ำหนักมาก- หากจำเป็นให้ติดตั้งด้วยสายตาและดาบปลายปืน โดยรวมแล้วมีการผลิตปืนไรเฟิลประมาณ 145,000 กระบอก ลักษณะการทำงานของปืนไรเฟิล: ลำกล้อง – 7.92 มม.; ความยาว – 1,130 มม. ความยาวลำกล้อง - 545 มม. น้ำหนักไม่รวมตลับหมึก - 5 กก. ความจุแม็กกาซีน – 10 รอบ 7.92x57 มม. อัตราการยิง - 20 รอบต่อนาที ความเร็วกระสุนเริ่มต้น – 745 เมตร/วินาที; ระยะการมองเห็น – 800 ม.
ปืนไรเฟิลบรรจุกระสุนอัตโนมัติ G-41(M) ผลิตโดยเมาเซอร์ในปี พ.ศ. 2484 มีระบบนิรภัยแบบแมนนวลบนฝาครอบตัวรับสัญญาณและสามารถติดตั้งดาบปลายปืนมาตรฐานได้ เนื่องจากมีการเรียกร้องจำนวนมากจากกองทัพ จึงยุติการดำเนินการ ผลิตได้ทั้งหมด 6.7 พันหน่วย ลักษณะการทำงานของปืนไรเฟิล: ลำกล้อง – 7.92 มม.; ความยาว - 1172 มม. ความยาวลำกล้อง - 550 มม. น้ำหนักไม่รวมตลับหมึก - 5 กก. ความจุแม็กกาซีน – 10 รอบ 7.92x57 มม.
ปืนไรเฟิลบรรจุกระสุนอัตโนมัติ G-43 (Kar.43.) เป็นรุ่นที่ทันสมัยของ G-41 ซึ่งเริ่มผลิตในปี พ.ศ. 2486 โดย Carl Walther Waffenfabrik ปืนไรเฟิลมีผิวเคลือบที่เรียบง่าย การออกแบบใช้การหล่อและการตอกอย่างกว้างขวาง พื้นผิวด้านนอกของชิ้นส่วนหลายชิ้นมีการแปรรูปและการเคลือบที่หยาบมาก ปืนไรเฟิลอัตโนมัติถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของระบบไอเสียก๊าซ ลูกสูบแก๊สที่มีระยะชักสั้นตั้งอยู่เหนือกระบอกสูบ ความปลอดภัยจะอยู่ที่ด้านหลังของตัวรับ เหนือคอของสต็อก ตลับหมึกถูกป้อนจากแม็กกาซีนกล่องแบบถอดได้ สามารถบรรจุนิตยสารลงบนอาวุธได้โดยตรงโดยใช้คลิป 5 รอบมาตรฐาน จาก G-43 มีการสร้างการพัฒนาเชิงทดลองจำนวนหนึ่ง รวมถึง ปืนไรเฟิลอัตโนมัติซึ่งมีความสามารถในการยิงเป็นชุด เช่นเดียวกับรุ่นอื่นๆ ที่บรรจุกระสุนขนาด 7.92x33 มม. Kurtz ซึ่งใช้แม็กกาซีน 30 นัดจาก Stg-44 เพื่อใช้เป็นอาวุธสไนเปอร์ ปืนไรเฟิลนี้ติดตั้งระบบเล็งแบบ ZF-4
จนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม มีการผลิตปืนไรเฟิลพร้อม "เลนส์" จำนวน 53.4 พันกระบอกและ ปริมาณรวมปืนไรเฟิลที่ผลิตได้ถึง 403,000 ลักษณะการทำงานของปืนไรเฟิล: ลำกล้อง - 7.92; ความยาว – 1115 มม. ความยาวลำกล้อง - 560 มม. น้ำหนักไม่รวมคาร์ทริดจ์และเลนส์ - 4.2 กก. ความจุนิตยสาร - 10 หรือ 30 รอบ 7.92x57 มม. ความเร็วกระสุนเริ่มต้น – 745 เมตร/วินาที; อัตราการยิง - 30 รอบต่อนาที; ระยะการมองเห็น – 800 ม.
ปืนไรเฟิลเมาเซอร์ 98 เข้าประจำการในปี พ.ศ. 2441 และผลิตจนถึงปี พ.ศ. 2488 ข้อดีของปืนไรเฟิล ได้แก่: ขีปนาวุธที่ดี- สลักเกลียวที่ยอดเยี่ยมพร้อมตัวดีดอันทรงพลัง การชาร์จที่รวดเร็วและสะดวกสบาย นิตยสารถูกซ่อนอยู่ในสต็อกอย่างสมบูรณ์ซึ่งช่วยปกป้องจากความเสียหาย ฟิวส์ประเภทธงที่สะดวกและเชื่อถือได้ การติดตั้งบล็อกของชุดคลัตช์โบลต์พร้อมสปริงหลักและฟิวส์ ในการติดตั้งสายตาแบบออพติคัล ด้ามจับโบลต์จะงอลง ปืนไรเฟิล Gewehr 98 ยังใช้ในสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ส่วนใหญ่ถูกดัดแปลงเป็นปืนสั้น ปืนไรเฟิลดังกล่าวผลิตโดยบริษัทอย่างน้อย 15 แห่ง และให้บริการกับเบลเยียม เชโกสโลวาเกีย สเปน เม็กซิโก ตุรกี เปรู จีน และผลิตในออสเตรีย โปแลนด์ และประเทศอื่นๆ มีการผลิตทั้งหมดมากกว่า 24 ล้านหน่วย ลักษณะการทำงานของปืนไรเฟิล: ลำกล้อง – 7.92 มม.;; ความยาว – 1250 มม. ความยาวลำกล้อง - 740 มม. น้ำหนัก – ความจุนิตยสาร 4.1 กก. – 5 ตลับ 7.92x57 มม. ความเร็วกระสุนเริ่มต้น – 760 ม./วินาที; ระยะการมองเห็น – 2 กม.; อัตราการยิง - 15 รอบต่อนาที
ปืนสั้นถูกนำเข้าประจำการในปี พ.ศ. 2478 และเป็นปืนไรเฟิลเมาเซอร์ 98 เวอร์ชันดัดแปลงที่สั้นลง โดยมีแม็กกาซีนสองแถวบรรจุด้วยคลิปหนีบ ด้ามจับโบลต์โค้งลง แท่นหมุนของทหารม้า และตัวดีดคลิป ปืนสั้นนั้นติดตั้งดาบปลายปืนและก้านทำความสะอาดสั้น เพื่อใช้เป็นอาวุธสไนเปอร์ ชิ้นงานที่ให้ความแม่นยำสูงสุดจะถูกเลือกจากปืนสกรูมาตรฐาน สถานที่ท่องเที่ยวเชิงแสงมีการติดตั้งปืนไรเฟิลประมาณ 200,000 กระบอก เครื่องยิงลูกระเบิดปากกระบอกปืนได้รับการพัฒนาสำหรับปืนสั้นซึ่งติดอยู่กับกระบอกปืนโดยใช้ที่หนีบแบบพับได้ นอกจากนี้ยังมีตัวเก็บเสียงสองประเภทสำหรับปืนสั้น โดยมีที่ยึดที่คล้ายกันสำหรับเครื่องยิงลูกระเบิด ปืนสั้นดังกล่าวผลิตโดยบริษัท 10 แห่งในออสเตรีย เยอรมนี และสโลวาเกีย มีการผลิตทั้งหมดประมาณ 14.6 ล้านคัน ลักษณะการทำงานของปืนสั้น: ลำกล้อง – 7.92 มม. ความยาว – 1110 มม. ความยาวลำกล้อง - 600 มม. น้ำหนัก – 3.9 กก. ความจุนิตยสาร – 5 รอบ – 7.92x57 มม. ความเร็วกระสุนเริ่มต้น – 880 ม./วินาที; อัตราการยิง - 15 รอบต่อนาที; ระยะการมองเห็น - 1.2 กม.
ปืนสั้น Kar-98a เป็นปืนไรเฟิล Gewehr 98 รุ่นย่อ สร้างขึ้นสำหรับทหารม้า ทหารสัญญาณ และทหารปืนใหญ่ ผลิตในปี พ.ศ. 2442-2451 ตั้งแต่ปีพ. ศ. 2451 การผลิตโมเดล "1898AZ" เริ่มต้นขึ้นซึ่งมีความโดดเด่นด้วยการมีตะขออยู่ใต้ปากกระบอกปืนสำหรับติดตั้งในม้าเลื่อยการยึดดาบปลายปืนและด้ามจับงอลงพร้อมกับช่องที่เกี่ยวข้องในสต็อก ลักษณะการทำงานของปืนสั้น: ลำกล้อง – 7.92 มม. ความยาว – 1110 มม. ความยาวลำกล้อง – 600 มม. น้ำหนักไม่รวมตลับหมึก - 3.9 กก. ความจุนิตยสาร – 5 ตลับ 7.92x57 มม. ความเร็วกระสุนเริ่มต้น - 830 m/s
ปืนสั้นได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานของ Mauser 98k สำหรับติดอาวุธหน่วย Volkssturm ผลิตเมื่อต้นปี พ.ศ. 2488 โดยบริษัท Steyr ของออสเตรียตามคำสั่งของ Wehrmacht ปืนสั้น VK-98 เป็นอาวุธยิงนัดเดียว ไม่มีร้านค้า หากต้องการยิงนัดต่อๆ ไป คุณต้องบรรจุปืนไรเฟิลด้วยตนเอง โดยใส่กระสุนหนึ่งนัดเข้าไปในห้อง ไม้ท่อนสั้นมีการตกแต่งที่เรียบง่าย สถานที่ท่องเที่ยวประกอบด้วยสถานที่ท่องเที่ยวด้านหน้าและด้านหลังที่เปิดอยู่ซึ่งไม่สามารถปรับได้ พวกเขาถูกยิงที่ระยะ 100 ม. มีการผลิตทั้งหมดอย่างน้อย 5,000 หน่วย ลักษณะการทำงานของปืนสั้น: ลำกล้อง – 7.92 มม. ความยาว – 1,030 มม. ความยาวลำกล้อง – 530 มม. น้ำหนักไม่รวมตลับหมึก - 3.2 กก.
ปืนไรเฟิล (ปืนลูกซองสามลำกล้อง) ผลิตโดย Sauer & Sohn ในปี พ.ศ. 2484-2488 สำหรับนักบินกองทัพอากาศที่สู้รบในแอฟริกาเหนือ มีจุดมุ่งหมายเพื่อความอยู่รอดของลูกเรือในป่า ปืนลูกซองนี้เป็นปืนรวมสามลำกล้องที่มีการออกแบบ "แตกหัก": ลำกล้อง "เรียบ" แนวนอนสองกระบอกขนาด 12 หรือ 16 เกจและหนึ่งในสาม กระบอกปืนไรเฟิลภายใต้ ตลับล่าสัตว์ 9.3x74R ซึ่งอยู่ที่ตรงกลางด้านล่าง กระสุนถูกเก็บไว้ในกล่องพิเศษซึ่งเก็บปืนไว้ด้วย กระสุนประกอบด้วยตลับกระสุนปืนไรเฟิล 20 ตลับพร้อมกระสุนกึ่งแจ็คเก็ต 20 ตลับขนาด 12 หรือ 16 ลำกล้องพร้อมกระสุนและ 25 ตลับพร้อมกระสุน มีการผลิตปืนไรเฟิลจำนวน 2,456 กระบอก ลักษณะการทำงานของปืนไรเฟิล: ลำกล้อง 12 หรือ 16; ความยาว – 1143 มม. ความยาวลำกล้อง - 635 มม. น้ำหนัก – 3.4 กก.