M. King เป็นคำกล่าวนี้ที่อธิบายลักษณะทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชื่อ M ได้ดีที่สุด
ในปี 1964 มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ จากความสำเร็จของเขาในการทำให้สังคมอเมริกันเป็นประชาธิปไตย เขาต้องการขจัดอคติทางเชื้อชาติโดยสิ้นเชิง เพื่อให้คนผิวดำและคนผิวขาวสามารถอยู่ร่วมกันในอเมริกาได้ตามเงื่อนไขที่เท่าเทียมกันในที่สุด
ไมเคิล คิง พ่อของเขาเป็นศิษยาภิบาลของโบสถ์แบ๊บติสแห่งหนึ่งในแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย วันหนึ่งในปี พ.ศ. 2477 คุณพ่อไมเคิลเดินทางไปทั่วยุโรปและเยือนเยอรมนี ที่นั่นเขาคุ้นเคยกับคำสอนของมาร์ติน ลูเทอร์ นักปฏิรูปชาวเยอรมัน และประทับใจกับงานของเขามากจนตัดสินใจใช้ชื่อของตัวเองและลูกชายวัยห้าขวบ นับแต่นั้นมา ชื่อของพวกเขาคือ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ผู้อาวุโส และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ผู้ลูก ด้วยการกระทำนี้ กษัตริย์ผู้เฒ่าจึงให้คำมั่นสัญญากับพระราชโอรสและพระองค์เองให้ปฏิบัติตามคำสอนของนักบวชและนักศาสนศาสตร์ชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียง
ต่อมา ครูวิทยาลัยและโรงเรียนตั้งข้อสังเกตว่า Martin the Younger มีความสามารถเหนือกว่าเพื่อนคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เขาสอบผ่านทุกข้อด้วยคะแนนดีเยี่ยม เรียนเก่ง และร้องเพลงประสานเสียงในโบสถ์
เมื่ออายุ 10 ขวบ เขาได้รับเชิญให้ไปชมรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่อง Gone with the Wind และแสดงเพลงที่นั่น เมื่ออายุ 13 ปี มาร์ตินสามารถเข้าเรียน Lyceum ที่มหาวิทยาลัยแอตแลนตาได้ และ 2 ปีต่อมาเขาก็กลายเป็นผู้ชนะในการบรรยายที่จัดโดย African American Organisation of Georgia เขาได้พิสูจน์ความสามารถที่โดดเด่นของเขาอีกครั้งโดยเข้าเรียนที่ Morehouse College โดยผ่านการสอบระดับมัธยมปลายในฐานะนักเรียนภายนอก
ในปี 1947 มาร์ตินได้เป็นรัฐมนตรีและผู้ช่วยที่คุณพ่อมาร์ติน ลูเธอร์ คิง โบสถ์ซีเนียร์แบ๊บติสต์ ในเวลาเดียวกัน เขาตัดสินใจไม่ลาออกจากการศึกษา และในปีหน้าเขาก็เข้าเรียนเซมินารีเทววิทยาในเมืองเชสเตอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย ที่นั่นเขาได้รับปริญญาตรีด้านเทววิทยาในปี พ.ศ. 2494 เขาได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยบอสตันในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2498
ชีวิตหลังการศึกษาและการเริ่มทำงาน
หลังจากสำเร็จการศึกษา มาร์ติน ลูเทอร์ก็เริ่ม ที่โบสถ์มอนต์โกเมอรีแบ๊บติสต์ เขากลายเป็นผู้นำของการประท้วงคนผิวสีเพื่อต่อต้านการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ สาเหตุที่แท้จริงคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหญิงผิวสี โรส ปาเกต์ เมื่อเธอถูกขอให้ลงจากรถบัส เธอปฏิเสธที่จะทำเช่นนี้ โดยดึงดูดความสนใจของฝ่ายตรงข้ามให้ไปที่ความจริงที่ว่าเธอเป็นพลเมืองอเมริกันที่เท่าเทียมกัน ผู้หญิงคนนี้ได้รับการสนับสนุนจากประชากรผิวดำทั้งหมดในเมือง มีการประกาศคว่ำบาตรรถโดยสารทุกคันเป็นเวลาหนึ่งปี คิงจูเนียร์ดำเนินคดีไปจนถึงศาลฎีกา ศาลประกาศว่าการแบ่งแยกนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ยอมจำนน
สถานการณ์ที่อธิบายไว้ข้างต้นเป็นการต่อต้านเจ้าหน้าที่อย่างไร้เลือดและไม่รุนแรง ต่อมา มาร์ติน ลูเทอร์ตัดสินใจต่อสู้เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกันสำหรับคนผิวดำในด้านการศึกษา มีการฟ้องร้องในศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกาต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านั้น ซึ่งคนผิวดำไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนหนังสือบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกับคนผิวขาว ศาลยอมรับความถูกต้องของคำกล่าวอ้างนี้ เนื่องจากการศึกษาของคนผิวขาวและคนผิวดำที่แยกจากกันขัดต่อรัฐธรรมนูญของอเมริกา
ปัญหาร้ายแรงประการแรกและอันตรายต่อชีวิต
ฝ่ายตรงข้ามของการรวมคนผิวดำและคนผิวขาวเริ่มตามล่ากษัตริย์จูเนียร์ เนื่องจากสุนทรพจน์ของเขาได้นำคนผิวดำและคนผิวขาวนับพันมารวมตัวกันและมีประสิทธิภาพมาก เขากลายเป็นเหมือนกระดูกในลำคอของผู้มีอิทธิพลมากมาย
ในปีพ.ศ. 2501 ในระหว่างการแสดงหลายครั้ง เขาถูกแทงที่หน้าอก มาร์ตินถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที ชีวิตของเขาได้รับการช่วยชีวิต และหลังการรักษาเขาก็รณรงค์ต่อไป เขามักจะแสดงทางโทรทัศน์และเขียนถึงในหนังสือพิมพ์ มาร์ติน ลูเทอร์กลายเป็นนักการเมืองและผู้นำที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของประชากรผิวดำในทุกรัฐ
ในปีพ.ศ. 2506 เขาถูกจับกุมและถูกตั้งข้อหาก่อกวนความสงบเรียบร้อยของประชาชน ครั้งหนึ่งในคุกเบอร์มิงแฮม ไม่นานเขาก็ได้รับการปล่อยตัวเพราะไม่พบอาชญากรรม ในปีเดียวกันนั้น ประธานาธิบดีจอห์น เคนเนดี้ ของสหรัฐอเมริกาเข้าต้อนรับมาร์ติน จูเนียร์ หลังจากพบเขา เขาก็เดินขึ้นไปที่ขั้นบันไดของศาลากลางและกล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดังของเขาแก่ฝูงชนหลายพันคน ซึ่งทุกคนรู้จักในปัจจุบันในชื่อ "ฉันมีความฝัน"
ผลงานล่าสุด
ในปี 1968 ขณะพูดคุยกับผู้ประท้วงในเมืองเมมฟิส เขาถูกยิงเสียชีวิต ในขณะนั้นอเมริกาผิวดำสูญเสียผู้พิทักษ์ที่ซื่อสัตย์ที่สุดซึ่งใฝ่ฝันถึงความเท่าเทียมกันในประเทศและสละชีวิตของตัวเองเพื่อมัน ตั้งแต่นั้นมา วันจันทร์ที่สามของเดือนมกราคมก็มีการเฉลิมฉลองในสหรัฐอเมริกาในชื่อวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง และเป็นวันหยุดประจำชาติ
งานของ Martin Luther the Younger ดำเนินต่อไปโดย Coretta Scott King ภรรยาของเขา เธอยังคงต่อต้านการใช้ความรุนแรงต่อการแบ่งแยก การเลือกปฏิบัติ ลัทธิล่าอาณานิคม การเหยียดเชื้อชาติ ฯลฯ
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง (พ.ศ. 2472-2511) ภาพถ่ายปี 1966
นักสู้คนแรกเพื่อศีลธรรมของชาวแอฟริกันอเมริกันในสหรัฐอเมริกา นักเทศน์แบ๊บติสต์และนักพูดที่โดดเด่น มาร์ติน ลูเธอร์ คิง โน้มน้าวผู้สนับสนุนของเขาว่าการเหยียดเชื้อชาติควรได้รับการต่อต้าน แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีที่รุนแรง ไม่มีการนองเลือด! เขาต่อต้านการรุกรานอาณานิคมของสหรัฐฯ และสงครามเวียดนาม สำหรับความสำเร็จในการทำให้สังคมอเมริกันเป็นประชาธิปไตย Martin King ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี 1964 เขามีความฝันที่จะทำลายอคติทางเชื้อชาติเพื่อให้คนผิวขาวและคนผิวดำสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเท่าเทียมกันในอเมริกา
ไมเคิล คิง พ่อของเขาซึ่งเป็นศิษยาภิบาลของโบสถ์แบ๊บติสในแอตแลนตา (จอร์เจีย) ไปเยือนเยอรมนีระหว่างเดินทางไปยุโรปในปี 1934 เมื่อคุ้นเคยกับคำสอนของมาร์ติน ลูเทอร์ นักปฏิรูปชาวเยอรมันผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ก่อตั้งนิกายโปรเตสแตนต์ ผู้แปลพระคัมภีร์จากภาษาละตินเป็นภาษาเยอรมัน ฉันจึงตัดสินใจตั้งชื่อของเขาให้ตัวเองและตั้งชื่อให้กับไมเคิล ลูกชายวัย 5 ขวบของฉัน ปัจจุบันชื่อของพวกเขาคือ Martin Luther King the Elder และ Martin Luther King the Younger โดยการกระทำนี้ บาทหลวงได้ให้คำมั่นสัญญากับตัวเองและลูกชายว่าจะปฏิบัติตามคำสอนของนักเทววิทยาและนักบวชชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียง
ต่อมา ครูในโรงเรียนและวิทยาลัยตั้งข้อสังเกตว่า Martin the Younger มีความสามารถเหนือกว่าเพื่อนฝูงอย่างเห็นได้ชัด เขาเรียนเก่ง สอบผ่านด้วยคะแนนดีเยี่ยม และร้องเพลงประสานเสียงในโบสถ์อย่างกระตือรือร้น เมื่อเขาอายุ 10 ขวบ เขาได้รับเชิญให้แสดงเพลงในรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่อง Gone with the Wind เมื่ออายุ 13 ปี มาร์ตินเข้าเรียนใน Lyceum ที่มหาวิทยาลัยแอตแลนตา และ 2 ปีต่อมาเขาชนะการแข่งขันการพูดในที่สาธารณะที่จัดขึ้นโดย African American Organisation of Georgia เขาพิสูจน์ความสามารถของเขาอีกครั้งเมื่อเขาเข้าเรียนที่วิทยาลัย Morehouse ในฤดูใบไม้ร่วงปี พ.ศ. 2487 โดยผ่านการสอบระดับมัธยมปลายในฐานะนักเรียนภายนอก
ในปี 1947 มาร์ตินได้เข้าเป็นรัฐมนตรีของคริสตจักรแบ๊บติส โดยเป็นผู้ช่วยของบิดาของเขา สาธุคุณมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ซีเนียร์ แต่เขาไม่ได้ออกจากการศึกษาของเขา ในปีต่อมา หลังจากได้รับปริญญาตรีสาขาสังคมวิทยาจากวิทยาลัย เขาได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยศาสนศาสตร์ในเมืองเชสเตอร์ รัฐเพนซิลเวเนีย ซึ่งในปี พ.ศ. 2494 เขาได้รับปริญญาตรีอีกครั้ง คราวนี้ในสาขาวิชาเทววิทยา ก้าวต่อไปของเขาคือที่มหาวิทยาลัยบอสตัน ซึ่งในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2498 เขาได้ปกป้องปริญญาเอกของเขา
โรงเรียนเลิกแล้ว ได้เวลาเทศน์แล้ว Martin Luther เป็นรัฐมนตรีที่โบสถ์ Baptist ในเมืองมอนต์โกเมอรี่ รัฐแอละแบมา ที่นั่นเขากลายเป็นผู้นำในการประท้วงในหมู่คนผิวดำที่ต่อต้านการแบ่งแยกทางเชื้อชาติ สาเหตุที่แท้จริงคือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงผิวดำชื่อ Rose Paquet ซึ่งถูกขอให้ลงจากรถบัส เธอปฏิเสธโดยอ้างว่าเธอเป็นพลเมืองอเมริกันที่เท่าเทียมกัน เธอได้รับการสนับสนุนจากประชากรผิวดำทั้งหมดในเมือง ประกาศคว่ำบาตรรถบัสที่กินเวลานานกว่าหนึ่งปี ต้องขอบคุณมาร์ติน ลูเธอร์ที่ทำให้คดีนี้ไปถึงศาลฎีกา ศาลตัดสินว่าการแบ่งแยกในรัฐแอละแบมาขัดต่อรัฐธรรมนูญ และเจ้าหน้าที่ก็เข้ามอบตัว
นี่เป็นตัวอย่างของการต่อต้านเจ้าหน้าที่โดยไม่ใช้ความรุนแรง และได้พิสูจน์ประสิทธิผลแล้ว จากนั้นมาร์ติน ลูเทอร์จึงตัดสินใจต่อสู้เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกันสำหรับคนผิวดำในการได้รับการศึกษา จากความคิดริเริ่มของเขา มีการฟ้องร้องต่อศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกาต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านั้นที่คนผิวดำไม่ได้รับอนุญาตให้เรียนกับคนผิวขาว ศาลฎีกายอมรับว่าเขาพูดถูก - การศึกษาคนผิวดำและคนผิวขาวที่แยกจากกันนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญของอเมริกา
ฝ่ายตรงข้ามของการรวมคนผิวขาวและคนผิวดำตามล่าผู้พูดผิวดำซึ่งเป็นนักเทศน์ที่มีสุนทรพจน์ดึงดูดผู้คนหลายพันคนทั้งคนผิวดำและคนผิวขาว ในปีพ.ศ. 2501 ระหว่างการแสดงครั้งหนึ่ง เขาถูกแทงที่หน้าอก มาร์ติน่า. พวกเขาพาเขาไปโรงพยาบาล แต่แม้หลังจากการรักษาแล้ว เขาก็ยังคงรณรงค์ต่อไป หนังสือพิมพ์เขียนเกี่ยวกับเขา เขาฉายทางโทรทัศน์ เขากลายเป็นบุคคลสำคัญทางการเมืองที่ได้รับความนิยม ผู้นำของประชากรผิวดำในทุกรัฐ
ในปี 1963 เขาถูกจับกุม โดยถูกกล่าวหาว่ารบกวนความสงบเรียบร้อยของประชาชน และถูกส่งตัวไปที่เรือนจำเบอร์มิงแฮม แต่ไม่นานก็ได้รับการปล่อยตัว ไม่พบอาชญากรรม ในปีเดียวกันนั้น ประธานาธิบดีจอห์น เคนเนดี้ ของสหรัฐอเมริกาก็เข้ารับมอบ หลังจากพบกับเขาแล้ว มาร์ติน ลูเทอร์ก็ขึ้นบันไดของศาลาว่าการและกล่าวกับฝูงชนหลายพันคนที่มาชุมนุมกันด้วยถ้อยคำที่ได้รับความนิยม: "ฉันมีความฝัน..."
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2511 ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในเมืองเมมฟิสต่อผู้เข้าร่วมในการเดินขบวนอีกครั้ง มาร์ตินกำลังจะนำชาวอเมริกันที่ถูกยึดทรัพย์ไปวอชิงตัน เขาถูกยิง การยิงกลายเป็นอันตรายถึงชีวิต มันเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ Black America ได้สูญเสียผู้พิทักษ์ผู้ซื่อสัตย์ ผู้ใฝ่ฝันถึงประเทศที่เท่าเทียมกันและสละชีวิตเพื่อมัน
วันจันทร์ที่สามของเดือนมกราคมมีการเฉลิมฉลองในอเมริกาในฐานะวันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง และถือเป็นวันหยุดประจำชาติ
หลังจากการฆาตกรรมสามีของเธอ เธอเป็นผู้นำการเคลื่อนไหวที่เขาเริ่มต้นในการต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ ลัทธิล่าอาณานิคม การเลือกปฏิบัติ และการแบ่งแยกโดยไม่ใช้ความรุนแรง
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง
มาร์ติน ลูเธอร์ คิง, 1984
นักศาสนศาสตร์แบ๊บติสต์
คิงมาร์ตินลูเทอร์ (พ.ศ. 2472-2511) - หนึ่งในผู้นำการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองของคนผิวดำในสหรัฐอเมริกานักศาสนศาสตร์ผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนต์ กลยุทธ์ของคิงในการ "ดำเนินการโดยไม่ใช้ความรุนแรง" มีบทบาทสำคัญในการบ่อนทำลายระบบการแบ่งแยกและการเลือกปฏิบัติต่อชาวอเมริกันผิวดำ ทัศนคติทางสังคมและศาสนาของพระมหากษัตริย์มีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ของพระองค์เองในฐานะชายผิวดำ ซึ่งตั้งแต่อายุยังน้อยต้องเผชิญกับระบบความรุนแรงและความอัปยศอดสูในชีวิตประจำวันด้วยความโหดร้ายของตำรวจและความอยุติธรรมของศาลที่ครอบงำในภาคใต้ รัฐ ในความพยายามที่จะค้นหาสาเหตุและวิธีเอาชนะการเหยียดเชื้อชาติ คิงศึกษาวรรณกรรมด้านเทววิทยาและปรัชญา เขาประทับใจเป็นพิเศษกับแนวคิดของ W. Rauschenbusch เกี่ยวกับหน้าที่ของคริสตจักรและชาวคริสต์ในการต่อสู้กับความอยุติธรรมทางสังคม ในเวลาเดียวกัน เขาก็ตระหนักถึงความถูกต้องของการวิพากษ์วิจารณ์มุมมองของเขาของ R. Niebuhr: การเรียกร้องให้มีมโนธรรมและการพัฒนาตนเองใน "สังคมที่ผิดศีลธรรม" ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่จริงจังได้ อย่างไรก็ตาม ตามที่ King กล่าว ชาวนีโอออร์โธดอกซ์มุ่งไปสู่จุดสุดโต่งอีกด้าน โดยมองโลกในแง่ร้ายเกินไปเกี่ยวกับความสามารถของมนุษย์ ทั้งเสรีนิยมและนีโอออร์โธดอกซ์เสนอความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น ผลก็คือคิงโน้มตัวไปทางยุทธวิธีของคานธี “หนึ่งในวิธีการอันทรงพลังที่ผู้ถูกกดขี่ยอมรับในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพคือความรักแบบคริสเตียน ซึ่งดำเนินการผ่าน “วิธีคานธี” สิ่งที่เผชิญหน้ากับคนผิวดำ คิงแย้งว่าไม่ใช่การเหยียดเชื้อชาติแบบปัจเจกบุคคล แต่เป็นระบบสังคมที่ถูกครอบงำด้วยอุดมการณ์เหยียดเชื้อชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากบาปที่ปรากฏ “ในทุกระดับของการดำรงอยู่ของมนุษย์” คิงปกป้องจุดยืนของลัทธิสมัยใหม่และวิพากษ์วิจารณ์ความพยายามของสิ่งที่เรียกว่า นักอนุรักษนิยมปฏิเสธความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ล่าสุดโดยอ้างอิงถึงคำพูดในพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดภาพลวงตาอย่างกว้างขวางว่า “ห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์สามารถแทนที่แท่นบูชาได้” และรับประกันความก้าวหน้าทางสังคม แต่ “ถ้าคนเราไม่ได้รับการชี้นำจากพระวิญญาณของพระเจ้า พลังแห่งการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ของเขาก็จะกลายเป็นวิญญาณแห่งการทำลายล้างของพระของแฟรงเกนสไตน์ ผู้ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตทางโลกให้เป็นเถ้าถ่าน” มนุษย์มีพลังอันทรงพลังและความปรารถนาที่จะสร้างสังคมที่ยุติธรรม แต่เขาเป็นหนี้ต้นกำเนิดของเขาจากพระเจ้า และหากปราศจากความช่วยเหลือ มนุษย์เองก็ไม่สามารถยุติการเหยียดเชื้อชาติได้ อย่างไรก็ตาม ผู้คนไม่สามารถเพียงรอและอธิษฐานได้ พวกเขาต้องลงมือทำ เพื่อ "ไม่ใช่แค่เครื่องวัดอุณหภูมิของสังคม แต่เป็นเครื่องควบคุมอุณหภูมิ" ในที่นี้ บทบาทสำคัญได้รับการเรียกร้องให้แสดงเป็น "พลังแห่งความรัก" ที่ได้รับการปลุกให้ตื่นขึ้นในมนุษย์โดยพระเจ้า คริสเตียนไม่ควรคืนดีกับคำสั่งที่ไม่ยุติธรรม แต่หัวใจของเขาไม่ควรแข็งกระด้าง ความรุนแรงไม่สามารถขจัดได้ด้วยความรุนแรง แต่ควรต่อต้านด้วย "ความเข้มแข็งของจิตวิญญาณ" เพื่อให้สอดคล้องกับการไตร่ตรองดังกล่าว กลวิธีที่รู้จักกันดีของ “ปฏิบัติการไม่ใช้ความรุนแรงโดยตรง” จึงได้รับการสรุปอย่างเป็นรูปธรรม ก่อนอื่น คิงประณามการนิ่งเฉยและทัศนคติประนีประนอมแบบ "ฆ่าตัวตาย" ต่อการเหยียดเชื้อชาติของคริสตจักรอเมริกันส่วนใหญ่ และเสนอข้อเรียกร้องที่ชัดเจน: "เสรีภาพเดี๋ยวนี้!" เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ที่ตึงเครียดผ่านการกระทำที่แข็งขัน (“โดยตรง”) ที่จะบังคับให้เจ้าหน้าที่แบ่งแยกเชื้อชาติต้องเจรจา กลวิธีดังกล่าวจะนำไปสู่มาตรการปราบปรามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นักสู้เพื่อความยุติธรรมไม่สามารถตอบโต้ด้วยความรุนแรงได้ พวกเขาจะต้องได้รับคำแนะนำอย่างต่อเนื่องจากหลักการแห่งความรักต่อทุกคนในพระกิตติคุณ และปลุกให้ตื่นขึ้นในใจของฝ่ายตรงข้าม นับเป็นครั้งแรกที่ King ประสบความสำเร็จในการใช้กลยุทธ์นี้เพื่อต่อต้านการเลือกปฏิบัติในการคมนาคมในเมืองมอนต์โกเมอรี่ (1955) ในไม่ช้า คิงได้ก่อตั้งการประชุม Southern Christian Leadership Conference ซึ่งดำเนินกิจกรรมอย่างกว้างขวางในรัฐทางตอนใต้ และยุทธวิธีของ King ก็มีบทบาทสำคัญในการประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติครั้งใหญ่ในช่วงต้นทศวรรษที่ 60 กิจกรรมที่โดดเด่นของคิงคือการต่อสู้กับการแบ่งแยกในเบอร์มิงแฮม การเดินขบวนในเซลมา และการเดินขบวนในวอชิงตัน (พ.ศ. 2506) พระราชบัญญัติสิทธิพลเมืองสีดำได้รับการอนุมัติในปี พ.ศ. 2507 ตามมาในอีกหนึ่งปีต่อมาโดยพระราชบัญญัติสิทธิในการออกเสียงลงคะแนน อย่างไรก็ตามการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป กษัตริย์ทรงมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการต่อต้านโครงการชาตินิยม เช่น สโลแกนของ "อำนาจมืด" และกิจกรรมของ "มุสลิมผิวดำ" ในปี 1968 คิงถูกลอบสังหารโดยกลุ่มเหยียดเชื้อชาติในเมืองเมมฟิส ในปีพ.ศ. 2531 วันเกิดของกษัตริย์ได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดประจำชาติในสหรัฐอเมริกา
โปรเตสแตนต์ [พจนานุกรมของผู้ไม่เชื่อพระเจ้า] ภายใต้ทั่วไป เอ็ด แอล.เอ็น. มิโตรคิน่า. อ., 1990, หน้า. 128-130.
นักกิจกรรมทางศาสนาและสังคมนิโกร
คิงมาร์ตินลูเทอร์ (15 มกราคม พ.ศ. 2472 แอตแลนตา - 4 เมษายน พ.ศ. 2511 เมมฟิส) - บุคคลสำคัญทางศาสนาและสาธารณะผิวดำในสหรัฐอเมริกาที่มีบทบาทสำคัญในการต่อสู้กับ การเหยียดเชื้อชาติ- เขาศึกษาที่ Atlanta Baptist College (1945-48), Chester Theological Seminary (1948-51) และมหาวิทยาลัยบอสตัน (1951-55) ซึ่งเขาได้รับปริญญาเอก ในปี 1955 เขาได้เป็นผู้นำ "การคว่ำบาตรรถบัส" สำหรับคนผิวดำในเมืองมอนต์โกเมอรี ถือเป็นก้าวใหม่ในการต่อสู้กับการแบ่งแยกและการเลือกปฏิบัติต่อคนผิวดำ คิงเป็นผู้นำการประท้วงครั้งใหญ่เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมกันสำหรับคนผิวดำ ซึ่งสิ้นสุดลงด้วยการผ่านกฎหมายสิทธิพลเมือง (พ.ศ. 2507) และพระราชบัญญัติสิทธิในการออกเสียงลงคะแนนของชาวนิโกร (พ.ศ. 2508) ในปี 1964 คิงได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี 1968 เขาถูกสังหารในเมืองเมมฟิส 20 ปีต่อมา วันหยุดประจำชาติได้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา (วันจันทร์ที่ 3 ของเดือนมกราคม)
ปรัชญาสังคมของคิงแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ที่ตีความได้ในเชิงเทววิทยาและเป็นที่จดจำได้ง่ายของผู้เฒ่าผู้สืบทอดที่ได้รับการศึกษาของคริสตจักรแบล็คแบ๊บติสต์ ซึ่งตั้งแต่อายุยังน้อยต้องเผชิญกับระบบความรุนแรงและความอัปยศอดสูในชีวิตประจำวัน ด้วยความโหดร้ายของตำรวจและความเด็ดขาดของตุลาการ ในเซมินารีแล้ว คิงกำลังหมกมุ่นอยู่กับ "การค้นหาทางปัญญาเพื่อหาทางกำจัดความชั่วร้ายทางสังคม" เขายอมรับหลักคำสอนของผู้เผยแพร่ศาสนาทางสังคม W. Rauschenbusch อย่างกระตือรือร้นซึ่งแย้งว่าหน้าที่ของคริสตจักรไม่เพียง แต่ช่วยชีวิตผู้คนเท่านั้น แต่ยังต้องเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งหมด - ใน "การถ่ายทอดความสามัคคีจากสวรรค์สู่โลก" - ดำเนินการโดยได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า . คิงสรุปว่าศาสนาใดก็ตามที่อ้างว่าดูแลจิตวิญญาณของผู้คน แต่แสดงให้เห็นถึงความเฉยเมยโดยสิ้นเชิงต่อสภาพอันเลวร้ายที่พวกเขาอาศัยอยู่ นั้นได้ตายไปแล้วและเป็น "ผู้เสพยาเสพติดของประชาชน" อย่างแท้จริง เป็นหน้าที่ของคริสเตียนในการต่อสู้กับการเหยียดเชื้อชาติ เพราะ "การแบ่งแยกทางเชื้อชาติเป็นการปฏิเสธความสามัคคีที่เรามีในพระคริสต์อย่างโจ่งแจ้ง"
ในช่วงทศวรรษที่ 50 โปรแกรมสำหรับการสร้าง “อาณาจักรของพระเจ้า” บนโลก ซึ่งดึงดูดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของผู้เชื่อ ได้เผยให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิผลในทางปฏิบัติ และยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อเป็นเรื่องของการกำจัดระบบการแบ่งแยกที่แพร่หลายในรัฐทางตอนใต้ “เรารู้จากประสบการณ์อันขมขื่น” คิงเขียน “ว่าผู้กดขี่จะไม่มีวันให้อิสรภาพแก่ผู้ถูกกดขี่ – จะต้องเรียกร้อง” คิงรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งกับการวิพากษ์วิจารณ์ของ Reinhold Niebuhr เกี่ยวกับแนวคิดเกี่ยวกับความสามารถในการพัฒนาตนเองทางศีลธรรมของบุคคลที่อาศัยอยู่ใน "สังคมที่ผิดศีลธรรม" และแนวคิดของเขาเกี่ยวกับบาปที่แก้ไขไม่ได้ซึ่งย้อนกลับไปที่ M. Luther Niebuhr ช่วยให้ฉันตระหนักว่า King เล่าว่า "ธรรมชาติของการมองโลกในแง่ดีแบบง่ายๆ เป็นภาพลวงตาและความเป็นจริงของความชั่วร้ายโดยรวม" แต่นักเทววิทยาผิวดำที่พยายามหาทางกำจัดการเหยียดเชื้อชาติ ไม่สามารถยอมรับการมองโลกในแง่ร้ายทางสังคมของนีโอออร์ทอดอกซ์ได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดเรื่องพระเจ้าผู้อยู่เหนือธรรมชาติซึ่งอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง ความปรารถนาที่จะแก้ไขภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในทางปฏิบัติอย่างเฉียบพลันสำหรับเขา (ความรับผิดชอบของคริสตจักรต่อสภาวะของสังคมและการไร้ประสิทธิผลในทางปฏิบัติของการอุทธรณ์ต่อจิตสำนึกของแต่ละบุคคล) อธิบายถึงความคิดริเริ่มของการตีความหลักคำสอนและประเภทของคริสเตียนของกษัตริย์
คิงเข้าใจอย่างชัดเจนว่าชาวนีฟไม่ได้ถูกต่อต้านโดยบุคคลที่ผิดศีลธรรมส่วนบุคคล แต่โดย "ระบบแห่งความชั่วร้าย" ซึ่งเขาในฐานะนักเทววิทยาโปรเตสแตนต์ได้สืบทอดมาจากการล่มสลายของชนกลุ่มแรก อันเป็นผลมาจากการที่ "บาปปรากฏที่ การดำรงอยู่ของมนุษย์ทุกระดับ”; เขาพยายามที่จะรวมข้อเท็จจริงนี้เข้ากับการรับรู้ถึงความเป็นไปได้ในการเอาชนะการเหยียดเชื้อชาติ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เพื่อค้นหาจุดกึ่งกลางที่สมเหตุสมผลระหว่างแนวความคิดเกี่ยวกับเทพเจ้าแห่ง Rauschenbusch ผู้สถิตอยู่และเทพเจ้าแห่ง Niebuhr ผู้อยู่เหนือธรรมชาติ ตรรกะทั้งสองปะทะกันที่นี่ ในแง่หนึ่ง อุดมคติของผู้เผยแพร่ศาสนาตามที่กษัตริย์อเมริกันลืม ทำหน้าที่เป็นข้อโต้แย้งที่เด็ดขาดในการต่อต้านการปรองดองกับความเป็นจริงทางเชื้อชาติ ในทางกลับกัน อุดมคติ "ภายนอก" เหล่านี้ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงของโลกไม่สามารถรวบรวมไว้ได้อย่างเพียงพอ ชีวิตทางโลก กล่าวอีกนัยหนึ่ง พระเจ้าทรงสถิตอยู่ (จนถึงขอบเขตที่กฎเกณฑ์ทางศีลธรรมของพระองค์ทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจและรับประกันความสำเร็จในการต่อสู้กับการเหยียดเชื้อชาติ) และอยู่เหนือธรรมชาติ เนื่องจากพันธสัญญาของพระองค์ “อยู่เหนือ” ความสามารถของมนุษย์ แต่ปัญหาของเทววิทยา "สูง" เหล่านี้สนใจกษัตริย์ในแง่การปฏิบัติเป็นหลัก - เป็นเหตุผลทางศาสนาสำหรับการต่อสู้กับการแบ่งแยกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
คิงไม่เห็นด้วยกับมุมมองของโปรเตสแตนต์ออร์โธดอกซ์ที่ว่าพระฉายาของพระเจ้าในมนุษย์ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากการตกสู่บาปของอาดัม ไม่ คิงโต้เถียง เขาแค่บิดเบี้ยวและ “กลัวมาก” มนุษย์ยังคงรักษาพลังอันทรงพลังไว้สำหรับการสร้างสรรค์ แต่ตัวเขาเองไม่สามารถแสดงให้เห็นได้อย่างเต็มที่ สิ่งนี้สามารถทำได้โดยศรัทธาเท่านั้น ซึ่ง “เปิดประตูสู่พระราชกิจของพระเจ้า” นำมาซึ่งความสามัคคีอันน่าอัศจรรย์ของความประสงค์ของพระเจ้าและของมนุษย์ในการขจัดการเหยียดเชื้อชาติที่เป็นบาป ชาวอเมริกันไม่สามารถเพียงรอและอธิษฐานได้ พวกเขาต้องลงมือทำ ไม่ใช่แค่เทอร์โมมิเตอร์ แต่เป็นตัวควบคุมอุณหภูมิสำหรับสังคม เป็นหน้าที่ของคริสเตียนที่จะไม่ยอมรับการเลือกปฏิบัติต่อคนผิวดำ แต่จิตใจของเขาไม่ควรแข็งกระด้าง ความรุนแรงไม่สามารถขจัดได้ด้วยกำลัง ความรุนแรงควรตรงกันข้ามกับ “ความสามารถแห่งความรัก” ที่พระเจ้าปลุกให้มนุษย์ตื่นขึ้น
คิงเสนอโครงการที่ชัดเจนเพื่อขจัดการเหยียดเชื้อชาติ และที่สำคัญที่สุด เขาเป็นผู้นำการต่อสู้เชิงปฏิบัติเพื่อดำเนินการดังกล่าว บทบาทชี้ขาดในการสร้างมันเกิดจากประสบการณ์ของการต่อต้านด้วยสันติวิธีของเอ็ม คานธี ผู้ซึ่งเสนอแนะกษัตริย์ถึงวิธีทำให้ “ความรักแบบคริสเตียนเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลงทางสังคม” “พระคริสต์ประทานจิตวิญญาณ แรงจูงใจในการประท้วง และคานธีประทานวิธีการ เทคนิคในการแสดงออก” เขาเขียน คิงประณามการนิ่งเฉย “ฆ่าตัวตาย” และทัศนคติประนีประนอมต่อการเหยียดเชื้อชาติของคริสตจักรอเมริกันส่วนใหญ่ คิงเสนอข้อเรียกร้องที่ชัดเจน: “เสรีภาพเดี๋ยวนี้!” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ จำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ที่ตึงเครียดผ่านการกระทำเชิงรุก (“โดยตรง”) ที่จะบังคับให้เจ้าหน้าที่แบ่งแยกเชื้อชาติต้องเจรจา การกระทำดังกล่าวจะทำให้เกิดมาตรการปราบปรามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นักสู้ที่ต่อต้านการเลือกปฏิบัติไม่ควรตอบโต้ด้วยความรุนแรง พวกเขาควรรวบรวมหลักธรรมแห่งความรักในพระกิตติคุณสำหรับทุกคน รวมถึงศัตรู โดยพยายามปลุกให้ตื่นขึ้นในใจของผู้ข่มเหง กลยุทธ์เหล่านี้ใช้ครั้งแรกในมอนต์โกเมอรี ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการประท้วงต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติครั้งใหญ่ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 และรับรองการผ่านกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติหลายฉบับ อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความไม่เท่าเทียมกันที่แท้จริงได้ สถานการณ์ระเบิดกำลังถูกสร้างขึ้น: ความเข้มแข็งที่เพิ่มขึ้นของคนผิวดำกำลังเผชิญกับการต่อต้านที่โหดร้ายมากขึ้นจากเจ้าหน้าที่ ในช่วงกลางทศวรรษ 1960 กระแสการจลาจลรุนแรงเกิดขึ้นทั่วประเทศในสลัมสีดำ พร้อมด้วยการป่าเถื่อน การต่อสู้นองเลือด และการจับกุมมวลชน ผู้นำคนใหม่ซึ่งหยิบยกสโลแกน "Power to Blacks!" กล่าวหาว่า King สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหน้าที่ ในสายตาของคนหลัง เขายังคงเป็นผู้ก่อให้เกิดความไม่สงบในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาประณามสงครามในเวียดนามอย่างเปิดเผย คิงเองก็กำลังเผชิญกับวิกฤติการเคลื่อนไหวของเขาอย่างเจ็บปวด ปกป้องหลักการอหิงสาอย่างต่อเนื่อง เขาตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนายุทธวิธีใหม่ที่สอดคล้องกับ "ความอดทนที่เพิ่มขึ้นของชาวนิโกรและการต่อต้านที่เพิ่มมากขึ้นของคนผิวขาว" โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสริมสร้างความสามัคคีของคนยากจนทั้งหมด - ทั้งคนผิวขาวและคนผิวดำ
แอล. เอ็น. ไมโตรคิน
สารานุกรมปรัชญาใหม่ ในสี่เล่ม. /สถาบันปรัชญา สสส. วิทยาศาสตร์เอ็ด คำแนะนำ: V.S. สเตปิน, เอ.เอ. Guseinov, G.Y. เซมิจิน. ม., Mysl, 2010, ฉบับที่ II, E – M, p. 243-244.
อ่านเพิ่มเติม:
นักปรัชญาผู้รักภูมิปัญญา (ดัชนีชีวประวัติ)
บทความ:
ฉันมีความฝัน ม., 1970; แสวงบุญสู่อหิงสา - ในหนังสือ : ความคิดเชิงจริยธรรม. การอ่านทางวิทยาศาสตร์และวารสารศาสตร์ ม. , 1991; ก้าวไปสู่อิสรภาพ. เรื่องราวของมอนต์โกเมอรี่ นิวยอร์ก 2501; พลังแห่งความรัก. นิวยอร์ก 2507; ทำไมเรารอไม่ได้ N.Y. , 1964; The Tmmpet of Conscience , 1967; Where Do We Go from Here: ความโกลาหลหรือชุมชน?
วรรณกรรม:
Nitoburg E.L. โบสถ์แอฟริกันอเมริกันในสหรัฐอเมริกา ม. , 1995; Mitrokhin L.N. Martin L. King: ความสามารถในการรัก - ในหนังสือ : บัพติศมา: ประวัติศาสตร์และความทันสมัย. เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก 2540; มิลเลอร์ คีธ ดี. เสียงแห่งการปลดปล่อย: ภาษาของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง เจ และแหล่งที่มา นิวยอร์ก, 1992.
เรียงความในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์
"มาร์ติน ลูเธอร์ คิง"
กลุ่ม Syromyatnikov Georgy 145
ผู้ที่ยอมรับความชั่วโดยปราศจากการต่อต้านจะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับความชั่ว
เป็นคำกล่าวที่อธิบายลักษณะทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชื่อของ M.L. King ได้ดีที่สุด เขาเป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงโลก
ชีวประวัติ
เกิดมาในครอบครัวของนักบวชแบ๊บติส ในปีพ.ศ. 2487 คิงเข้าเรียนที่ Morehouse College ในช่วงนี้เขาได้เข้าเป็นสมาชิก สมาคมแห่งชาติเพื่อความก้าวหน้าของคนผิวสี- ในปีพ.ศ. 2490 คิงได้รับแต่งตั้งเป็นพระสงฆ์ โดยเป็นผู้ช่วยของบิดาในโบสถ์ หลังจากได้รับปริญญาตรีสาขาสังคมวิทยาจากวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2491 เขาได้เข้าเรียนที่วิทยาลัย Crowther Theological Seminary ในเมืองเชสเตอร์ ซึ่งเขาได้รับปริญญาตรีสาขาเทววิทยาในปี พ.ศ. 2494 ในปี พ.ศ. 2498 มหาวิทยาลัยบอสตันเขาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตเทววิทยา
ในปี พ.ศ. 2497 คิงได้เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีของคริสตจักรแบ๊บติสใน มอนต์โกเมอรี่,อลาบามา. ในมอนต์โกเมอรี เขาเป็นผู้นำการประท้วงครั้งใหญ่ของคนผิวสี การแบ่งแยกเชื้อชาติในการขนส่งสาธารณะซึ่งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2498 มีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับ โรซา พาร์คส์. การคว่ำบาตรรถบัสมอนต์โกเมอรี่ซึ่งกินเวลานานกว่า 380 วันแม้จะมีการต่อต้านจากเจ้าหน้าที่และผู้เหยียดเชื้อชาติ แต่ก็นำไปสู่ความสำเร็จของการดำเนินการ - ศาลฎีกาสหรัฐประกาศว่าการแบ่งแยกในรัฐแอละแบมาขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2500 คิงได้รับเลือกเป็นหัวหน้าการประชุม Southern Christian Leadership Conference ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองสำหรับคนผิวสี
ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2501 เขาได้รับบาดเจ็บด้วยมีดแทง ฮาเล็ม- ในปี พ.ศ. 2503 กษัตริย์ได้รับเชิญ ชวาหระลาล เนห์รูเยี่ยมชม อินเดียโดยเขาได้ศึกษากิจกรรมต่างๆ มหาตมะ คานธี.
ด้วยสุนทรพจน์ของเขา (บางส่วนในปัจจุบันถือเป็นสุนทรพจน์คลาสสิก) เขาเรียกร้องให้บรรลุความเสมอภาคด้วยสันติวิธี สุนทรพจน์ของเขาให้พลังงานแก่ขบวนการสิทธิพลเมืองในสังคม - การเดินขบวนเริ่มขึ้น การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ การออกจากคุกจำนวนมาก และอื่นๆ จึงได้ถูกสร้างขึ้นมา พระราชบัญญัติสิทธิได้รับการอนุมัติและยอมรับแล้ว สภาคองเกรส.
สุนทรพจน์ของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง” ฉันมีความฝัน” (“ฉันมีความฝัน”) ซึ่ง ในช่วงเดือนมีนาคมบน วอชิงตันวี ปี ที่เชิงอนุสาวรีย์ ลินคอล์นชาวอเมริกันประมาณ 300,000 คนฟัง
บทบาทของกษัตริย์ในการต่อสู้ด้วยสันติวิธีเพื่อให้ผ่านกฎหมายที่ทำลายล้างชนที่เหลืออยู่ การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติถูกตั้งข้อสังเกต รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ.
^ ข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของเขา
คิงเข้ารับราชการที่โบสถ์ Dexter Avenue Baptist ในเมืองมอนต์โกเมอรี รัฐแอละแบมา ในปี พ.ศ. 2497 และรับใช้ที่นั่นจนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2503 เมื่อเขากลับมาพบพ่ออีกครั้งที่โบสถ์ Ebenezer ในเมืองมอนต์กอเมอรี คิงได้จัดตั้งคณะกรรมการดำเนินการทางสังคมและระดมทุนสำหรับ NAACP (National Association for the Advancement of Colored People) ซึ่งทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการบริหารท้องถิ่นของสมาคม หลังจากเหตุการณ์ Rosa Parks (ช่างเย็บถูกจับในข้อหาปฏิเสธที่จะสละที่นั่งบนรถบัสให้กับผู้โดยสารผิวขาว) สมาคมปรับปรุงได้ก่อตั้งขึ้นในมอนต์กอเมอรีในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2498 และคิงก็ขึ้นเป็นประธาน ด้วยความที่ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเหตุผลของการคว่ำบาตรระบบรถบัสมอนต์โกเมอรี่โดยใช้สี คิงลังเลว่าควรยอมรับโพสต์ดังกล่าวหรือไม่และตกลง โดยนึกถึงคำพูดของธอโรว่า "การร่วมมือกับระบบที่เลวร้ายนั้นเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป" ในตอนเย็นของวันที่ 5 ธันวาคม คิงได้กล่าวสุนทรพจน์ชี้ขาดในชีวิตของเขาในเวลาต่อมา “ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการต่อต้าน” คิงบอกกับฝูงชนและแสดงความมั่นใจว่าการประท้วงจะช่วยละทิ้ง “ความอดทนที่บังคับให้เราต้องยอมแลกกับเสรีภาพและความยุติธรรม” ภายใต้การนำของคิง ชุมชนผิวดำคว่ำบาตรการขนส่งมอนต์โกเมอรีเป็นเวลา 382 วัน ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ศาลฎีกาสหรัฐตัดสินว่ากฎหมายการแบ่งแยกดินแดนของรัฐแอละแบมาขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในเดือนธันวาคม คนผิวดำและคนผิวขาวใช้รถโดยสารร่วมกันเป็นครั้งแรก คิงมีชื่อเสียงระดับชาติ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500 ภาพเหมือนของเขาปรากฏบนหน้าปกนิตยสารไทม์ ขบวนการสิทธิพลเมืองในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ซึ่งคิงเข้าร่วม มีรากฐานมาจากช่วงก่อนสงคราม NRA และสภาคองเกรสแห่งความเสมอภาคทางเชื้อชาติ ผู้นำแรงงาน เช่น เอ. ฟิลิป แรนดอล์ฟ ได้ดำเนินการหลายขั้นตอนเพื่อสนับสนุนสิทธิที่เท่าเทียมกันสำหรับคนผิวดำ ความสำเร็จของพวกเขาสิ้นสุดลงในปี 1954 คณะกรรมการการศึกษา Brown v. Topeka ศาลฎีกายุติการแบ่งแยกทางการศึกษาโดยตัดสินว่าการแยกการศึกษาสำหรับคนผิวขาวและคนผิวดำทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการละเมิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 14 ของรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา การมีส่วนร่วมอันเป็นเอกลักษณ์ของคิงในการรณรงค์เรื่องสิทธิมนุษยชนเกิดขึ้นได้จากการที่เขามุ่งมั่นต่อหลักการของปรัชญาคริสเตียน คิงถือว่ากิจกรรมของมหาตมะ คานธี ผู้นำขบวนการต่อต้านเชิงโต้ตอบ ซึ่งต้องขอบคุณอินเดียที่เป็นอิสระจากการปกครองของอังกฤษ เป็นตัวอย่างให้กับพระองค์เอง “ปรัชญาของการต่อต้านด้วยสันติวิธีของคานธี” คิงเคยกล่าวไว้ “เป็นวิธีการเดียวที่สมเหตุสมผลในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ” การคว่ำบาตรมอนต์โกเมอรีในระหว่างที่บ้านของคิงถูกระเบิดและเขาถูกจับกุม ทำให้เขากลายเป็นวีรบุรุษของชุมชนคนผิวดำในสหรัฐอเมริกา ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2500 ผู้นำผิวดำทางใต้ได้ก่อตั้งพันธมิตรขององค์กรสิทธิพลเมืองของคริสตจักรที่เรียกว่า Southern Christian Leadership Conference (SCLC) ซึ่งคิงได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ในเวลาเดียวกัน คิง ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์สิทธิของคนผิวสีที่ได้รับการยอมรับ ได้เขียนหนังสือเรื่อง "ก้าวสู่อิสรภาพ: เรื่องราวมอนต์โกเมอรี่" ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2501 ขณะลงนามลายเซ็นในย่านฮาร์เล็ม เขาถูกผู้หญิงป่วยทางจิตแทงเข้าที่หน้าอก คิงใช้ CRC เป็นฐานในการรณรงค์เพื่อสิทธิพลเมือง โดยมีเป้าหมายเพื่อขจัดการแบ่งแยกในการคมนาคม โรงละคร ร้านอาหาร และอื่นๆ เดินทางไปบรรยายทั่วประเทศและถูกจับกุม 15 ครั้ง ในปีพ.ศ. 2503 ตามคำเชิญของนายกรัฐมนตรีชวาหระลาล เนห์รู เขาใช้เวลาหนึ่งเดือนในอินเดีย ซึ่งทำให้เขาคุ้นเคยกับงานของคานธีมากขึ้น ในเดือนมีนาคม - เมษายน พ.ศ. 2506 คิงเป็นผู้นำการประท้วงครั้งใหญ่ในเบอร์มิงแฮม (แอละแบมา) เพื่อต่อต้านการแบ่งแยกในที่ทำงานและที่บ้าน หนึ่งในสโลแกนคือการจัดตั้งคณะกรรมการของพลเมืองที่มีเชื้อชาติต่างกัน ตำรวจได้สลายผู้ชุมนุม (รวมถึงเด็กจำนวนมาก) โดยใช้สุนัข ปืนฉีดน้ำ และกระบอง เนื่องจากฝ่าฝืนคำสั่งห้ามชุมนุม คิงจึงถูกจับกุมเป็นเวลา 5 วัน ในช่วงเวลานี้ เขาได้เขียน "จดหมายจากคุกเบอร์มิงแฮม" ถึงผู้นำศาสนาผิวขาวในเมือง ซึ่งตำหนิเขาสำหรับ "การกระทำที่ไม่ฉลาดและไม่เหมาะสม" “ในความเป็นจริง เวลาไม่มีความหมาย” คิงเขียน “ความก้าวหน้าของมนุษยชาติไม่ได้หมุนไปบนวงล้อแห่งการหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันเกิดขึ้นจากความพยายามอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยของผู้คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า โดยที่กาลเวลาไม่กลายมาเป็นพันธมิตรของเวลา พลังแห่งความซบเซาในสังคม” แม้จะมีการปะทุขึ้นเป็นระยะๆ แต่ความตึงเครียดในเบอร์มิงแฮมก็ผ่อนคลายลงเมื่อผู้นำผิวขาวและผิวดำบรรลุข้อตกลงเรื่องการแบ่งแยกดินแดน ในปีพ.ศ. 2506 คิง พร้อมด้วยรองผู้อำนวยการ ราล์ฟ อเบอร์นาธี ผู้ก่อตั้งสภาความเสมอภาคทางเชื้อชาติ บายาร์ด รัสติน และผู้นำคนอื่นๆ ได้จัดการสาธิตสิทธิพลเมืองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม คนผิวขาวและคนผิวดำประมาณ 250,000 คนมารวมตัวกันในวอชิงตัน เมื่อมีการหารือเกี่ยวกับกฎหมายสิทธิพลเมืองในรัฐสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกา ในวันเดียวกันนั้น ผู้นำผิวดำหารือกับประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ต่อมา บนขั้นบันไดของอนุสรณ์สถานลินคอล์น คิงได้กล่าวสุนทรพจน์ที่แสดงความเชื่อของเขาในเรื่องภราดรภาพของมนุษย์ คำพูดนี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในชื่อ "ฉันมีความฝัน" - คำเหล่านี้ฟังดูเหมือนเป็นการเว้นวรรคในข้อความของคำพูด หนังสือของคิงเรื่อง Why We Can't Wait ตีพิมพ์ในปี 1964 ในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนของปีเดียวกัน คิงพร้อมด้วยสมาชิกของ KRHU ได้เข้าร่วมในการสาธิตการรวมที่อยู่อาศัยที่จัดขึ้นที่เซนต์ออกัสติน รัฐฟลอริดา หนึ่งเดือนต่อมา ประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสันเชิญเขาไปที่ทำเนียบขาว โดยเค. อยู่ในการลงนามในร่างพระราชบัญญัติการเคหะ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของพระราชบัญญัติสิทธิพลเมืองปี 1964 กฎหมายห้ามการแบ่งแยกในสถานที่สาธารณะและที่ทำงาน สภาพการทำงานและค่าจ้าง เมื่อสิ้นปี คิงได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในสุนทรพจน์เปิดงาน กุนนาร์ จาห์น ตัวแทนของคณะกรรมการโนเบลนอร์เวย์กล่าวว่า “แม้ว่ามาร์ติน ลูเธอร์ คิงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจการระหว่างประเทศ แต่การต่อสู้ของเขาก่อให้เกิดสันติภาพ... ในโลกตะวันตก เขาเป็นคนแรกที่ แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ไม่ได้หมายความถึงความรุนแรงเสมอไป” ในการบรรยายโนเบล คิงกล่าวว่า “การอหิงสาหมายความว่าคนของข้าพเจ้าต้องอดทนต่อความทุกข์ทรมานมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมาโดยไม่สร้างความเจ็บปวดให้ผู้อื่น... หมายความว่าเราไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป แต่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องการทำให้สิ่งเหล่านั้นหรือหวาดกลัว ผู้อื่นหรือแม้แต่สังคมที่เราเป็นส่วนหนึ่ง ขบวนการนี้ไม่ต้องการปลดปล่อยคนผิวดำโดยแลกกับความอัปยศอดสูและการเป็นทาสของคนผิวขาว ขบวนการนี้ไม่ต้องการชัยชนะเหนือใครเลย ในการปลดปล่อยตนเองของประชาชนทั้งปวง" ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2508 คิงได้จัดการเดินขบวนจากเซลมา แอละแบมา ไปยังมอนต์กอเมอรีภายใต้สโลแกนเรื่องสิทธิในการลงคะแนนเสียง แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเดินขบวนด้วยตนเอง หลังจากที่ผู้ประท้วงถูกตำรวจจราจรโจมตี คิงก็เรียกร้องให้เดินขบวนอีกครั้ง มีผู้ประท้วงผิวขาวและดำเข้าร่วมมากกว่า 3,000 คน และมากกว่า 25,000 คนเข้าร่วมตลอดทาง เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ประธานาธิบดีจอห์นสันลงนามในพระราชบัญญัติสิทธิในการออกเสียงลงคะแนน และคิงได้รับเชิญให้ไปวอชิงตันและเข้าร่วมในพิธีลงนาม ขณะเดินทางไปทั่วประเทศ ในปีพ.ศ. 2510 คิงได้ตีพิมพ์ Where Do We Go From Here? (“เราจะไปจากที่นี่ที่ไหน?”) ในเดือนเมษายน เขาพูดอย่างเปิดเผยต่อต้านสงครามเวียดนาม คิงปราศรัยถึงการชุมนุมต่อต้านสงครามครั้งใหญ่ในวอชิงตัน มาเป็นประธานร่วมขององค์กร “พระภิกษุและฆราวาสตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ในเวียดนาม” ในช่วงปีสุดท้ายของชีวิต ความสนใจของคิงไม่เพียงแต่ถูกดึงความสนใจไปที่การเหยียดเชื้อชาติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหาการว่างงาน ความหิวโหย และความยากจนทั่วอเมริกาด้วย การขยายขอบเขตอันไกลโพ้นจำเป็นต้องสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรงของเยาวชนผิวดำในช่วงการจลาจลในสลัมของวัตต์ นวร์ก ฮาร์เล็ม และดีทรอยต์ ซึ่งขัดแย้งกับหลักการของอหิงสา คิงเริ่มตระหนักว่าการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติมีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับปัญหาความยากจน แต่เขาไม่มีเวลาสร้างโปรแกรมเกี่ยวกับปัญหานี้ซึ่งอธิบายถึงความล้มเหลวของความพยายามที่จะปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ในสลัมชิคาโกในปี 2509 อย่างไรก็ตามในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2510 คิงได้ประกาศเปิดตัวโครงการรณรงค์คนจนซึ่งควรจะเป็น จะสิ้นสุดในเดือนเมษายน พ.ศ. 2511 ด้วยการชุมนุมของคนผิวขาวและคนผิวดำที่ยากจนในวอชิงตัน เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2511 คิงนำการชุมนุมประท้วงที่แข็งแกร่ง 6,000 คนในตัวเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี เพื่อสนับสนุนคนงานที่โดดเด่น ไม่กี่วันต่อมา เขาพูดที่เมืองเมมฟิสว่า "เรามีวันที่ยากลำบากรออยู่ข้างหน้า แต่มันก็ไม่สำคัญ เพราะผมเคยขึ้นไปบนยอดเขามาแล้ว... ผมได้มองไปข้างหน้าและเห็นดินแดนแห่งพันธสัญญา บางทีผมอาจจะ จะไม่อยู่ที่นั่นกับคุณ แต่ฉันอยากให้คุณรู้ตอนนี้ เราทุกคน ทุกคนจะได้เห็นโลกนี้” วันรุ่งขึ้น คิงได้รับบาดเจ็บจากมือปืนขณะยืนอยู่บนระเบียงของ Lorraine Motel ในเมมฟิส เขาเสียชีวิตจากบาดแผลที่โรงพยาบาลเซนต์โจเซฟ และถูกฝังในแอตแลนตา กิจกรรมของ King ได้รับการศึกษาและดำเนินการต่อโดย Martin Luther King Jr. Center for Nonviolent Social Change ในแอตแลนตา ในปี 1983 รัฐสภาสหรัฐฯ ปฏิเสธข้อเสนอเพื่อเฉลิมฉลองวันเกิดของ K. ในวันจันทร์ที่สามของเดือนมกราคม อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2529 มีการติดตั้งรูปปั้นครึ่งตัวของมาร์ติน ลูเธอร์ คิงใน Great Rotunda of the Capitol ในวอชิงตัน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่ชาวอเมริกันผิวดำได้รับเกียรติเช่นนี้ เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2529 ประเทศได้เฉลิมฉลองวันมาร์ติน ลูเทอร์ คิงเป็นครั้งแรก
^
รายการผลงาน
หนังสือ “เส้นทางสู่อิสรภาพ” พ.ศ. 2501
หนังสือของมาร์ติน "ทำไมเรารอไม่ได้", 1963
"รักศัตรูของคุณ..."
"พจนานุกรมอหิงสาของดร.คิง"
“ถ้อยคำแห่งปัญญา”
“แสวงบุญสู่การไม่ใช้ความรุนแรง” ความคิดเชิงจริยธรรม การอ่านทางวิทยาศาสตร์และวารสารศาสตร์
แหล่งที่มา
Martin Luther King // ประวัติศาสตร์ของผู้คน http://www.peoples.ru/state/priest/m_l_king/index.htmlMartin Luther King - ชีวประวัติ // มูลนิธิโนเบล http://nobelprize.org/peace/laureates/1964/king-bio.html
การแบ่งแยกเชื้อชาติ // Wikipedia http://en.wikipedia.org/wiki/Racial_segregation
ดร. มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ // ข้อมูลกรุณาฐานข้อมูล http://www.infoplease.com/spot/mlkbiospot.html
สารานุกรมสำหรับเด็ก "ฉันสำรวจโลก"
โรเบิร์ต มิลเลอร์ - มาร์ติน ลูเธอร์ คิง ชีวิต ความทุกข์ และความยิ่งใหญ่
นักเทศน์ คิง ในขณะที่ยังเรียนอยู่ในวิทยาลัย ได้กลายเป็นผู้สนับสนุนวิธีการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมืองของคนผิวดำโดยไม่ใช้ความรุนแรง ได้รับแต่งตั้งให้เป็นบาทหลวงแบ๊บติส (พ.ศ. 2497) เขาได้เป็นศิษยาภิบาลของโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองมอนต์กอเมอรี รัฐแอละแบมา ปีต่อมา คิงได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ในฐานะหัวหน้าของ Montgomery Negro Improvement Association คิงได้จัดการคว่ำบาตรการขนส่งสาธารณะโดยคนผิวดำในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2498 การกระทำนี้นำไปสู่การตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐให้ห้ามการแบ่งแยกการขนส่งสาธารณะ ในปีพ.ศ. 2500 คิงได้จัดตั้งและเป็นหัวหน้าการประชุมผู้นำคริสเตียนตอนใต้ขององค์กรผิวดำ และเริ่มบรรยายทั่วประเทศ เรียกร้องให้มีการดำเนินการไม่ใช้ความรุนแรงอย่างแข็งขันเพื่อสิทธิพลเมืองของคนผิวดำ การเดินทางไปอินเดียของพระองค์ (พ.ศ. 2502) มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับกษัตริย์ โดยได้รับอิทธิพลจากคำสอนของมหาตมะ คานธี เขาได้พัฒนายุทธวิธีสำหรับการดำเนินการไม่ใช้ความรุนแรงในวงกว้างในการต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมือง รวมถึงการกระทำที่ไม่เชื่อฟังด้วยพลเมือง
ในปี 1960 คิงกลับมาที่แอตแลนตา ซึ่งเขากลายเป็นศิษยาภิบาลของโบสถ์ Ebenezer Baptist และถูกจับกุมระหว่างการประท้วงต่อต้านการแบ่งแยก การจับกุมของกษัตริย์ดึงดูดความสนใจของสาธารณชนชาวอเมริกันในวงกว้าง จอห์น เคนเนดี้ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดียื่นคำร้องให้ปล่อยตัวเขา ในปีพ.ศ. 2506 คิงได้ร่วมจัดงานเดินขบวนในกรุงวอชิงตัน ซึ่งมีผู้เข้าร่วมมากกว่า 200,000 คน และในระหว่างนั้น เขาได้กล่าวสุนทรพจน์เรื่อง "I Have a Dream" การเดินขบวนครั้งนี้มีส่วนทำให้มีการผ่านพระราชบัญญัติสิทธิพลเมือง (พ.ศ. 2507) และคิงเองก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ (พ.ศ. 2507) ในปีพ.ศ. 2508 คิงได้จัดการเดินขบวนจากเซลมาไปยังมอนต์โกเมอรี (แอตแลนตา) เพื่อพยายามที่จะบรรลุการแบ่งแยกที่อยู่อาศัย แต่ถูกบังคับให้ล่าถอยต่อหน้าหน่วยพิทักษ์แห่งชาติของรัฐ ความล้มเหลวนี้นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ของกษัตริย์จากผู้นำสิทธิพลเมืองคนอื่นๆ ซึ่งมองว่ากลยุทธ์ของเขาอ่อนโยนเกินไปและไร้หัวใจ ตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา คิงเริ่มพูดออกมาในรูปแบบที่เข้มงวดมากขึ้น เรียกร้องให้มีการต่อสู้ร่วมกันของชนชั้นล่างของประชากรผิวขาวและผิวสีเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม คิงเป็นหนึ่งในผู้นำผิวดำกลุ่มแรกที่พูดต่อต้านการรุกรานของสหรัฐฯ ในเวียดนาม ในฤดูใบไม้ผลิปี 1968 เขาเดินทางไปเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี เพื่อสนับสนุนการนัดหยุดงานของช่างประปา และถูกเจมส์ เอิร์ล เรย์ ผู้เหยียดเชื้อชาติสังหารเมื่อวันที่ 4 เมษายน หลังจากการฆาตกรรม เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ครั้งใหญ่ - “การจลาจลในเดือนเมษายน” ซึ่งเจ้าหน้าที่ปราบปรามอย่างไร้ความปราณี
ย่าน Sweet Auburn ในแอตแลนตาซึ่งเป็นสถานที่เกิดของ Martin Luther King ได้รับการกำหนดให้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ เป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมของชุมชนคนผิวดำของเมือง นี่คือที่ที่กษัตริย์ทรงประสูติ โบสถ์เอเบเนเซอร์แบ๊บติสต์ซึ่งเขาและพ่อของเขาเทศนา โบสถ์สันติภาพระหว่างศาสนา และหลุมศพของกษัตริย์ที่มีเปลวไฟนิรันดร์และจารึก "Free At Last" บนศิลาจารึก ) ศูนย์กลางชุมชน และอนุสรณ์สถานกษัตริย์ พิพิธภัณฑ์ - ศูนย์เปลี่ยนแปลงสังคมสันติวิธี แม่ของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ถูกยิงสาหัสในเมือง Sweet Auburn เมื่อปี 1974 วันที่ 15 มกราคม ในสหรัฐอเมริกาเป็นวันหยุดประจำชาติ - วันมาร์ติน ลูเธอร์ คิง ในหลายรัฐทางใต้ จะมีการเฉลิมฉลองในวันจันทร์ที่สามของเดือนมกราคมร่วมกับวันโรเบิร์ต อี. ลี