คำอุปมาอินเดียเกี่ยวกับช้างกับคนตาบอด ช้างถูกมัดด้วยเชือก
เกี่ยวกับช้างและปราชญ์ตาบอด
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เคยมีชายตาบอดหกคนอาศัยอยู่ วันหนึ่งพวกเขาได้ยินว่า “เฮ้ มีช้างมาหาเรา!” คนตาบอดไม่รู้ว่าช้างคืออะไรหรือมีหน้าตาเป็นอย่างไร พวกเขาตัดสินใจว่า “ในเมื่อเรามองไม่เห็นมัน เราก็จะไปและอย่างน้อยก็สัมผัสมัน”
“ฉันรู้” ปราชญ์คนหนึ่งพูด “เราจะรู้สึกได้”
“เป็นความคิดที่ดี” คนอื่นๆ เห็นด้วย - เราจะได้รู้ว่าเขาเป็นช้างแบบไหน
นักปราชญ์ทั้งหกจึงไป “ดู” ช้าง
คนแรกรู้สึกว่าหูแบนขนาดใหญ่ มันเคลื่อนตัวกลับไปกลับมาช้าๆ
- นี่แฟน! ช้างดูเหมือนพัด! - เขาอุทาน
ปราชญ์คนที่สองยืนอยู่ใกล้ขาช้างแล้วแตะมัน เธอเป็นคนกลมและทรงพลัง
- อืม... มีลักษณะกลมและหนา... ช้างดูเหมือนต้นไม้! - เขาอุทาน
- คุณผิดทั้งคู่ - พูดที่สาม – ใช่ มันกลม แต่ไม่หนาและยืดหยุ่นมากด้วย! ดูเหมือนเชือก! ปราชญ์ท่านนี้คลำหางช้างได้
- ไม่! ช้างดูเหมือนหอก! ใช่ - กลม ใช่ - บาง แต่ไม่ยืดหยุ่น! - อุทานครั้งที่สี่ซึ่งกำลังคลำงาช้าง
“เปล่า ไม่” ช้างตัวที่ห้าตะโกน “ช้างก็เหมือนกำแพงสูง” ใหญ่ กว้าง และหยาบ - เขาพูดแล้วสัมผัสข้างช้าง
ปราชญ์องค์ที่ 6 ทรงถืองวงช้างไว้ในพระหัตถ์
“คุณคิดผิดแล้ว” เขากล่าว “ช้างดูเหมือนงู”
- ไม่ อยู่บนเชือก!
- ไม่ งู!
- กำแพง!
- คุณคิดผิด!
- ฉันพูดถูก!
ปราชญ์ตาบอดทั้งหกตะโกนใส่กันอย่างควบคุมไม่ได้ การโต้เถียงของพวกเขาดำเนินไปตลอดทั้งวัน จากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ แต่ก็ยังไม่ได้ตกลงกัน ปราชญ์แต่ละคนจินตนาการถึงสิ่งที่มือของเขาสัมผัสได้และเขาเชื่อในตัวเองเท่านั้น
เป็นผลให้ทุกคนคิดว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่พูดถูกและรู้ว่าช้างมีหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่มีใครอยากฟังสิ่งที่คนอื่นบอกเขา
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาไม่เคยรู้ว่าช้างมีหน้าตาเป็นอย่างไร
* * *
กวีชาวอังกฤษ จอห์น แซ็กซ์ นำเสนอคำอุปมาในรูปแบบบทกวี ซึ่งส่งผลให้สัญลักษณ์เปรียบเทียบนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ ในภาษารัสเซีย ข้อพิพาทดังกล่าวได้รับความนิยมภายใต้ชื่อ "ข้อพิพาททางวิทยาศาสตร์" แปลโดย Samuel Marshak
คนตาบอดมีห้าคน
พวกเขามาที่บอมเบย์เพื่อศึกษา
ช้างอินเดีย.
ตรวจดูข้างช้างแล้ว
มีคนบอกว่าช้างตัวสูง
และแข็งแกร่งเหมือนกำแพง
อีกอันอยู่บนงวงช้าง
เขาผ่านมือของเขา
และเขาบอกว่าช้างเป็นหนึ่งเดียว
จากงูที่ปลอดภัย
ฉันรู้สึกถึงเขี้ยวสองอันที่สาม
และเขากล่าวว่า:
- สำหรับดาบปลายปืนที่แหลมสองอัน
ดูเหมือนช้างอินเดีย!
ชายตาบอดคนที่สี่เกา
เข่าช้าง
พบว่าช้างมีความหยาบ
เหมือนต้นสนแก่ๆ
และครั้งที่ห้าเข้าใกล้ช้าง
จากด้านท้าย
กำหนดว่าช้างจะยาว
ไม่มีอะไรมากไปกว่าหนอน
การวิวาทเกิดขึ้นในหมู่คนตาบอด
และพวกเขาก็กินเวลาตลอดทั้งปี
แล้วคนตาบอดในที่สุด
พวกเขาลงมือปฏิบัติ
และเนื่องจากคนที่ห้าแข็งแกร่ง -
เขาปิดปากทุกคน
และต่อจากนี้ไปช้างจะประกอบด้วย
จากหางข้างหนึ่ง!
* * *
มีอุปมาเรื่องขำขันอีกเวอร์ชันหนึ่ง:
วันหนึ่งช้างตาบอดหกเชือกมารวมตัวกันเพื่อหวังว่าจะได้รู้คำตอบด้วยกัน
ความพยายาม คนคืออะไร
ช้างตัวหนึ่งเอาเท้าแตะชายคนนั้นแล้วพูดว่า: “คนตัวเล็กและแบน”
คนอื่นๆ ก็แตะเท้าชายคนนั้นด้วยและเห็นด้วยกับเท้าแรกอย่างเป็นเอกฉันท์
คำอุปมานี้มีหลายฉบับซึ่งข้าพเจ้าไม่รู้จักผู้แต่ง มักมีการสอนในการฝึกอบรมและใช้ในการฝึกสอน เรื่องราวนี้ช่วยให้คุณมองข้ามความเชื่อของคุณและ "คลานออกมา" หลุมที่ผู้คนมักจะขับรถเข้าไปเอง วันนี้ผมแปลมาจากฉบับภาษาอังกฤษที่ผมชอบมากกว่าครับ...
ช้างถูกล่ามโซ่
เมื่อตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันชอบละครสัตว์มาก และในบรรดาสัตว์ทุกชนิด ฉันก็หลงใหลช้างมากที่สุด ต่อมาฉันพบว่านี่คือสัตว์ตัวโปรดของเด็กๆ ทุกคน ในระหว่างการแสดงก็แสดงให้เห็นถึงมวล ขนาด และความแข็งแกร่งอันมหาศาล... แต่หลังจากการแสดงจนกลับขึ้นเวที ช้างก็ยืนผูกหมุดเล็กๆ โซ่จับขาของเขาไว้ อย่างไรก็ตาม หมุดนั้นมีขนาดเล็กและแทบจะปักลงพื้นไม่ได้ แม้ว่าโซ่จะใหญ่และแข็งแรง แต่สำหรับฉันดูเหมือนชัดเจนว่าสัตว์ที่สามารถถอนต้นไม้ออกจากพื้นดินได้สามารถหลุดพ้นและหนีไปได้อย่างง่ายดาย มันไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับฉัน อะไรรั้งเขาไว้? ทำไมเขาไม่หนีไปล่ะ?
ตอนที่ฉันอายุ 5 หรือ 6 ขวบ ฉันยังคงเชื่อในภูมิปัญญาของผู้ใหญ่ ฉันถามคำถามเหล่านี้กับครู พ่อ และลุงของฉัน หนึ่งในนั้นอธิบายให้ผมฟังว่าช้างถูกเลี้ยงให้เชื่องแล้ว และฉันก็ถามคำถามที่ชัดเจน: "ถ้าเขาเชื่อง ทำไมเขาถึงถูกล่ามโซ่?" ฉันจำไม่ได้ว่าได้รับคำตอบที่ทำให้ฉันพอใจ ฉันก็ลืมปริศนาช้างถูกล่ามโซ่ไปและจำได้ก็ต่อเมื่อมีบทสนทนาเกิดขึ้นในบริษัทแห่งหนึ่งในหัวข้อเดียวกันเท่านั้น
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันค้นพบว่ามีคนฉลาดพอที่จะค้นหาคำตอบ ช้างในละครสัตว์ไม่ได้วิ่งหนีเพราะคุ้นเคยกับหมุดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
ฉันหลับตาลงและจินตนาการถึงลูกช้างที่ไม่มีทางป้องกันถูกผูกติดกับหมุด ฉันแน่ใจว่าเขาผลักและดึงโซ่ให้แรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามจะหลุดออกมา แต่ถึงแม้เขาจะพยายามทั้งหมด เขาก็ล้มเหลวเพราะหลักหมุดนั้นแรงเกินไป ฉันจินตนาการว่าเขาเผลอหลับไป เมื่อกำลังหมดแรง และวันรุ่งขึ้นก็พยายามหลบหนีอีกครั้ง และวันรุ่งขึ้นหลังจากนั้น...
จนกระทั่งวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันที่เลวร้ายตลอดชีวิตข้างหน้า สัตว์ตัวนี้ยอมรับความอ่อนแอของมันในฐานะผู้มอบให้และยอมจำนนต่อโชคชะตา ช้างตัวใหญ่และทรงพลังตัวนี้ที่เราเห็นในละครสัตว์ไม่วิ่งหนีเพราะสัตว์ที่น่าสงสารคิดว่ามันวิ่งหนีไม่ได้ ความทรงจำเกี่ยวกับความอ่อนแอที่เขารู้สึกได้ไม่นานหลังเกิดยังคงอยู่ในใจเขาตลอดไป และส่วนที่แย่ที่สุดคือเขาไม่เคยตั้งคำถามกับความทรงจำเหล่านั้นเลย เขาไม่เคยลองทดสอบความแข็งแกร่งของเขาอีกเลย...
นั่นเป็นวิธีที่มันเกิดขึ้น เราทุกคนก็เหมือนกับช้างละครสัตว์ตัวนี้ไม่มากก็น้อย เราเดินทางรอบโลกโดยล่ามโซ่ไว้กับหมุดหลายร้อยตัวที่พรากอิสรภาพของเราไป เรามีชีวิตอยู่และเชื่อต่อไปว่าเราไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้นได้ เพียงเพราะกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เมื่อเรายังเด็ก เราพยายามทำอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ แล้วสิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นแก่เราเช่นเดียวกับช้าง. ความทรงจำยังคงอยู่ในใจฉันตลอดไป: “ฉันทำไม่ได้ ฉันทำไม่ได้ และฉันจะไม่มีวันทำ”
เราอาศัยอยู่ในขอบเขตของความทรงจำของคนที่เราเคยเป็นซึ่งไม่มีอยู่แล้ว สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้ผลสำหรับบุคคลนั้นครั้งหนึ่ง
วิธีเดียวที่จะทราบว่าคราวนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่คือพยายามทำอะไรบางอย่างอีกครั้ง โดยรวบรวมกำลังทางจิตวิญญาณทั้งหมดของเรา... กำลังทั้งหมดของจิตวิญญาณของเรา
ทุ่มเทให้กับทุกคนที่ยังถูกล่ามโซ่ด้วยหมุดเล็กหรือใหญ่โดยไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งอันมหาศาลของพวกเขาและไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า...
ข้อความอุปมาเป็นภาษาอังกฤษ:
ช้างที่ถูกล่ามโซ่
ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันชอบละครสัตว์มาก และสัตว์ส่วนใหญ่ที่ฉันหลงใหลในช้าง ซึ่งต่อมาฉันพบว่าเป็นสัตว์โปรดของเด็กๆ ทุกคน ในระหว่างการแสดง สัตว์ตัวใหญ่กำลังแสดงน้ำหนัก ขนาด และความแข็งแกร่งของมันมหาศาล แต่หลังจากการแสดงและก่อนที่เขาจะกลับขึ้นเวที ช้างก็ยืนผูกติดกับเสาเล็กๆ บนพื้น โซ่กำลังกักขังเท้าของมันไว้ อย่างไรก็ตาม เสานั้นมีขนาดเล็กมากและแทบจะขุดลงดินไม่ได้เลย แม้ว่าโซ่จะใหญ่และแข็งแรง แต่สำหรับฉันดูเหมือนว่าสัตว์ที่มีความแข็งแกร่งในการถอนต้นไม้สามารถหลุดพ้นและเดินออกไปได้อย่างง่ายดาย ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องลึกลับ อะไรทำให้เขา? ทำไมเขาถึงไม่วิ่งหนีล่ะ?
ตอนที่ฉันอายุ 5 หรือ 6 ขวบ ฉันยังคงเชื่อในภูมิปัญญาของผู้ใหญ่ ฉันถามครู พ่อ และลุงของฉัน ถึงความลึกลับของช้าง มีคนอธิบายให้ฉันฟังว่าช้างถูกเลี้ยงให้เชื่องแล้ว ดังนั้นฉันจึงตั้งคำถามที่ชัดเจน: “ถ้าเขาถูกฝึกให้เชื่องแล้ว ทำไมพวกเขาต้องล่ามโซ่เขาด้วย?” ฉันจำไม่ได้ว่าได้รับคำตอบที่น่าพอใจ ในที่สุดฉันก็ลืมความลึกลับของช้างที่ถูกล่ามโซ่ไว้ที่เสา และจำได้ก็ต่อเมื่ออยู่ร่วมกับผู้คนที่เคยถามคำถามเดียวกันในเรื่องนี้เท่านั้น
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันค้นพบว่ามีคนฉลาดพอที่จะค้นหาคำตอบ ช้างแห่งคณะละครสัตว์ไม่ได้วิ่งหนี เพราะเขาคุ้นเคยกับเสาเดียวกันตั้งแต่อายุยังน้อย
ฉันหลับตาและจินตนาการถึงช้างที่เพิ่งเกิดใหม่ซึ่งไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ผูกติดอยู่กับเสา ฉันมั่นใจว่าในตอนนั้นช้างตัวน้อยก็ผลัก ดึง และเหงื่อออกเพื่อพยายามหลุดพ้น แต่ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามทั้งหมด แต่เขาก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะเสานั้นแข็งแกร่งเกินไปสำหรับเขา ฉันจินตนาการว่าเขานอนหลับอย่างเหนื่อยล้า และวันรุ่งขึ้นก็พยายามอีกครั้ง และวันถัดมาก็เหมือนเดิม...
...จนกระทั่งวันหนึ่ง ซึ่งเป็นวันอันเลวร้ายในประวัติศาสตร์ สัตว์ตัวนี้ยอมรับความอ่อนแอของเขาและยอมจำนนต่อชะตากรรมของเขา ช้างตัวใหญ่และทรงพลังตัวนี้ที่เราเห็นในละครสัตว์ไม่ได้วิ่งหนีเพราะสัตว์ที่น่าสงสารคิดว่าเขาทำไม่ได้ ความทรงจำเกี่ยวกับความอ่อนแอที่เขารู้สึกได้ไม่นานหลังเกิดนั้นถูกจารึกไว้ในใจเขาตลอดไป และที่แย่ที่สุดคือเขาไม่เคยตั้งคำถามกับความทรงจำนี้อย่างจริงจัง เขาไม่เคยพยายามทดสอบความแข็งแกร่งของเขาเลย...
นี่คือวิธีที่มันเป็น เราทุกคนก็เหมือนช้างในละครสัตว์ไม่มากก็น้อย เราเดินทางรอบโลกโดยล่ามโซ่ไว้กับเสาหลายร้อยต้นที่พรากอิสรภาพของเราไป เราใช้ชีวิตโดยเชื่อว่า “เราทำไม่ได้” ทำอะไรหลายๆ อย่างได้ เพียงเพราะครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ตอนที่เรายังเด็ก เราพยายามแล้วไม่ประสบความสำเร็จ แล้วสิ่งเดียวกันก็เกิดขึ้นกับเราเช่นเดียวกับช้าง ข้อความเดียวกันนี้ “ถูกจารึกไว้ในความทรงจำของเรา”: ฉันทำไม่ได้ ฉันทำไม่ได้ และฉันจะไม่มีวันทำ
เราอาศัยอยู่ในขอบเขตของความทรงจำของคนที่เราเคยเป็นและผู้ที่ไม่มีอยู่อีกต่อไป คนนั้นไม่ได้ทำ
วิธีเดียวที่จะรู้ว่าเราทำได้หรือไม่ คือพยายามอีกครั้งด้วยพลังทั้งหมดของจิตวิญญาณของเรา…พลังทั้งหมดของจิตวิญญาณของเรา
ทุ่มเทให้กับทุกคนที่ยังถูกล่ามไว้กับเสาเล็กหรือใหญ่ โดยไม่ตระหนักถึงความแข็งแกร่งอันมหาศาลของพวกเขา กลัวที่จะก้าวไปข้างหน้า…
และเพื่อติดตามผล ต่อไปนี้เป็นคำถามสองสามข้อที่ควรพิจารณา:
คุณหรือคนอื่นเป็นเหมือนช้างหรือลูกช้างอย่างไร?
"โซ่" ที่ผูกมัดคุณคืออะไร?
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณได้รับฟรี?
มีสถานการณ์ใดบ้างที่คุณยอมแพ้และยอมแพ้ต่อการต่อสู้?
คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับความสามารถของตัวเอง? ความเชื่อใดต่อไปนี้ควรค่าแก่การเปลี่ยนแปลง
ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เคยมีชายตาบอดหกคนอาศัยอยู่ วันหนึ่งพวกเขาได้ยินว่า “เฮ้ มีช้างมาหาเรา!” คนตาบอดไม่รู้ว่าช้างคืออะไรหรือมีหน้าตาเป็นอย่างไร พวกเขาตัดสินใจว่า “ในเมื่อเรามองไม่เห็นมัน เราก็จะไปและอย่างน้อยก็สัมผัสมัน”
“ช้างก็คือเสา” ชายตาบอดคนแรกที่แตะขาช้างกล่าว “ช้างก็คือเชือก” ตัวที่สองซึ่งคว้าหางของมันกล่าว "ไม่นะ! นี่คือกิ่งก้านของต้นไม้หนาทึบ” มือที่สามวิ่งไปตามลำต้นกล่าว “ดูเหมือนพัดใหญ่เลย” ชายตาบอดคนที่สี่ซึ่งจับหูสัตว์กล่าว “ช้างเป็นกระบอกใหญ่” ชายตาบอดคนที่ห้าพูดขณะคลำท้อง
“ดูเหมือนไปป์มากกว่า” ชายตาบอดวิ่งไปตามงาสรุป
พวกเขาเริ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือดและต่างยืนกรานเป็นของตัวเอง ไม่มีใครรู้ว่ามันจะจบลงอย่างไรถ้านักปราชญ์ที่ผ่านไปไม่สนใจสาเหตุของการทะเลาะวิวาทอันดุเดือด สำหรับคำถาม: “มีอะไรเกิดขึ้น?” คนตาบอดตอบว่า “เราไม่สามารถรู้ได้ว่าช้างมีลักษณะอย่างไร” แล้วแต่ละคนก็บอกว่าคิดอย่างไรกับช้าง
จากนั้นนักปราชญ์ก็อธิบายให้พวกเขาฟังอย่างใจเย็น: “พวกคุณสบายดี เหตุผลที่คุณตัดสินต่างกันก็เพราะว่าคุณแต่ละคนสัมผัสส่วนต่างๆ ของช้าง ที่จริงแล้วช้างมีทุกสิ่งที่คุณพูดถึง” ทุกคนรู้สึกยินดีทันทีเพราะทุกคนทำถูก
คุณธรรมก็คือในการตัดสินของคนต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งเดียวกัน ส่วนใหญ่มักมีเพียงความจริงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บางครั้งเราสามารถเห็นความจริงส่วนหนึ่งของผู้อื่นได้ และบางครั้งเราไม่สามารถมองเห็นได้ เนื่องจากเรามองเรื่องจากมุมมองที่ต่างกันซึ่งแทบจะไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน
ดังนั้นเราจึงไม่ควรโต้เถียงกันจนหน้าซีด มีเหตุผลมากกว่าที่จะพูดว่า: “ใช่ ฉันเข้าใจ คุณอาจมีเหตุผลบางอย่างที่จะคิดเช่นนั้น”
ผู้เขียนหนังสือสำหรับเด็ก "The Blind Men and the Elephant" ลิเลียน ควิกลีย์ เล่าเรื่องอุปมาอินเดียโบราณเกี่ยวกับชายตาบอดหกคนที่เข้ามาในวังของราชาและที่นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่พวกเขาได้พบกับช้าง แต่ละคนสัมผัสสัตว์ด้วยมือของเขาและพูดถึงความประทับใจของเขา:
“คนตาบอดคนแรกเอื้อมมือไปแตะข้างช้างว่า “เนียนจริงๆ นะ!” ช้างก็เหมือนกำแพง" ชายตาบอดคนที่สองเอื้อมมือไปแตะงวงช้างว่า “กลมขนาดไหน! ช้างก็เหมือนงู” ชายตาบอดคนที่สามเอื้อมมือไปแตะงาช้างว่า “คมจริงๆ! ช้างก็เหมือนหอก” ชายตาบอดคนที่สี่เอื้อมมือไปแตะขาช้างว่า “สูงแค่ไหน!” ช้างก็เหมือนต้นไม้" ชายตาบอดคนที่ห้าเอื้อมมือไปจับใบหูช้างว่า “กว้างแค่ไหน!” ช้างก็เหมือนพัด” ชายตาบอดคนที่หกเอื้อมมือไปจับหางช้าง: “ผอมจริงๆ! ช้างก็เหมือนเชือก”
เกิดการโต้เถียงกันขึ้น เนื่องจากคนตาบอดแต่ละคนเชื่อว่าคำอธิบายช้างของเขานั้นถูกต้อง ราชาตื่นเพราะเสียงนั้นจึงออกไปที่ระเบียง “ช้างเป็นสัตว์ใหญ่” เขากล่าว “พวกท่านแต่ละคนสัมผัสได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น คุณต้องประกอบชิ้นส่วนทั้งหมดเข้าด้วยกันเพื่อดูว่าช้างมีหน้าตาเป็นอย่างไร”
เมื่อรู้แจ้งด้วยปัญญาของราชา คนตาบอดจึงตกลงกันว่า “เราแต่ละคนรู้ความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น เพื่อค้นหาความจริงทั้งหมด เราต้องรวบรวมชิ้นส่วนทั้งหมดเข้าด้วยกัน"
อุปมาเรื่องคนตาบอดกับช้าง
ช้างกำลังถูกพาไปตามถนน
ชายตาบอดสามคนกำลังเดินไปทางพวกเขา
ผู้คนต่างตะโกนอย่างสิ้นหวัง:
- ถอยออกไป ช้างกำลังมา!
และพวกเขาก็ตอบไปว่า
“เราไม่ได้เห็นแสงสีขาวมานานแล้ว”
และเราแยกแยะเฉพาะเสียงเท่านั้น
ดวงตาของเราแทนที่มือของเรา
และมันเป็นความผิดของเราจริงๆเหรอ?
ทำไมไม่เห็นช้าง?
เราอยากสัมผัส จากข้างบน จากข้างล่าง
จัดให้มีการสอบให้เขา
ออกมาแสดงความคิดเห็นในภายหลัง
และแก้ไขข้อสงสัยของคุณ
ประการหนึ่งจับหางช้าง
พูดว่า:
- สัตว์ร้ายตัวนี้ไม่ง่าย
ดูเหมือนเชือก
คนที่สองอุทาน:
- คุณโกหกพี่ชาย!
และเขาก็หยิบลำต้นมาไว้ในมือ
- ช้างดูเหมือนงู!
และอันที่สามศึกษาขา
แล้วเขาก็สรุปทันทีว่า
- สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่าช้างตัวนั้น
ไม่ใช่แค่เสา แต่เป็นเสาขนาดยักษ์!
แม้ว่าความจริงจะเหมือนเดิมเสมอ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นมันได้
และอีกคำอุปมาเกี่ยวกับ Khoja Nasreddin:
เพื่อนบ้านคนหนึ่งมาหาเขาและเล่าถึงคดีที่เขาฟ้องร้องเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่ง หลังจากฟังข้อโต้แย้งทั้งหมดของเขาแล้ว Khoja ก็พูดว่า - คุณพูดถูก! เพื่อนบ้านจากไปด้วยความพึงพอใจ วันรุ่งขึ้นเพื่อนบ้านอีกคนมาบรรยายนิมิตของเขา Khoja คิดแล้วพูดว่า - คุณพูดถูก! และเพื่อนบ้านคนนี้ก็มีความสุข ภรรยาของ Khoja ฟังทั้งหมดนี้ และทันทีที่เพื่อนบ้านคนสุดท้ายจากไปเธอก็อุทาน: แต่ Khoja! คนสองคนที่มีวิสัยทัศน์ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันไม่สามารถแก้ไขปัญหาเดียวกันในเวลาเดียวกันได้! โคจาคิดแล้วพูดว่า “และภรรยาของคุณก็พูดถูก!”