คาร์ล เซแกน. พลเมืองคนแรกของโลก
การศึกษาและอาชีพทางวิทยาศาสตร์
ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์
เซแกนเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆ ที่ตั้งสมมติฐานว่าดาวเทียมและดาวเทียมอาจมี (สันนิษฐานว่ามหาสมุทรอยู่ใต้ยุโรป) หรือ เขาแนะนำว่ามหาสมุทรน้ำของยุโรปอาจเหมาะสมกับชีวิต การยืนยันการมีอยู่ของมหาสมุทรใต้ธารน้ำแข็งบนยุโรปนั้นได้มาทางอ้อมโดยใช้
เซแกนยังทำให้เราเข้าใจบรรยากาศ การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล และดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์มากขึ้นอีกด้วย เขาพบว่าบรรยากาศของดาวศุกร์นั้นร้อนและหนาแน่นมาก นอกจากนี้เขายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่านี่เป็นอันตรายเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้น และทำให้เกิดความคล้ายคลึงกันระหว่างปรากฏการณ์นี้กับการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติของดาวศุกร์ให้กลายเป็นดาวเคราะห์ที่ร้อนและไม่สามารถอยู่อาศัยได้ เขาตั้งสมมติฐานว่าการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลบนดาวอังคารเกิดขึ้นจาก ไม่ใช่กระบวนการที่เกี่ยวข้องกับพืชพรรณดังที่คิดไว้ก่อนหน้านี้
การโฆษณาชวนเชื่อของวิทยาศาสตร์
สมาชิกของ Planetary Community ในการประชุมที่อุทิศให้กับการสร้างองค์กร
เซแกนเสนอแนวคิดในการค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลก เขาเรียกร้องให้ชุมชนวิทยาศาสตร์ค้นหาสัญญาณจากสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ชาญฉลาดโดยใช้สัญญาณขนาดใหญ่ เขายังเรียกร้องให้ส่งยานสำรวจไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่นด้วย เซแกนเป็นหัวหน้าบรรณาธิการของ Icarus (วารสารวิชาชีพที่อุทิศให้กับการวิจัยเกี่ยวกับดาวเคราะห์) เป็นเวลา 12 ปี เขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง Planetary Society และเป็นสมาชิกของคณะกรรมการมูลนิธิ SETI
Carl Sagan มีชื่อเสียงจากการร่วมเขียนบทความทางวิทยาศาสตร์ที่คาดการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เซแกนทำนายว่าควันจากการเผาน้ำมันในคูเวต (จุดไฟโดยกองทัพที่ 1) จะทำให้เกิดภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อมในรูปของเมฆสีดำ เฟรด ซิงเกอร์ นักฟิสิกส์บรรยากาศที่เกษียณอายุแล้ว มองข้ามคำทำนายของเซแกนว่าเป็นเรื่องผิดปกติ โดยคาดการณ์ว่าควันจะจางหายไปภายในไม่กี่วัน ในหนังสือของเขา “A World Full of Demons: Science is Like a Candle in the Dark” ( ) คาร์ล เซแกนให้รายการข้อผิดพลาดที่เขาทำ (รวมถึงการทำนายผลกระทบของไฟที่คูเวต) เพื่อเป็นตัวอย่างของข้อเท็จจริงที่ว่าในทางวิทยาศาสตร์ ทุกคำพูดต้องมีหลักฐานที่หนักแน่นและการทดลองมากมาย
เซแกนยังได้เข้าร่วมในฐานะนักวิจัยในปฏิบัติการลับของกองทัพอากาศสหรัฐฯ เพื่อทิ้งเครื่องบิน .
กิจกรรมเพื่อสังคม
ขอบคุณละครทีวีเรื่อง "Cosmos" และการปรากฏตัวบ่อยครั้งในรายการโทรทัศน์ยอดนิยม "วันนี้" ( การแสดงคืนนี้) เซแกนมีความเกี่ยวข้องกับวลี "พันล้านและพันล้าน" เขาไม่เคยใช้วลีนี้กับ Cosmos เลย แต่ความจริงที่ว่าเขามักจะใช้คำว่า "พันล้าน" ทำให้ "พันล้าน" เป็นบทกลอนยอดนิยมของพิธีกรรายการทีวี จอห์นนี่ คาร์สัน และคนอื่นๆ สร้างความประทับใจอันอบอุ่นให้กับเซแกน เขาหยิบมันขึ้นมาด้วยอารมณ์ขันและตั้งชื่อหนังสือเล่มล่าสุดของเขาว่า Billions and Billions มีการสร้างมาตรการที่น่าขบขันซึ่งอาจมีมูลค่ามากกว่า 4 พันล้านก็ได้
เซแกนเขียนภาคต่อของนวนิยายเรื่อง "Cosmos" - "The Blue Speck: A Look at the Cosmic Future of Humanity" ( Pale Blue Dot: วิสัยทัศน์แห่งอนาคตของมนุษย์ในอวกาศ) ซึ่งถือเป็นหนังสือสำคัญในหนังสือพิมพ์ เซแกนเขียนคำนำของหนังสือ "" ( ประวัติโดยย่อของกาลเวลา).
คาร์ล เซแกน เสนอที่มาของสัญลักษณ์ในหนังสือของเขาเรื่อง "ดาวหาง" ( ดาวหาง- เขาตั้งสมมติฐานว่าในสมัยโบราณมันเข้าใกล้ระยะทางที่ไอพ่นก๊าซที่เล็ดลอดออกมาจากมันซึ่งโค้งงอภายใต้อิทธิพลของการหมุนนั้นมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในหนังสือดาวหาง เซแกนได้จัดทำสำเนาต้นฉบับโบราณที่แสดงหางของดาวหางหลายแบบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหางธรรมดาๆ แต่ในภาพสุดท้าย นิวเคลียสของดาวหางถูกวาดด้วยรังสีโค้งสี่เส้นที่เล็ดลอดออกมาจากมัน แสดงถึงเครื่องหมายสวัสดิกะ
เซแกนกระตุ้นความรู้สึกขัดแย้งในหมู่นักวิทยาศาสตร์มืออาชีพคนอื่นๆ ในด้านหนึ่ง เขาได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางในการเผยแพร่วิทยาศาสตร์ให้แพร่หลายและตำแหน่งทั้งมืออาชีพและมืออาชีพ ดังที่เห็นได้จากนิทรรศการ Worlds in Collision ( โลกในการปะทะกัน- ในทางกลับกัน มีความกังวลในหมู่นักวิทยาศาสตร์ว่ามุมมองและความสนใจทางวิทยาศาสตร์ส่วนตัวของเซแกนจะถูกสาธารณชนเข้าใจผิดว่าเป็นมุมมองของชุมชนวิทยาศาสตร์ทั้งหมด บางคนเชื่อว่าข้อกังวลเหล่านี้เกิดจากความกังวลด้านอาชีพที่มุมมองที่ขัดแย้งกับเซแกน (เช่น การตั้งคำถามถึงความจริงจัง) ไม่ได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างเพียงพอ
ข้อโต้แย้งของเซแกนต่อ "ทฤษฎีภัยพิบัติ" ของ Velikovsky ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเพื่อนร่วมงานบางคนของเขา ดร. Robert Chastrow จากสถาบันวิทยาศาสตร์อวกาศของ NASA เขียนว่า:
“การคำนวณของศาสตราจารย์เซแกนไม่สนใจกฎแรงโน้มถ่วง ด้วยเหตุนี้ ดร.เวลิคอฟสกี้จึงเป็นนักดาราศาสตร์ที่ดีที่สุด"
ในชีวิตบั้นปลายของเซแกน หนังสือของเขานำเสนอแนวทางที่ไม่เชื่อและเป็นธรรมชาติต่อโครงสร้างของโลก ในหนังสือ “โลกที่เต็มไปด้วยปีศาจ: วิทยาศาสตร์ก็เหมือนเทียนในความมืด” ( โลกผีสิง: วิทยาศาสตร์เปรียบเสมือนเทียนในความมืด) เขาอธิบายวิธีทดสอบสมมติฐานและค้นหาแนวคิดที่เป็นเท็จและหลอกลวง โดยพื้นฐานแล้วเรียกร้องให้มีการใช้อย่างแพร่หลาย ในงาน “Billions and Billions: Thoughts on Life and Death at the Edge of the Millennium” จัดพิมพ์หลังการเสียชีวิตของผู้เขียน ( พันล้านและพันล้าน: ความคิดเกี่ยวกับชีวิตและความตายที่ขอบแห่งสหัสวรรษ) มีบทความที่เขียนโดย Sagan ซึ่งสะท้อนมุมมองของเขาและอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงรายงานของ Ann Druyan ที่บอกว่า Sagan เสียชีวิตขณะยังคงอยู่
บุคลิกภาพ
เซแกนถูกขอให้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการมีอยู่ของอารยธรรมนอกโลกสำหรับคำนำของภาพยนตร์เรื่อง "" เซแกนตอบว่าเขาต้องการการควบคุมกองบรรณาธิการของภาพยนตร์เรื่องนี้และเปอร์เซ็นต์ของรายรับในบ็อกซ์ออฟฟิศซึ่งเขาถูกปฏิเสธ
บริษัทเริ่มพัฒนาคอมพิวเตอร์เวอร์ชันใหม่ บริษัทเลือกชื่อ "Carl Sagan" เป็นชื่อรหัสภายในของผลิตภัณฑ์เพื่อเป็นเกียรติแก่นักดาราศาสตร์ชื่อดัง แม้ว่าชื่อภายในของผลิตภัณฑ์จะเป็นความลับอย่างเคร่งครัดและไม่เคยใช้ต่อสาธารณะ แต่เมื่อ Sagan รู้เรื่องนี้ เขาก็ฟ้อง Apple Computer โดยเรียกร้องให้ใช้ชื่ออื่นเนื่องจากโครงการอื่นมีชื่อเช่น "" ( ฟิวชั่นเย็น) และ "มนุษย์พิลท์ดาวน์" ( พิลท์ดาวน์แมน- เซแกนไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับ แม้ว่าเขาจะแพ้คดี แต่วิศวกรของ Apple ก็ปฏิบัติตามความปรารถนาของ Sagan และเปลี่ยนชื่อโครงการเป็น "BHA" - "Stubborn Astronomer" ( นักดาราศาสตร์ Butthead- เซแกนฟ้อง Apple อีกครั้งฐานล้อเลียนเขา ครั้งนี้เขาก็แพ้เหมือนกัน แต่ชื่อของโครงการ 7100 ได้รับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ตอนนี้เรียกว่า "กฎหมาย" - "ทนายความทุกคนน่าเบื่อ" ( ทนายความเป็นคน Wimps).
หลายคนเชื่อเซแกนหรือตามคำพูดของเขาเช่น:
“ความคิดของชายผิวขาวร่างใหญ่มีหนวดเคราไหลนั่งอยู่บนท้องฟ้าและควบคุมทุกสิ่ง แม้จะตัวเล็กพอๆ กับการบินของนกกระจอกก็ไร้สาระ แต่ถ้าตามคำพูด. พระเจ้าหมายถึงชุดกฎแห่งฟิสิกส์ที่ควบคุม จึงมีพระเจ้าเช่นนี้ดำรงอยู่ ความคิดเรื่องพระเจ้าเช่นนี้ไม่ได้ให้ความพึงพอใจทางอารมณ์... การยกกฎหมายไม่สมเหตุสมผลเลย”
เซแกนแต่งงานสามครั้ง: กับคนที่มีชื่อเสียง (แม่ของ Dorion Sagan และ Jeremy Sagan) ถึง Linda Saltzman Sagan (แม่ของ Nick Sagan) และกับ Ann Druyan (แม่ของ Sasha และ Sam) ซึ่งเขาแต่งงานกันจนถึงวาระสุดท้าย ในสมัยของเขา
มรดก
เซแกนเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมที่เกิดจากการต่อสู้กับโรคไขกระดูกเป็นเวลา 2 ปี เมื่ออายุได้ 62 ปี ที่ศูนย์วิจัยด้านเนื้องอกวิทยา เฟรด ฮัทชิสัน เมือง (รัฐ) เซแกนมีบุคลิกที่โดดเด่น ผู้สนับสนุนของ Sagan ชื่นชมความสำคัญของความพยายามของเขาในการเผยแพร่วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ สุนทรพจน์ของเขาทั้งต่อต้านข้อจำกัดในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และต่อต้านการใช้ผลทางวิทยาศาสตร์เชิงโต้ตอบ การปกป้องประชาธิปไตย การต่อต้านแนวคิดชาตินิยม การป้องกันการปฏิเสธทางภูมิศาสตร์และ มุมมองมานุษยวิทยา
จุดลงจอดของยานพาหนะไร้คนขับ ซึ่งเป็นรถแลนด์โรเวอร์ลำแรก ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "สถานีอนุสรณ์คาร์ล ซาแกน" เพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.เซแกน ดาวเคราะห์น้อย 2709 เซแกนก็ได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาเช่นกัน
ภาพยนตร์ที่สร้างจากนวนิยายของเซแกนและสร้างเสร็จหลังจากการตายของเขา จบลงด้วยประโยค "อุทิศให้กับชาร์ลส์" ( สำหรับคาร์ล).
ในตอนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่อง "" ( สตาร์เทรค) แสดงไซต์ลงจอด ( ผู้เบิกทางดาวอังคาร) และจารึกประวัติศาสตร์ที่อ้างอิงถึงเซแกนที่บริเวณ "สถานีอนุสรณ์คาร์ล ซาแกน" ซึ่งมีข้อความว่า:
วงดนตรีที่แสดงปล่อยอัลบั้ม “Invisible Forces” ( กองกำลังที่มองไม่เห็น- แผ่นดิสก์เพลงจะมาพร้อมกับดีวีดีที่กล่าวถึงภาพร่างทางประวัติศาสตร์จากซีรีส์ Cosmos
รางวัลและรางวัล
- รางวัลความสำเร็จของโครงการ Apollo -
- - รางวัลชมเชยในปี 1991 ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับความสำเร็จที่น่าสงสัยจากองค์กรที่ไม่มั่นใจในการประเมินสภาวะของสิ่งแวดล้อมและผลกระทบของกิจกรรมของมนุษย์
- การรับรู้ผลงานสาธารณะ – NASA
- - ความสำเร็จส่วนบุคคลดีเด่น - พ.ศ. 2524 จากละครโทรทัศน์เรื่อง Cosmos
- Emmy - ซีรีส์การศึกษาดีเด่น - 1981 - สำหรับซีรีส์ "Space"
- เหรียญความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ดีเด่น - NASA
- รางวัลผู้นำ Helen Caldicot - ขบวนการลดอาวุธนิวเคลียร์สตรี
- รางวัลโฮเมอร์ - 1997 - สำหรับ "ติดต่อ"
- - 1998 - สำหรับ “ติดต่อ”
- Hugo Award - 1981 - สำหรับ "อวกาศ"
- Hugo Award - 1997 - สำหรับ "โลกที่เต็มไปด้วยปีศาจ"
- นักมนุษยนิยมแห่งปี - 1981 - ได้รับรางวัลจาก American Humanist Association
- Sanity Award - 1987 - คณะกรรมการแนวทางทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอาถรรพณ์
- รางวัล Isaac Asimov - 1994 - คณะกรรมการแนวทางทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอาถรรพณ์
- รางวัล John F. Kennedy Astronautics - สมาคมดาราศาสตร์อเมริกัน
- รางวัล John Campbell Memorial Award - 1974 - "Cosmic Connections" ( การเชื่อมต่อของจักรวาล)
- รางวัล Klumpke-Roberts จากสมาคมดาราศาสตร์แปซิฟิก - 1974
- เหรียญของ Konstantin Tsiolkovsky - สหพันธ์อวกาศแห่งสหภาพโซเวียต
หนังสือของนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียงและผู้เผยแพร่วิทยาศาสตร์ K. Sagan พูดถึงวิวัฒนาการของจักรวาล การก่อตัวของกาแลคซี และกำเนิดของชีวิตและสติปัญญา ผู้เขียนติดตามเส้นทางสู่ความรู้เกี่ยวกับจักรวาล - จากความเข้าใจของนักคิดโบราณผ่านการค้นพบของเคปเลอร์ นิวตัน และไอน์สไตน์ ไปจนถึงภารกิจอวกาศสมัยใหม่
คาร์ล ซาแกน
ช่องว่าง
วิวัฒนาการของจักรวาล ชีวิต และอารยธรรม
[เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก]
แอมโฟรา 2548
UDC 53 (023) BBK 22 (7Soe) S 14
เรื่องราวของวิวัฒนาการจักรวาล วิทยาศาสตร์ และอารยธรรม
แปลจากภาษาอังกฤษโดย A. G. Sergeev
ทางสำนักพิมพ์ขอแสดงความขอบคุณ
คาร์ล เซแกน โปรดักชั่น อิงค์ สำหรับการให้สิทธิในการตีพิมพ์หนังสือ
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิของกลุ่มสำนักพิมพ์ "Amphora" ดำเนินการโดยสำนักงานกฎหมาย "Uskov and Partners"
ภาพประกอบที่นำมาจากสิ่งพิมพ์: ซากัน เอส.จักรวาล. นิวยอร์ก - อเวเนล
นิวเจอร์ซีย์: Wings Books, 1995
สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพประกอบ โปรดดูที่: หน้า 501-509 ของเอกสารนี้
เซแกน, เคเอส 14จักรวาล: วิวัฒนาการของจักรวาล ชีวิต และอารยธรรม / คาร์ล เซแกน; [แปล. จากภาษาอังกฤษ อ. เซอร์เกวา] - เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก: โถ TID โถ, 2548. - 525 น. - (ซีรีส์ “นิวยูเรก้า”)
ISBN 5-94278-522-8 (รัสเซีย) ISBN 0-349-10703-3 (ภาษาอังกฤษ, ข้อความ) ISBN 0-517-12355-H (ภาษาอังกฤษ, ภาพประกอบ)
UDC 53 (023) BBK22(7Soe)
ISBN S-94278-522-8 (รัสเซีย) ISBN 0-349-10703-3 (ภาษาอังกฤษ ข้อความ) ISBN 0-517-12355-X (ภาษาอังกฤษ ป่วย)
© 2002 โดย The Estate of Carl Sagan ©ฉบับภาษารัสเซีย
การแปลการออกแบบ
CJSC TID "โถ", 2547
สารบัญอิเล็กทรอนิกส์
สารบัญอิเล็กทรอนิกส์ 4
จากผู้แปล.. 5
คำนำ.. 9
บทที่ 1 บนชายฝั่งมหาสมุทรอวกาศ .. 12
บทที่ 3 ความสามัคคีของโลก.. 31
รูปทรงหลายเหลี่ยม Platonic ปกติห้าอัน 41
บทที่สี่ สวรรค์และนรก.. 48
สเปกตรัมของรังสีแม่เหล็กไฟฟ้ามีตั้งแต่คลื่นที่สั้นที่สุด (รังสีแกมมา) ไปจนถึงคลื่นที่ยาวที่สุด (รังสีวิทยุ) 58
บทที่ V. สีฟ้าของดาวเคราะห์สีแดง... 64
บทที่หก การผจญภัยของนักเดินทาง.. 80
บทที่เจ็ด กระดูกสันหลังแห่งราตรี.. 93
บทที่ 8 การเดินทางในอวกาศและเวลา... 109
บทที่ 9 ชีวิตของดวงดาว... 119
บทที่ X ขอบแห่งนิรันดร์ .. 132
บทที่สิบเอ็ด ความคงทนของหน่วยความจำ.. 145
บทที่สิบสอง สารานุกรมกาแลกติก.. 155
บทที่สิบสาม ใครเป็นผู้รับผิดชอบต่อโลก?. 167
ภาคผนวก 1. การลดลงเป็นเรื่องไร้สาระหรือรากที่สองของทั้งสอง 180
ภาคผนวก 2. ร่างพีทาโกรัส* ห้าร่าง 182
ความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพประกอบสี... 184
อิลลินอยส์ 1. ด้านหลังม่านฝุ่นอันมืดมิดของเนบิวลานายพราน มีแสงจ้าของดาวฤกษ์อายุน้อยร้อนแรงแผ่กระจายออกไป 185
อิลลินอยส์ 2. รูปสี่เหลี่ยมคางหมูของ Orion - ดาวเกิดใหม่สี่ดวงในเนบิวลานายพราน 186
อิลลินอยส์ 3. ฝูงลอยลอยอยู่เหนือกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ในชั้นบรรยากาศ 186
อิลลินอยส์ 3ก. โฟลเตอร์อย่างใกล้ชิด 187
อิลลินอยส์ 3บี ลอยน้ำลอยอยู่เหนือเมฆแอมโมเนีย 187
อิลลินอยส์ 4. ภาพสีผิดเพี้ยนของจุดแดงใหญ่ 188
อิลลินอยส์ 5. ภาพถ่ายดาวพฤหัสที่ถ่ายโดยสถานีโวเอเจอร์ 1 ในระยะเริ่มต้นของการเข้าใกล้จากระยะห่าง 28 ล้านกม. 188
อิลลินอยส์ 10. กลางคืนบนดาวเคราะห์น้ำแข็งบริเวณขอบกระจุกดาวลูกไก่ 190
อิลลินอยส์ 11. บนดาวเคราะห์ที่โคจรรอบดาวฤกษ์บริเวณรอบนอกกระจุกดาวทรงกลม เป้าหมายนี้บรรลุได้ด้วยความเร็วรองแสงเท่านั้น ซึ่งสามารถทำได้โดยยานอวกาศของบัสซาร์ด 190
อิลลินอยส์ 12. จรวดแซเทิร์น 5 พร้อมยานอวกาศอพอลโล 14 ติดตั้งที่จุดปล่อยจรวดก่อนปล่อยสู่ดวงจันทร์ในตอนกลางคืน 191
อิลลินอยส์ 13. นักบินอวกาศอะพอลโล 16 ติดตั้งเครื่องสะท้อนแสงแบบเลเซอร์บนพื้นผิวดวงจันทร์ 192
อิลลินอยส์ 14. แบบจำลองยานลงจอดไวกิ้งในหุบเขามรณะ แคลิฟอร์เนีย 192
อิลลินอยส์ 15, 16. ข้อความระหว่างดวงดาวจากยานโวเอเจอร์ 193
อิลลินอยส์ 16. แผ่นทองคำจะคงการบันทึกไว้เป็นเวลาหลายพันล้านปี (รูปที่ 16) 193
พอยน์เตอร์*. 196
จากนักแปล
บนดาวอังคาร ณ จุดพิกัด 19°20"N, 33°33"W. ง. มียานพาหนะขับเคลื่อนในตัวขนาดเล็กปูด้วยทราย และไม่ไกลจากที่นั่นจะมีอนุสาวรีย์ของชายที่คุณถือหนังสืออยู่ในมือ นี่คือสถานีอนุสรณ์คาร์ล เซแกน ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2540 เธอได้ส่งมอบรถแลนด์โรเวอร์ Pathfinder ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองที่นี่ จากนั้นจึงส่งภาพจากกล้องวิดีโอไปยังโลกเป็นเวลาเกือบสามเดือน ในความเป็นจริง การเดินทางของ Pathfinder ข้ามพื้นผิวดาวเคราะห์สีแดงนั้นเรียบง่ายกว่าแผนที่ Sagan มีอยู่ในใจมาก แต่เขาเดาได้อย่างถูกต้องถึงระดับความสนใจของสาธารณชนในภารกิจนี้ ฤดูร้อนปีนั้น รายงานจากดาวอังคารปรากฏอยู่ในข่าวโทรทัศน์ภาคค่ำ แต่เซแกนเองก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่จนเห็นความคิดนี้เป็นจริง
อนุสาวรีย์บนดาวอังคารยังห่างไกลจากข้อเท็จจริงที่น่าทึ่งเพียงอย่างเดียวที่เกี่ยวข้องกับชื่อของชายที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้เผยแพร่วิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในศตวรรษที่ 20 ได้อย่างปลอดภัย เซแกนผสมผสานความสมจริงที่เข้มงวดของนักวิทยาศาสตร์เข้ากับความเข้มข้นของอารมณ์ที่มีเสน่ห์ดึงดูดของความโรแมนติกที่ไม่อาจระงับได้ การต่อสู้อย่างไม่อาจประนีประนอมของเขากับวิทยาศาสตร์เทียมและความเชื่อทางไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์และลัทธิคัมภีร์ ส่งผลให้เกิดการตำหนิจากฝ่ายตรงข้าม โดยไม่มีเหตุผลที่แน่นอน ว่าเขากำลังเปลี่ยนวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นวัตถุบูชาทางศาสนา ในเวลาเดียวกันกิจกรรมการเผยแพร่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและความปรารถนาที่จะพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในภาษาที่เข้าถึงได้ดึงดูดการตำหนิจากพรรคอนุรักษ์นิยมโดยไม่ล้มเหลว
เพื่อนร่วมงานที่มีชื่อเสียงซึ่งเชื่อว่าไม่เหมาะสมที่นักวิทยาศาสตร์ตัวจริงจะพูดโดยใช้อารมณ์เช่นนั้นในรายการทอล์คโชว์ทุกคืน และโดยทั่วไปแล้วจะดีกว่าหากอยู่ห่างจากความสนใจของสาธารณชนที่ "ไม่ได้ฝึกหัด" ด้วยเหตุนี้ เซแกนจึงถูกโหวตออกจากการเลือกตั้งของ National Academy of Sciences เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่ในเวลาต่อมา Academy เดียวกันได้มอบรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดแก่เขาซึ่งเป็นเหรียญสำหรับความสำเร็จที่โดดเด่นในการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์เพื่อประโยชน์ของสังคม แต่อย่าก้าวไปข้างหน้าตัวเราเอง
Carl Edward Sagan เกิดที่นิวยอร์กเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 เมื่อตอนเป็นเด็ก เขาอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ คำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของชีวิตและสติปัญญานอกโลกทำให้จินตนาการของเขาตื่นเต้น เมื่ออายุ 12 ปี เขาได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นนักดาราศาสตร์และก้าวไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว ในปีพ.ศ. 2494 เมื่ออายุ 16 ปี เขาเข้ามหาวิทยาลัยชิคาโก เมื่ออายุ 19 ปี เขาได้รับปริญญาตรี และเมื่ออายุ 25 ปี เขาก็กลายเป็นแพทย์สาขาดาราศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เซแกนไม่ลืมเรื่องชีววิทยาเมื่อออกเดินทางเพื่อค้นหาชีวิตนอกโลก ในช่วงที่เป็นนักศึกษา เขาทำงานเป็นผู้ช่วยห้องปฏิบัติการของ G. Möller นักพันธุศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ความคิดของเขาเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางชีววิทยาเกิดขึ้นที่นี่ ระดับวิทยาศาสตร์ของเซแกนในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากสารานุกรมบริแทนนิกาให้เขียนบทความเรื่อง "ชีวิต"
ในทศวรรษ 1960 เซแกนทำงานที่หอดูดาวฟิสิกส์ดาราศาสตร์ยอร์กและสมิธโซเนียน และสอนดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตั้งแต่ปี 1968 เขาได้เป็นศาสตราจารย์ด้านดาราศาสตร์และการวิจัยอวกาศที่ Cornell University ที่นี่เขาสร้างห้องทดลองสำหรับศึกษาดาวเคราะห์ซึ่งเขาทำงานไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต
เซแกนเน้นย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเขาโชคดีที่ได้อยู่ในยุคที่มนุษยชาติเริ่มสำรวจอวกาศ ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการอวกาศของอเมริกา เขามีส่วนร่วมในโครงการของ NASA เพื่อสำรวจดาวเคราะห์ในระบบสุริยะด้วยความหวังว่าจะค้นพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์เหล่านั้น เมื่อมันไม่ใช่
ด้วยการมีส่วนร่วมทางการเงินของเขา ความลึกลับของอุณหภูมิสูงบนดาวศุกร์ได้รับการแก้ไข เข้าใจสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลบนพื้นผิวดาวอังคาร และอธิบายสีของบรรยากาศของไททัน ทั้งหมดนี้อธิบายไว้ในหนังสือ "จักรวาล"
คาร์ล เซแกนมีวิสัยทัศน์ที่น่าทึ่ง และตอนนี้มรดกของเขาจะต้องได้รับการอนุรักษ์ไว้เพื่อพัฒนาความรู้ของเราเกี่ยวกับชีวิตในจักรวาลและดำเนินการสำรวจอวกาศต่อไปตลอดกาล
แดเนียล โกลดิน ผู้อำนวยการ NASA
วิทยาศาสตร์ชั้นสูงไม่ยอมให้ยุ่งยาก นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงสมมติฐานที่ “บ้าบอ” และไม่ชอบสื่อสารกับมือสมัครเล่น แต่ในบางครั้งผู้มีวิสัยทัศน์ก็ปรากฏตัวขึ้นซึ่งคับแคบในห้องปฏิบัติการและแผนกต่าง ๆ ที่ต้องการเข้าใจโลกอันกว้างใหญ่นี้โดยตรงเจาะลึกความลับและแบ่งปันการค้นพบของพวกเขา พวกเขาคือคนที่ช่วยให้เรารู้สึกถึงความเคลื่อนไหวของความก้าวหน้าและความงดงามของความรู้ Carl Sagan เป็นคนมีวิสัยทัศน์มาก
ท่ามกลางดวงดาว
คาร์ล เซแกน ผู้มีชื่อเสียงผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตและมีวิสัยทัศน์มีส่วนร่วมในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก
Carl Edward Sagan เกิดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 ในครอบครัวชาวยิวจากบรูคลิน รัฐนิวยอร์ก พ่อแม่ของนักวิทยาศาสตร์ในอนาคตไม่ใช่คนที่มีการศึกษามากนัก แต่พวกเขาสนับสนุนความอยากรู้อยากเห็นของเด็กชายอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ประสบการณ์ในวัยเด็กที่ชัดเจนที่สุดสำหรับคาร์ลคือการไปเยี่ยมชมงาน New York World's Fair ในปี 1939 ตลอดชีวิตของเขาเขาจำได้ด้วยความกังวลใจถึงสิ่งมหัศจรรย์ทางเทคนิคต่างๆและสถานที่ท่องเที่ยว Futurama ที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นแบบจำลองขนาดใหญ่ของเมืองแห่งอนาคต “โลกเต็มไปด้วยปาฏิหาริย์ที่ฉันไม่เคยสงสัยมาก่อน” เซแกนเขียนในภายหลังมาก
ในปี 1939 งานแสดงสินค้าโลกเปิดขึ้นที่นิวยอร์ก ซึ่งมหาอำนาจและบริษัทชั้นนำนำเสนอความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความกระหายความรู้ของเด็กชายทำให้เขาไปที่ห้องสมุดเมือง และหนังสือเล่มแรกที่เขาขอก็มีโบรชัวร์เกี่ยวกับพื้นฐานของดาราศาสตร์ เซแกนอยากรู้ว่าดาวฤกษ์คืออะไร และเขาก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าพวกมันมีขนาดเท่าดวงอาทิตย์ของเราหรือใหญ่กว่านั้นด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนเล็กเนื่องจากระยะห่างอันมหาศาลของพวกมัน ในขณะนั้น คาร์ลตระหนักเป็นครั้งแรกว่าจักรวาลใหญ่แค่ไหน และต่อมาก็พยายามถ่ายทอดการรับรู้นี้ให้ผู้อื่นทราบ
ในช่วงปีการศึกษาของเขา คาร์ลเริ่มสนใจนิยายวิทยาศาสตร์ ในตอนแรก ไอดอลของเขาคือ H.G. Wells และ Edgar Burroughs และต่อมาเขาได้ค้นพบนิตยสาร Astounding Science Fiction ซึ่งในขณะนั้นนำโดย John Campbell ผู้โด่งดัง Isaac Asimov, Alfred Van Vogt, Lester del Rey, Henry Kuttner, Hall Clement, Theodore Sturgeon, William Tenn และคลาสสิกอื่น ๆ ของประเภทนี้ได้รับการตีพิมพ์ที่นั่น การได้เห็นเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นผสมผสานกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ล้ำสมัยทำให้คาร์ลอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์มากยิ่งขึ้น
เมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เซแกนได้ไปเยี่ยมชมท้องฟ้าจำลองเฮย์เดนในแมนฮัตตัน การเดินทางครั้งนี้สร้างความประทับใจให้กับเขาอย่างมาก
ในปี 1948 ครอบครัวเซแกนย้ายไปอยู่ที่เมืองอุตสาหกรรมราห์เวย์ ใกล้นิวยอร์ก โรงเรียนที่นั่นเหลือสิ่งที่ปรารถนาอีกมาก ครูปฏิบัติตามหลักสูตรอย่างไร้เหตุผลโดยไม่พัฒนาความสามารถของนักเรียน จิตวิญญาณของนักสำรวจในเซแกนรุ่นเยาว์ได้รับการสนับสนุนจากนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้นซึ่งเปิดหน้าต่างจากชีวิตประจำวันที่เหม็นอับเข้าสู่โลกแห่งการผจญภัยในอวกาศ เมื่อถึงจุดหนึ่ง คาร์ลเริ่มสนใจวิชาเคมี เป็นหัวหน้าชมรมโรงเรียน และตั้งห้องปฏิบัติการที่บ้าน แต่ถึงกระนั้นดาราศาสตร์ก็มาเป็นอันดับแรกสำหรับเขาเสมอและด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจอุทิศชีวิตของเขา
ในปี 1951 เซแกนเข้าเรียนภาควิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งในขณะนั้นนำโดยเอนรีโก แฟร์มี ผู้เป็นตำนาน ทุกอย่างที่นี่แตกต่างจากที่โรงเรียน การสอนดำเนินการในระดับสูงสุด และในบรรดาอาจารย์ก็มีดาราจริงๆ ตัวอย่างเช่น หัวหน้างานด้านวิทยาศาสตร์ของวิทยานิพนธ์เรื่อง "การศึกษาฟิสิกส์ของดาวเคราะห์" ของเซแกนคือเจอรัลด์ ไคเปอร์ผู้โด่งดัง ผู้ค้นพบดวงจันทร์ของดาวยูเรนัสและดาวเนปจูน
ที่มหาวิทยาลัย คาร์ลทำงานร่วมกับนักเคมี ฮาโรลด์ อูเรย์ ในเอกสารเกี่ยวกับต้นกำเนิดของชีวิต หลายปีต่อมา จากผลงานที่คล้ายกันของเซแกนและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ สาขาวิชาใหม่ถือกำเนิดขึ้นที่จุดตัดระหว่างดาราศาสตร์และชีวเคมี - ชีวโหราศาสตร์
การศึกษาและการสื่อสารที่ยอดเยี่ยมด้วยจิตใจที่ดีที่สุดในยุคของเราไม่สามารถมีอิทธิพลต่อความสำเร็จของ Sagan ได้ เขาทำงานในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเช่นมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียและฮาร์วาร์ด แต่มีนักวิทยาศาสตร์หลายคน - ทำไม Carl Sagan ถึงจำได้?
ตอบสนองชาวอังคาร!
Carl Sagan หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Planetary Society (1980)
ความจริงก็คือเซแกนไม่ลังเลเลยที่จะใช้จินตนาการของเขาซึ่งพัฒนาโดยการอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ในงานของเขา เมื่อเริ่มต้นอาชีพของเขาเขาได้ตั้งสมมติฐานที่ "บ้า" หลายประการ ตัวอย่างเช่นตรงกันข้ามกับความเห็นทั่วไปในเวลานั้นเขาแนะนำว่าพื้นผิวของดาวศุกร์เนื่องจากปรากฏการณ์เรือนกระจกได้กลายมาเป็นทะเลทรายที่ร้อนระอุมานานแล้ว จากนั้นเขาก็ทำนายว่าไททัน ซึ่งเป็นดวงจันทร์ของดาวเสาร์มีทะเลมีเทน-อีเทน และยูโรปา ซึ่งเป็นดวงจันทร์ของดาวพฤหัสมีมหาสมุทรน้ำทั้งหมดซ่อนอยู่ใต้เปลือกน้ำแข็ง ทั้งหมดนี้ได้รับการยืนยันในปีต่อมาโดยอุปกรณ์การวิจัย
แต่จินตนาการของเซแกนทำให้เขาก้าวไปไกลยิ่งขึ้น เขาเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวตั้งแต่วัยเด็ก (เช่นเดียวกับชาวอเมริกันจำนวนมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา) และวิทยาศาสตร์ในช่วงทศวรรษ 1950 ได้ให้ความหวังว่าอย่างน้อยจะมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ไม่มีใครหวังว่าจะพบอารยธรรมที่ก้าวหน้าที่นั่น แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะค้นพบชีวมณฑล เซแกนจึงหลงใหลดาวเคราะห์สีแดง และในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ได้เข้าร่วมในโครงการมารีเนอร์ที่มุ่งศึกษาระบบสุริยะ เขารู้สึกผิดหวัง: เมื่อในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2508 ยานอวกาศ Mariner 4 ได้ส่งภาพถ่ายเทเลโฟโต้ชุดแรกของดาวอังคาร เห็นได้ชัดว่าไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลก
ภาพถ่ายทางโทรทัศน์ที่ได้รับจากยานอวกาศ Mariner 4 แสดงให้เห็นว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร
เซแกนก็เหมือนกับนักดาราศาสตร์คนอื่นๆ ที่ไม่ยอมรับผลภารกิจ Mariner 4 สามารถส่งสัญญาณได้เพียง 22 เฟรม ซึ่งคุณภาพยังเหลือความต้องการอีกมาก ต้องใช้ยานอวกาศอีกสามลำ (Mariner 6, Mariner 7 และ Mariner 9) เพื่อให้เข้าใจได้ชัดเจนแม้กระทั่งผู้สนับสนุนชีวิตบนดาวอังคารที่กระตือรือร้นที่สุด: ดาวเคราะห์สีแดงเป็นลูกบอลว่างเปล่าและเยือกแข็งและมีหลุมอุกกาบาต
และถึงอย่างนั้น เซแกนก็ไม่ยอมแพ้ เขากล่าวว่าในสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยของดาวอังคาร ชีวิตอาจเกิดขึ้นได้โดยใช้พื้นฐานทางเคมีที่แตกต่างกัน เพื่ออธิบายแนวคิดนี้ เขาเขียนเรียงความเรื่อง “Can Our Presence Be Detected?” (1972) ซึ่งเขา "สะท้อน" สถานการณ์อย่างมีไหวพริบ เขาอธิบายว่านักดาราศาสตร์ดาวอังคารไม่สามารถค้นพบสิ่งมีชีวิตบนโลกได้อย่างไร - เพราะเงื่อนไขที่นั่นไม่เหมือนกับบนดาวอังคาร!
Carl Sagan ถัดจากผู้ลงจอดในห้องปฏิบัติการของยานอวกาศ Viking ซึ่งออกแบบมาเพื่อตรวจจับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กบนดาวอังคาร (ภาพ: JPL)
ตอนนั้นเองที่เซแกนตัดสินใจว่าวิทยาศาสตร์สามารถและควรทำให้แพร่หลาย และเริ่มเขียนเพื่อผู้อ่านทั่วไป บทความและการบรรยายมากมายของเขาในเวลาต่อมาประกอบด้วยคอลเลกชันมากกว่าหนึ่งโหล ในหนังสือหลายเล่มของเขา เซแกนกล่าวถึงปัญหาชีวิตมนุษย์ต่างดาวและความฉลาดของมนุษย์ต่างดาว ทำให้ผู้อ่านติดเชื้อด้วยความมั่นใจว่าอวกาศจะต้องไม่ว่างเปล่าและตายไป ตามกฎแห่งธรรมชาติ อารยธรรมอื่นจะต้องปรากฏที่ไหนสักแห่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งพยายามติดต่อเช่นเดียวกับเรา คาร์ลตัดสินใจว่าเราจำเป็นต้องสร้างการติดต่อนี้ด้วยตัวเราเอง
ในปี 1971 ตามความคิดริเริ่มของ Sagan และเพื่อนร่วมงานชาวโซเวียตของเขา Nikolai Kardashev การประชุมระดับนานาชาติครั้งแรกเกี่ยวกับการสื่อสารกับข่าวกรองนอกโลกจัดขึ้นในอาร์เมเนีย ในการประชุม เซแกนวิพากษ์วิจารณ์ "ลัทธิชาตินิยมคาร์บอน" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ว่าชีวิตมนุษย์ต่างดาวจะต้องมีคาร์บอนเป็นหลักเท่านั้น เขาแย้งว่าชีวิตสามารถมีพื้นฐานทางเคมีที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงและก่อตัวได้แม้ภายใต้สภาวะที่สิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่เรารู้จักจะต้องตาย จากผลการประชุม ผู้เข้าร่วมประชุมไม่เพียงตัดสินใจค้นหาสัญญาณจากอวกาศต่อไป แต่ยังส่งข้อความด้วยตนเองอีกด้วย
หลังจากอ่านคอลเลกชั่น "Cosmic Communication" นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ไอแซค อาซิมอฟ เขียนถึงคาร์ล เซแกนว่า "ฉันรู้ว่าคุณฉลาดกว่าฉัน และมันทำให้โมโหมาก!”
Carl Sagan ใฝ่ฝันที่จะรับสัญญาณจากอารยธรรมอื่น
เซแกนรับงานนี้เป็นการส่วนตัว ในปี พ.ศ. 2517 กล้องโทรทรรศน์วิทยุอาเรซิโบที่ใหญ่ที่สุด (เปอร์โตริโก) ซึ่งตั้งอยู่ในปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว ได้ส่งสัญญาณอันทรงพลังไปยังกระจุกดาว M13 ในกลุ่มดาวเฮอร์คิวลีส ลักษณะของสัญญาณถูกเลือกในลักษณะที่หลังจาก 25,000 ปีเมื่อถึงเป้าหมายแล้ว เนื่องจากการกระเจิง จะครอบคลุมกระจุกดาวทั้งหมด 30,000 ดวง ข้อความซึ่งเซแกนรวบรวมกับแฟรงก์ เดรก (ผู้เขียนสมการที่คำนวณจำนวนอารยธรรมสมมุติในกาแล็กซี) มีข้อมูลเพียง 1,679 บิตเท่านั้น พวกเขามีข้อมูลที่จำเป็นที่สุดเกี่ยวกับเรา พื้นฐานทางชีวเคมีของเรา และระบบสุริยะ
แต่เซแกนเชื่อว่าเราไม่ควรจำกัดตัวเองให้ส่งสัญญาณเพียงอย่างเดียว เขาเสนอให้วางสิ่งประดิษฐ์และข้อความทางโลกไว้บนยานอวกาศที่ออกสู่ห้วงอวกาศ NASA ฟังเขา: อุปกรณ์สี่เครื่องในซีรีส์ Pioneer และ Voyager นำข้อความของเราขึ้นสู่อวกาศในช่วงกลางทศวรรษ 1970 เนื้อหาของพวกเขาถูกคิดค้นอีกครั้งโดย Carl Sagan เอง บนเรือ Pioneers แผ่นอะลูมิเนียมเคลือบทองอันโด่งดังเป็นรูปผู้ชาย ผู้หญิง และระบบสุริยะ (วาดโดยลินดา ภรรยาคนที่สองของคาร์ล เซแกน) ขึ้นสู่อวกาศ ข้อความยังระบุตำแหน่งของดวงอาทิตย์สัมพันธ์กับพัลซาร์ใกล้เคียง สถานะของอะตอมไฮโดรเจนสองสถานะ และวิถีโคจรของผู้บุกเบิกสัมพันธ์กับระบบสุริยะ
เซแกนรวบรวมเนื้อหาของสัญญาณแรกที่มีไว้สำหรับอารยธรรมนอกโลก
บนยานโวเอเจอร์ มีการส่งแผ่นเสียงและวิดีโอไปยังอวกาศ รวมถึงคำทักทายใน 55 ภาษา การเรียบเรียงดนตรีและเสียงของโลก ภาพถ่ายทิวทัศน์ของโลก สัตว์ และผู้คน นอกจากนี้ ยังรวมถึงคำปราศรัยจากเลขาธิการสหประชาชาติ เคิร์ต วัลด์ไฮม์ และประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม Ann Druyan ภรรยาคนที่สามในอนาคตของ Carl Sagan มีหน้าที่รับผิดชอบในการเลือกการบันทึก
คาร์ล เซแกนเป็นผู้เสนอให้ส่งข้อความไปยังอารยธรรมอื่นบนยานอวกาศ
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2533 ตามคำแนะนำของซาแกน NASA ได้ถ่ายภาพโลกจากระยะทาง 6 พันล้านกิโลเมตรโดยใช้ยานอวกาศ Voyager 1 มันถูกเรียกว่า Pale Blue Dot - "Pale Blue Dot" เซแกนชอบแสดงสิ่งนี้ในการบรรยายของเขา
“ลองดูจุดนี้อีกครั้ง” นักวิทยาศาสตร์กล่าว - มันอยู่ที่นี่ นี่คือบ้านของเรา นี่คือเรา ทุกคนที่คุณรัก ทุกคนที่คุณรู้จัก ทุกคนที่คุณเคยได้ยิน ทุกคนที่เคยมีชีวิตอยู่ใช้ชีวิตบนนั้น ความสุขและความทุกข์อันมากมายของเรา ศาสนาที่ถือตนเป็นพันๆ ลัทธิอุดมการณ์และหลักคำสอนทางเศรษฐกิจ นักล่าและผู้รวบรวมทุกคน วีรบุรุษและคนขี้ขลาดทุกคน ผู้สร้างและผู้ทำลายอารยธรรมทุก ๆ กษัตริย์และชาวนาทุก ๆ คู่ทุกคู่ที่รัก แม่ทุกคนและทุก ๆ คน พ่อ, เด็กที่มีความสามารถทุกคน, นักประดิษฐ์และนักเดินทาง, ครูสอนจริยธรรมทุกคน, นักการเมืองโกหกทุกคน, “ซุปเปอร์สตาร์” ทุกคน, “ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ทุกคน, นักบุญและคนบาปทุกคนในประวัติศาสตร์ของสายพันธุ์ของเราอาศัยอยู่ที่นี่ - บนจุดเล็กๆ ที่แขวนอยู่ในแสงตะวัน
โลกเป็นเวทีเล็ก ๆ ในเวทีจักรวาลอันกว้างใหญ่... ท่าทางของเรา ความสำคัญที่เราจินตนาการไว้ ภาพลวงตาของสถานะพิเศษของเราในจักรวาล - สิ่งเหล่านี้ล้วนยอมจำนนต่อแสงสีซีดนี้ โลกของเราเป็นเพียงฝุ่นผงที่โดดเดี่ยวในความมืดมิดของจักรวาลที่อยู่รายรอบ ในความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่นี้ ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครมาช่วยเราเพื่อช่วยเราจากความไม่รู้ของเรา”
ระเบิดดวงจันทร์
ในช่วงปลายทศวรรษ 1950 นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา คาร์ล เซแกน ได้มีส่วนร่วมในการเตรียมการระเบิดนิวเคลียร์บนดวงจันทร์
แน่นอนว่าคาร์ล เซแกนเป็นนักจักรวาลวิทยา นั่นคือในทุกสิ่ง แม้ในปรากฏการณ์ทางโลกที่สุด เขาพบความเชื่อมโยงโดยตรงกับกระบวนการที่เกิดขึ้นในจักรวาล และเขาได้มอบหมายสถานที่พิเศษให้เหตุผลในกระบวนการเหล่านี้ “จักรวาลเข้าใจตัวเองผ่านทางเรา” เซแกนกล่าว เขาเชื่อว่ามนุษยชาติจะพัฒนาเป็นสายพันธุ์ที่ชาญฉลาด และวันหนึ่งก็กลายเป็นปรากฏการณ์กาแล็กซี ซึ่งมีพลังเทียบเท่ากับเทพเจ้าในจินตนาการในสมัยโบราณ
แต่ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องกำจัดความก้าวร้าวตามธรรมชาติที่คุกคามการดำรงอยู่ของเรา ความคาดหมายของการทำลายตนเองของมนุษย์ ซึ่งดูเหมือนจะเกิดขึ้นจริงในช่วงที่สงครามเย็นถึงจุดสูงสุด ทำให้เซแกนหวาดกลัว เขาคุ้นเคยกับปัญหานี้โดยตรง มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ แต่ในวัยหนุ่มของเขา เซแกนได้ขัดขวางไม่ให้สหรัฐฯ... ระเบิดดวงจันทร์
ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2501 กองทัพสหรัฐฯ เชิญนักวิทยาศาสตร์ให้เตรียมโครงการระเบิดนิวเคลียร์บนดวงจันทร์ วัตถุประสงค์ของโครงการที่เรียกว่า A-119 คือการแสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าของสหรัฐอเมริกาเหนือสหภาพโซเวียต เนื่องจากการระเบิดจะมองเห็นได้ชัดเจนจากโลก นอกจากนี้ยังจะเผยให้เห็นบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับพื้นผิวดวงจันทร์ ซึ่งบางส่วนอาจถูกโยนออกไปในอวกาศ
ในการทำงานกับ A-119 นั้น ทีมนักวิทยาศาสตร์ 10 คนได้รวมตัวกันภายใต้การนำของ Leonard Reiffel หนึ่งในนั้นคือไคเปอร์ ซึ่งนำนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาเซแกนเข้ามาทำงาน เขาได้รับมอบหมายให้จำลองการขยายตัวของเมฆฝุ่นในอวกาศซิสลูนาร์หลังการระเบิด และประเมินการมองเห็นของมันจากโลก ทีมงานทำงานจนถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2502 หลังจากนั้นโครงการก็ปิดตัวลง และการคำนวณของเซแกนก็มีอิทธิพลต่อเรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาแสดงให้เห็นว่าการปนเปื้อนของรังสีจะทำให้ภารกิจไปยังดวงจันทร์ในอนาคตยุ่งยากขึ้น
แน่นอนว่าโครงการนี้ได้รับการจำแนกอย่างเข้มงวด เราคงไม่มีทางรู้เกี่ยวกับเขาเลยถ้าไม่ใช่เพราะการศึกษาของเคย์ เดวิดสันเรื่อง "Carl Sagan: A Life" (1999) ผู้เขียนชีวประวัติรู้สึกประหลาดใจที่พบว่าในใบสมัครของ Sagan เพื่อขอรับทุนอ้างอิงรายงาน "เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมที่เป็นไปได้ของการระเบิดของนิวเคลียร์ในการแก้ปัญหาทางดาราศาสตร์" และ "การปนเปื้อนทางรังสีของดวงจันทร์จากการระเบิดของนิวเคลียร์" อดีตผู้จัดการโครงการ Reiffel ถือโอกาสนี้บอกกับสาธารณชนเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้หลังจากที่เขาเสียชีวิต เซแกนก็ช่วยเปิดเผยความลึกลับอย่างหนึ่งของประวัติศาสตร์ อยู่ในจิตวิญญาณของเขา!
ในช่วงทศวรรษ 1980 เซแกนกลายเป็นผู้รักสงบที่กระตือรือร้นและต่อสู้อย่างเปิดเผยเพื่อการลดอาวุธนิวเคลียร์ เขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากมุมมองของมาร์กซิสต์ของแอน ดรูยัน เมื่อประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกนประกาศแผนสำหรับระบบป้องกันอวกาศที่เรียกว่า "สตาร์ วอร์ส" ในปี 1983 เซแกนก็ออกมาคัดค้านอย่างเปิดเผย เขาเข้าร่วมในการประท้วงที่สถานที่ทดสอบนิวเคลียร์เก่าในทะเลทรายเนวาดา เป็นผลให้เซแกนและผู้เข้าร่วมอีกหลายร้อยคนถูกจับกุม
Carl Sagan กลายเป็นบุคคลสำคัญในช่วงชีวิตของเขา
เพื่อโน้มน้าวความคิดเห็นของสาธารณชนต่อแนวคิดต่อต้านสงคราม เซแกนจึงจำลองผลลัพธ์ที่เป็นไปได้จากการใช้อาวุธปรมาณูจำนวนมหาศาล ผลลัพธ์ที่ได้คือผลงานเรื่อง “Cold and Darkness: The World After Nuclear War” (1984) และ “The Path No One Thought About: Nuclear Winter and the End of the Arms Race” (1990) เซแกนและเพื่อนร่วมงานของเขาแย้งว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามนิวเคลียร์จะทำลายชีวิตบนโลก แนวคิดนี้ต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "ฤดูหนาวนิวเคลียร์" ทฤษฎีนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่แม้แต่ผู้ที่ถือว่าฤดูหนาวนิวเคลียร์เป็นเพียงตำนานก็ยังยอมรับว่า มันเป็นตำนานที่สามารถช่วยมนุษยชาติได้
หนุ่มน้อยตัวเขียว
ในทศวรรษ 1950 สหรัฐอเมริกาถูกครอบงำโดย "การติดจาน" อย่างแท้จริง
เมื่อได้พบกับนักดาราศาสตร์และนัก ufologist ชาวฝรั่งเศส Jacques Vallier ซึ่งทำงานให้กับ NASA เซแกนจึงตัดสินใจศึกษาปรากฏการณ์ของ "จานบิน" จากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ ในปี 1966 เขาดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการที่นำโดยนักฟิสิกส์ เอ็ดเวิร์ด คอนดอน ซึ่งทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลยูเอฟโอ หลังจากทำงานมาสองปี คณะกรรมการของคอนดอนสรุปว่า แม้ว่าแต่ละกรณีจะอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ยาก แต่ก็ไม่มีหลักฐานร้ายแรงของการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาว
หลังจากนี้เซแกนยังคงเขียนเกี่ยวกับ "จานบิน" และอุทิศทั้งตอนของซีรีส์ทางทีวีเรื่อง "Cosmos" ให้กับปัญหาของยูเอฟโอ จริงอยู่ เขาเตือนผู้อ่านเสมออย่าให้สรุปอย่างเร่งรีบ และร่วมกับหนังสือที่มีการ์ตูนที่เยาะเย้ยภาพแบบเหมารวมของ “ชายตัวเขียว”
การเดินทางในอวกาศของนักวิทยาศาสตร์
ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 อำนาจของคาร์ล เซแกนในฐานะบุคคลที่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์และความลึกลับของจักรวาลได้เติบโตขึ้นมากจนถูกขอให้เขาทำ ผลลัพธ์คือการแสดงสิบสามตอน "Cosmos: A Personal Voyage" ซึ่งแสดงตั้งแต่วันที่ 28 กันยายนถึง 21 ธันวาคม พ.ศ. 2523
สกรีนเซฟเวอร์ซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง “Space: A Personal Journey”
ในโครงการนี้เซแกนไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นผู้ร่วมเขียนบทเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำเสนออีกด้วยและดูดีในบทบาทนี้ คุณลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของซีรีส์นี้เป็นเอฟเฟกต์พิเศษดั้งเดิม: นักวิทยาศาสตร์บรรยายขณะนั่งอยู่ภายใน "เรือแห่งจินตนาการ" ซึ่งชวนให้นึกถึงห้องควบคุมของยานอวกาศในอนาคต ราวกับว่าตัวเขาเองเดินทางผ่านอวกาศและเวลากลายเป็นพยานถึงเหตุการณ์และกระบวนการที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่บิ๊กแบงไปจนถึงการปรากฏตัวของมนุษย์และการเปิดตัวยานอวกาศระหว่างดาวเคราะห์ดวงแรก โปรแกรมค้นหาอารยธรรมนอกโลก - SETI (ค้นหาข่าวกรองนอกโลก) ก็ไม่ได้ถูกมองข้ามเช่นกัน แต่ประเด็นหลักคือจักรวาลนั่นเอง ขนาดอันน่าทึ่งของมันและความลึกลับของการปรากฏของมัน
Sagan Studio ในซีรีส์
งบประมาณสำหรับซีรีส์นี้อยู่ที่ 6.3 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ให้ผลตอบแทนที่ดี “Cosmos: A Personal Journey” แตกต่างอย่างมากจากซีรีส์สารคดีในยุคนั้นซึ่งดึงดูดความสนใจของสาธารณชนเป็นอย่างมาก มีผู้ชมกว่า 500 ล้านคนใน 60 ประเทศ กลายเป็นตัวอย่างให้กับหลักสูตรวิทยาศาสตร์ยอดนิยมอื่นๆ อีกมากมาย ซีรีส์นี้ได้รับรางวัล Peabody Award และรางวัล Emmy สองรางวัล
ในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง Cosmos: A Personal Voyage คาร์ล เซแกนรับหน้าที่เป็นผู้เขียนร่วมและเป็นพิธีกรทั้งหมด 13 ตอน
ในปี 1986 ซีรีส์เวอร์ชันพิเศษมีหกตอน แม้ว่าเรื่องราวของเซแกนจะสั้นลง แต่เนื้อหาก็ได้รับการขยายด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และคอมพิวเตอร์กราฟิกใหม่ๆ ในปี 1989 เจ้าพ่อสื่อ Ted Turner ได้รับสิทธิ์ใน A Personal Journey หลังจากนั้นซีรีส์นี้ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม: ตอนดั้งเดิมถูกย่อให้สั้นลงและมีบทส่งท้าย โดยที่ Sagan พูดถึงการค้นพบใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ยังมีการถ่ายทำตอนที่สิบสี่ซึ่งประกอบด้วยบทสัมภาษณ์ของเซแกนที่ดำเนินการโดยเทิร์นเนอร์
ในปี 2014 ฟ็อกซ์ได้ประกาศการถ่ายทำภาคต่อชื่อ "Cosmos: Space and Time" ผู้เขียนบทคือดรูยันคนเดียวกันและผู้นำเสนอคือนีล เดอกราสส์ ไทสัน นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ผู้มีเสน่ห์ ซีรีส์นี้เริ่มเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2014 และได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากสาธารณชน
แอนน์ ดรูยัน ภรรยาม่ายของคาร์ล และนีล เดกราสส์ ไทสัน พัฒนาแนวคิดของเซแกนในซีรีส์โทรทัศน์เรื่อง "Cosmos: Space and Time"
สตูดิโอพรีเซนเตอร์ใน "คอสมอส" ใหม่
แต่เซแกนยังคงอยู่ในประวัติศาสตร์ไม่เพียงเพราะวิทยาศาสตร์เท่านั้น เขายังมีส่วนร่วมในนิยายวิทยาศาสตร์ที่เขาชื่นชอบอีกด้วย ในปี 1979 ร่วมกับแอน ดรูยัน เขาเขียนบทภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับงานของผู้ค้นหาข่าวกรองนอกโลก ในขณะนั้นซีรีส์ Cosmos ยังไม่ได้ออกฉายดังนั้นโปรเจ็กต์จึงไม่ได้รับความสนใจจากใครเลย
จากนั้นเซแกนก็นำบทนี้มาเขียนใหม่เป็นนวนิยาย หนึ่งปีต่อมาท่ามกลางความนิยมของ Cosmos สำนักพิมพ์ Simon & Schuster ได้ซื้อสิทธิ์ในหนังสือที่ยังสร้างไม่เสร็จในราคาสองล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นความก้าวหน้าอย่างไม่น่าเชื่อในเวลานั้น และมันก็ถูกต้อง นวนิยายเรื่อง Contact กลายเป็นหนังสือขายดี: ขายได้มากกว่า 1.7 ล้านเล่มในสองปีแรก หนังสือเล่มนี้ได้รับรางวัล Locus และ John Campbell Award สำหรับการเปิดตัวยอดเยี่ยมแห่งปี
เคล็ดลับแห่งความสำเร็จคือความสามารถของเซแกนในการผสมผสานวิทยาศาสตร์เข้ากับปรัชญาและศาสนา ตัวละครหลักคือนักดาราศาสตร์วิทยุ Ellie Arroway ใฝ่ฝันที่จะสร้างการติดต่อกับอารยธรรมของมนุษย์ต่างดาว วันหนึ่ง อุปกรณ์หอดูดาวของเธอได้รับสัญญาณจากเวก้า ข้อความถูกถอดรหัสและปรากฎว่านี่คือคำอธิบายของเครื่องบางเครื่อง แม้จะเกรงกลัวนักการเมือง แต่รถก็ยังคงถูกสร้างขึ้น กลายเป็นเครื่องเคลื่อนย้ายมวลสารที่ใช้อุโมงค์ย่อยเพื่อการเดินทางทันที
Jodie Foster รับบทเป็น Ellie Arroway ในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจาก Contact
ในการเทเลพอร์ตครั้งหนึ่ง คณะสำรวจจะออกเดินทางในอวกาศ รวมถึงเอลลีด้วย นักวิทยาศาสตร์พบว่าตัวเองอยู่ที่ "สถานีกาแล็กซี" ซึ่งได้รับแจ้งว่ามีชุมชนมนุษย์ต่างดาวที่กำลังแก้ไขปัญหา "การตายด้วยความร้อน" ของจักรวาล โดยใช้โครงสร้างวิศวกรรมทางดาราศาสตร์สำหรับเรื่องนี้ นอกจากนี้ นักเดินทางยังได้เรียนรู้ว่า "อุโมงค์" และ "สถานี" ถูกสร้างขึ้นโดยอารยธรรมที่เก่าแก่และทรงพลังยิ่งกว่านั้น และข้อความดิจิทัลจากอุโมงค์นั้นมีอยู่ในหมายเลข "pi" ปรากฎว่าจักรวาลนั้นเป็นรูปแบบเทียมที่สร้างขึ้นโดย supermind
ตอนจบของนวนิยายเรื่องนี้อธิบายถึงทัศนคติของเซแกนต่อความคิดของพระเจ้า ชาร์ลส์พร้อมที่จะยอมรับการมีอยู่ของมันหากมีการนำเสนอหลักฐานที่หักล้างไม่ได้ และเขาประณามผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่ปฏิเสธพระเจ้าโดยอาศัยข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลเท่านั้น ในเวลาเดียวกันผู้ทรงอำนาจตามคำกล่าวของเซแกนไม่สามารถเป็นชายชราที่หล่อเหลาบนก้อนเมฆได้ หากมีอยู่ความคิดที่ไร้เดียงสาของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ควรจะแตกต่างจากความเป็นจริงมาก
ในที่สุดภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องนี้ก็ได้รับการปล่อยตัวในปี 1997 - กำกับโดย Robert Zemeckis ผู้กำกับไตรภาค Back to the Future เซแกนไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อดูรอบปฐมทัศน์: เขาเสียชีวิตในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2539 หลังจากการต่อสู้กับโรคมะเร็งเป็นเวลาสองปี ภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัล Hugo อุทิศให้กับความทรงจำของเขา
* * *
เขาค้นหาสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารและทำนายมหาสมุทรบนยุโรป เขาหยุดยั้งไม่ให้สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดดวงจันทร์ และทำให้โลกหวาดกลัวด้วยแนวคิดเรื่องฤดูหนาวนิวเคลียร์ เขาติดเชื้อคนหลายพันคนด้วยความรักในความรู้และเขียนบทภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์มากที่สุด ชีวประวัติของ Carl Sagan เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมในการติดตาม หากต้องการเข้าใจโลกอย่างลึกซึ้ง คุณต้องเพลิดเพลินกับความงามของโลก หากต้องการค้นพบสิ่งใหม่ๆ คุณต้องปลดปล่อยจินตนาการของคุณ การจะใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่คุณต้องเห็นคุณค่าของชีวิต นี่คือสิ่งที่คาร์ล เซแกนทำ และพระองค์ทรงยกมรดกนี้ให้กับเราทุกคน
หนังสือของนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียงและผู้เผยแพร่วิทยาศาสตร์ K. Sagan พูดถึงวิวัฒนาการของจักรวาล การก่อตัวของกาแลคซี และกำเนิดของชีวิตและสติปัญญา ผู้เขียนติดตามเส้นทางสู่ความรู้เกี่ยวกับจักรวาล - จากความเข้าใจของนักคิดโบราณผ่านการค้นพบเคปเลอร์ นิวตัน และไอน์สไตน์ ไปจนถึงภารกิจอวกาศสมัยใหม่
คาร์ล ซาแกน
ช่องว่าง
วิวัฒนาการของจักรวาล ชีวิต และอารยธรรม
[เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก]
แอมโฟรา 2548
UDC 53 (023) BBK 22 (7Soe) S 14
เรื่องราวของวิวัฒนาการจักรวาล วิทยาศาสตร์ และอารยธรรม
แปลจากภาษาอังกฤษโดย A. G. Sergeev
ทางสำนักพิมพ์ขอแสดงความขอบคุณ
คาร์ล เซแกน โปรดักชั่น อิงค์ สำหรับการให้สิทธิในการตีพิมพ์หนังสือ
การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาและสิทธิของกลุ่มสำนักพิมพ์ "Amphora" ดำเนินการโดยสำนักงานกฎหมาย "Uskov and Partners"
ภาพประกอบที่นำมาจากสิ่งพิมพ์: Sagan S. Cosmos นิวยอร์ก - อเวเนล
นิวเจอร์ซีย์: Wings Books, 1995
ความเห็นเกี่ยวกับภาพประกอบของสิ่งพิมพ์นี้
Sagan, K. S 14 Cosmos: วิวัฒนาการของจักรวาล ชีวิต และอารยธรรม / Carl Sagan; [แปล. จากภาษาอังกฤษ อ. เซอร์เกวา] – เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก: โถ. TID โถ, 2548. - 525 น. - (ซีรีส์ “นิวยูเรก้า”).
ISBN 5-94278-522-8 (รัสเซีย) ISBN 0-349-10703-3 (ภาษาอังกฤษ, ข้อความ) ISBN 0-517-12355-H (ภาษาอังกฤษ, ภาพประกอบ)
UDC 53 (023) BBK22(7Soe)
ISBN S-94278-522-8 (รัสเซีย) ISBN 0-349-10703-3 (ภาษาอังกฤษ ข้อความ) ISBN 0-517-12355-X (ภาษาอังกฤษ ป่วย)
© 2002 โดย The Estate of Carl Sagan ©ฉบับภาษารัสเซีย
การแปลการออกแบบ
CJSC TID "โถ", 2547
จากนักแปล
บนดาวอังคาร ณ จุดพิกัด 19°20"N, 33°33"W. ง. มียานพาหนะขับเคลื่อนในตัวขนาดเล็กปูด้วยทราย และไม่ไกลจากที่นั่นจะมีอนุสาวรีย์ของชายที่คุณถือหนังสืออยู่ในมือ นี่คือสถานีอนุสรณ์คาร์ล เซแกน ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2540 เธอได้ส่งมอบรถแลนด์โรเวอร์ Pathfinder ที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเองที่นี่ จากนั้นจึงส่งภาพจากกล้องวิดีโอไปยังโลกเป็นเวลาเกือบสามเดือน ในความเป็นจริง การเดินทางของ Pathfinder ข้ามพื้นผิวดาวเคราะห์สีแดงนั้นเรียบง่ายกว่าแผนที่ Sagan มีอยู่ในใจมาก แต่เขาเดาได้อย่างถูกต้องถึงระดับความสนใจของสาธารณชนในภารกิจนี้ ฤดูร้อนปีนั้น รายงานจากดาวอังคารปรากฏอยู่ในข่าวโทรทัศน์ภาคค่ำ แต่เซแกนเองก็ไม่ได้มีชีวิตอยู่จนเห็นความคิดนี้เป็นจริง
อนุสาวรีย์บนดาวอังคารยังห่างไกลจากข้อเท็จจริงที่น่าทึ่งเพียงอย่างเดียวที่เกี่ยวข้องกับชื่อของชายที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้เผยแพร่วิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในศตวรรษที่ 20 ได้อย่างปลอดภัย เซแกนผสมผสานความสมจริงที่เข้มงวดของนักวิทยาศาสตร์เข้ากับความเข้มข้นของอารมณ์โรแมนติกที่ไม่อาจระงับได้อย่างลงตัว การต่อสู้อย่างไม่อาจประนีประนอมของเขากับวิทยาศาสตร์เทียมและความเชื่อทางไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์และลัทธิคัมภีร์ ส่งผลให้เกิดการตำหนิจากฝ่ายตรงข้าม โดยไม่มีเหตุผลที่แน่นอน ว่าเขากำลังเปลี่ยนวิทยาศาสตร์ให้กลายเป็นวัตถุบูชาทางศาสนา ในเวลาเดียวกันกิจกรรมการเผยแพร่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและความปรารถนาที่จะพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนที่สุดในภาษาที่เข้าถึงได้ดึงดูดคำตำหนิจากเพื่อนร่วมงานอนุรักษ์นิยมที่เชื่อว่าไม่เหมาะสมที่นักวิทยาศาสตร์ตัวจริงจะพูดด้วยอารมณ์ในการพูดคุยตอนกลางคืน แสดงให้เห็นและโดยทั่วไปแล้ว เป็นการดีกว่าที่จะอยู่ห่างจากความสนใจของสาธารณชนที่ “ไม่ได้ฝึกหัด” ด้วยเหตุนี้ เซแกนจึงถูกโหวตออกจากการเลือกตั้งของ National Academy of Sciences เป็นที่น่าแปลกใจที่ในเวลาต่อมา Academy เดียวกันได้มอบรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดแก่เขาซึ่งเป็นเหรียญสำหรับความสำเร็จที่โดดเด่นในการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์เพื่อประโยชน์ของสังคม แต่อย่าก้าวไปข้างหน้าตัวเราเอง
Carl Edward Sagan เกิดที่นิวยอร์กเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2477 เมื่อตอนเป็นเด็ก เขาอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ คำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของชีวิตและสติปัญญานอกโลกทำให้จินตนาการของเขาตื่นเต้น เมื่ออายุ 12 ปี เขาได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นนักดาราศาสตร์และก้าวไปสู่เป้าหมายอย่างรวดเร็ว ในปีพ.ศ. 2494 เมื่ออายุ 16 ปี เขาเข้ามหาวิทยาลัยชิคาโก เมื่ออายุ 19 ปี เขาได้รับปริญญาตรี และเมื่ออายุ 25 ปี เขาก็กลายเป็นแพทย์สาขาดาราศาสตร์และฟิสิกส์ดาราศาสตร์ เซแกนไม่ลืมเรื่องชีววิทยาเมื่อออกเดินทางเพื่อค้นหาชีวิตนอกโลก ในช่วงที่เป็นนักศึกษา เขาทำงานเป็นผู้ช่วยห้องปฏิบัติการของ G. Möller นักพันธุศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ความคิดของเขาเกี่ยวกับวิวัฒนาการทางชีววิทยาเกิดขึ้นที่นี่ ระดับวิทยาศาสตร์ของเซแกนในสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากสารานุกรมบริแทนนิกาให้เขียนบทความเรื่อง "ชีวิต"
ในทศวรรษ 1960 เซแกนทำงานที่หอดูดาวฟิสิกส์ดาราศาสตร์ยอร์กและสมิธโซเนียน และสอนดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ตั้งแต่ปี 1968 เขาได้เป็นศาสตราจารย์ด้านดาราศาสตร์และการวิจัยอวกาศที่ Cornell University ที่นี่เขาสร้างห้องทดลองสำหรับศึกษาดาวเคราะห์ซึ่งเขาทำงานไปจนวาระสุดท้ายของชีวิต
เซแกนย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเขาโชคดีที่ได้อยู่ในยุคที่มนุษยชาติเริ่มสำรวจอวกาศ ตั้งแต่เริ่มต้นโครงการอวกาศของอเมริกา เขามีส่วนร่วมในโครงการของ NASA เพื่อสำรวจดาวเคราะห์ในระบบสุริยะด้วยความหวังว่าจะค้นพบร่องรอยของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์เหล่านั้น ด้วยการมีส่วนร่วมโดยตรงของเขา ความลึกลับของอุณหภูมิสูงบนดาวศุกร์ได้รับการแก้ไข เข้าใจสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลบนพื้นผิวดาวอังคาร และอธิบายสีของบรรยากาศของไททัน ทั้งหมดนี้อธิบายไว้ในหนังสือ "จักรวาล"
การค้นหาความฉลาดจากนอกโลกนั้นเต็มไปด้วยความโรแมนติกมาโดยตลอด แต่เซแกนไม่ได้สนใจเส้นทางง่ายๆ ของการตามใจตัวเองอย่างที่นัก ufologist ใช้ เขาเข้าใกล้คำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ดวงอื่นว่าเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่งน่าสนใจซับซ้อน แต่ทางวิทยาศาสตร์อย่างเคร่งครัด เขาทุ่มเทความพยายามมหาศาลในโครงการ SETI ซึ่งเป็นโครงการทางวิทยาศาสตร์โครงการแรกในการค้นหาสัญญาณวิทยุจากอารยธรรมนอกโลก และแม้แต่เซแกนยังพิจารณาเกณฑ์ที่ว่าอารยธรรมได้มาถึงการพัฒนาทางเทคโนโลยีในระดับสูงไม่ใช่การสำรวจอวกาศหรือการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ แต่เป็นการค้นพบดาราศาสตร์วิทยุ
หนังสือวิทยาศาสตร์ยอดนิยมเล่มแรกๆ ของคาร์ล เซแกนมีชื่อว่า ชีวิตอัจฉริยะในจักรวาล มันถูกเขียนขึ้นในปี 1966 โดยความร่วมมือกับผู้ก่อตั้งโรงเรียนโซเวียตด้านดาราศาสตร์ฟิสิกส์ดวงดาวและผู้สนับสนุนโปรแกรม SETI อย่างกระตือรือร้น I. S. Shklovsky ซึ่งหนังสือ "The Universe, Life, Mind" ได้รับการตีพิมพ์เป็นภาษารัสเซียเมื่อหลายปีก่อน สิ่งที่น่าสนใจคือในที่สุด Shklovsky ก็ไม่แยแสกับความเชื่อโรแมนติกในช่วงแรกของเขา และในปี 1976 ได้ตีพิมพ์บทความในวารสาร "Problems of Philosophy" ภายใต้ชื่อในแง่ร้าย "เกี่ยวกับเอกลักษณ์ที่เป็นไปได้ของชีวิตที่ชาญฉลาดในจักรวาล" ในทางตรงกันข้าม เซแกน จนกระทั่งวันสุดท้ายของเขาหวังว่าสัญญาณจากนอกโลกจะถูกค้นพบ ในปี 1985 เขาเขียนนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง Contact ซึ่งถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อเดียวกันในปี 1994 ที่วอร์เนอร์ บราเธอร์ส Planetary Society ก่อตั้งโดย Sagan ในปี 1980 และขณะนี้ หลังจากที่ NASA ปิดโครงการ SETI อย่างเป็นทางการแล้ว ยังคงสนับสนุนโครงการขนาดใหญ่ที่ใครๆ ก็สามารถมีส่วนร่วมได้ เมื่อเวลาผ่านไป กิจกรรมการทำให้แพร่หลายก็กินพื้นที่ใน Sagan มากขึ้นเรื่อยๆ ชีวิต หนังสือใหม่ของเขาได้รับการตีพิมพ์เกือบทุกปี นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องราวเกี่ยวกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่นำเสนอในภาษาที่เข้าถึงได้ซึ่งมีการเขียนไว้มากมาย ผลงานของเขาเป็นวรรณกรรมในความหมายที่สมบูรณ์ เซแกนได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ในปี 1978 จากหนังสือของเขาเรื่อง Dragons of Eden: Reflections on the Evolution of the Human Mind ความสามารถทางวรรณกรรมของเซแกนไม่ด้อยไปกว่าความสามารถทางศิลปะและการปราศรัยของเขาเลย สิ่งนี้เห็นได้จากรางวัลแกรมมี่สำหรับเทปเสียงที่เขาอ่านหนังสือ "Pale Blue Dot" ซึ่งอุทิศให้กับอนาคตแห่งจักรวาลของมนุษยชาติ