เกมใจของ John Nash โรคจิตเภทที่ยอดเยี่ยมของ John Forbes Nash
ไม่ว่าสมาชิกสำนักงานใหญ่หาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์จะปัดป้องขัดขืนจนถึงจุดที่นักข่าวก้าวก่ายเพียงใด โดยอธิบายว่าการเป็นลมของฮิลลารี คลินตันเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่คุ้มค่าที่จะให้ความสนใจ ก็เป็นที่ชัดเจนต่อสาธารณชนทั่วไปในสหรัฐอเมริกาและที่อื่นๆ ไม่ใช่ทุกอย่างที่สอดคล้องกับสุขภาพของผู้สมัครโอเค การเก็งกำไรเกิดขึ้น โดยอาศัยสมมติฐานที่น่ากลัวเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากเธอป่วยหนักจนไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปได้ สถานการณ์มีความร้ายแรงเพียงใด? ในที่สุดเธอก็ป่วยอะไรจริงๆ? ใครสามารถแทนที่คลินตันได้?
อาการป่วยล่าสุดทำให้ตัวเองรู้สึกได้ในพิธีไว้ทุกข์ให้กับเหยื่อจากการโจมตีของผู้ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ฮิลลารี คลินตัน ป่วยหนักจนไม่มีคำถามว่าจะ "ละทิ้ง" งานดังกล่าว เมื่อผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของมหาอำนาจโลกที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลที่สุดถูกนำเข้าไปในรถที่เข้ามาใกล้ ความยากลำบากก็เกิดขึ้น ดูเหมือนว่าหญิงชราไม่สามารถขยับขาได้แม้จะมองเห็นประสิทธิภาพของเจ้าหน้าที่ที่กั้นทางเข้ารถก็ตาม คลินตันถูกผลักเข้าไปในรถด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งและเขาก็ขับรถออกไป แต่มีความเจ็บปวดจากการเคลื่อนไหวกระตุกบางอย่างซึ่งไม่สอดคล้องกับการวินิจฉัยที่ประกาศในภายหลังเล็กน้อย ขั้นแรกพวกเขารายงานว่าเป็นลมแดดหรือลมแดด (“ร้อนเกินไป”) และไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็รายงานว่าเป็นโรคปอดบวมผิดปกติ โดยปกติในทั้งสองกรณี ผู้ป่วยจะสูญเสียน้ำเสียง ผ่อนคลาย และเพื่อที่จะได้รับการนำทางในระยะทางสั้นๆ จำเป็นต้องมีการรองรับใต้วงแขน และในกรณีนี้ จำเป็นต้องเอาชนะการต่อต้านบางอย่างจากฮิลลารีด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นนี้เป็นเพียงอัตนัย คำอธิบายอย่างเป็นทางการยังคงกล่าวถึงโรคปอดบวม
อาการผิดปกติ
ดังที่พอร์ทัล BBC อธิบายไว้ว่า "การเดิน" หรือโรคปอดบวมที่ไม่ปกตินั้นแตกต่างจากโรคปอดบวมทั่วไปในรูปแบบที่เบาบางลง ไม่มีอันตราย ยังไม่ชัดเจนด้วยซ้ำว่าความวุ่นวายนั้นเกี่ยวกับอะไร อาการมีความหลากหลายมากจนโรคเกือบทุกชนิดสามารถเข้าได้กับคำจำกัดความนี้ - น้ำมูกไหล ไอ อุณหภูมิสูง หายใจลำบาก ปวดศีรษะและเวียนศีรษะ หมดแรง อาการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยประมาณในวันที่ 11 กันยายน โดยทั่วไปการรักษาจะใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ หลักสูตรรวมถึงการรับประทานยาปฏิชีวนะ การพักผ่อน และดื่มน้ำปริมาณมาก อันที่จริงนี่เป็นไข้หวัดธรรมดาที่สุดที่ทะลุปอด แน่นอนว่ายังมีไวรัสอยู่ที่นั่น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ถึงแก่ชีวิต โรคนี้อันตรายเฉพาะกับเด็กเล็กและผู้สูงอายุเท่านั้น
อะไรอีก?
เมื่อสี่ปีที่แล้ว ฮิลลารี คลินตัน ประสบอาการป่วยร้ายแรงอันเป็นผลมาจากภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ เธอล้มลง มีอาการกระทบกระเทือนจิตใจ และต้องเข้ารับการผ่าตัดเอาลิ่มเลือดออก ตามที่แพทย์ประจำตัวของนักการเมืองหญิง Lisa Bardak ระบุว่า คนไข้ของเธอฟื้นตัวจากปัญหาที่เธอต้องทนทุกข์ทรมานอย่างเต็มที่ และขณะนี้ร่างกายแข็งแรงดี ข้อสรุปนี้ได้รับการยืนยันด้วยจดหมายสองหน้าที่เขียนโดยแพทย์ แต่ไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลทางการแพทย์ทั้งหมดของผู้สมัครที่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งบ่งชี้ว่ามีบางสิ่งยังคงถูกซ่อนอยู่ อาการชักแปลกๆ ที่บางครั้งทำให้ร่างกายของผู้สมัครสั่น การแสดงออกทางสีหน้าที่ผิดปกติของเธอ และอาการทางพยาธิวิทยาอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการสื่อสารไม่สามารถรอดสายตาของนักข่าวที่พิถีพิถันและแน่นอนว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ความพยายามที่จะแกล้งทำเป็นว่าเรื่องตลกเหล่านี้ไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าจะดีกว่าที่อารมณ์ขันดังกล่าวสามารถอธิบายได้ด้วยอาการเศร้าหมองยิ่งกว่านั้นเท่านั้น
ศัตรู
อเมริกาเผชิญกับทางเลือกที่ยากมาก ในแง่หนึ่ง โดนัลด์ ทรัมป์ เจ้าของทรัพย์สมบัติมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ผู้ซึ่งมักจะประหลาดใจกับคำตัดสินที่แปลกประหลาดและคำพูดที่น่าตกตะลึง เป็นสิ่งที่ปัจจุบันเรียกว่า "ไม่มีการจัดรูปแบบโดยสมบูรณ์" เขาเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ขนาดใหญ่มืออาชีพ และทัศนคติต่อสายงานนี้ในสหรัฐอเมริกาและในทางปฏิบัติทั่วโลกนั้นได้รับการอธิบายด้วยคำพูดที่รู้จักกันดีว่า "ถ้าคุณไม่โกง คุณจะไม่ขาย" ” ในขณะเดียวกัน ลักษณะเหล่านั้นที่ขับไล่หลายสิ่งหลายอย่างที่ดึงดูดผู้อื่นนั้นแม่นยำ ขณะนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเศรษฐกิจของอเมริกาไม่สามารถแก้ไขได้โดยใช้วิธีการมาตรฐาน ไม่สามารถหลุดออกจากกับดักเก็งกำไรได้ และจะสามารถรองรับได้โดยการเพิ่มหนี้ของประเทศในจักรวาลเท่านั้น และนี่คือจุดจบทางตันอย่างเห็นได้ชัด
ปฏิกิริยาของทรัมป์
ในทางกลับกัน คลินตันดูเหมือนจะซื่อสัตย์มากและยังไม่มีใครสังเกตเห็นการกระทำที่น่าตำหนิใดๆ เลย แต่เขาไม่บอกความจริงเกี่ยวกับสุขภาพของเขาอย่างน้อยก็มีข้อสงสัยเช่นนี้ และถ้าเขาซ่อนความเจ็บป่วยร้ายแรงบางอย่างไว้ มันก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก เพราะสิ่งที่ไม่รู้นั้นแย่กว่าข้อมูลใด ๆ เสมอแม้จะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดก็ตาม อายุที่แตกต่างกันระหว่างผู้สมัครมีน้อย เพียงสองปี (68 และ 70 ตามลำดับ) และทรัมป์ดูมีสุขภาพดีขึ้น ร่าเริง และกระตือรือร้นมากขึ้น เขาหยุดกินอาหารฟาสต์ฟู้ดที่เขาเคยชอบ ลดไปหลายกิโลกรัม และเริ่มดูแลตัวเอง
การที่คลินตันไม่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพของเธอได้ตัดพื้นฐานหลักของการรณรงค์ของเธอออกไป - เธอได้ประกาศความซื่อสัตย์ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทรัมป์ไม่ได้เยาะเย้ยคู่แข่งหลังจากเจ็บป่วยอีก ซึ่งตรงกันข้ามกับที่คาดไว้ แต่ในทางกลับกัน อวยพรให้เธอฟื้นตัวอย่างรวดเร็วด้วยความเห็นอกเห็นใจที่เกินจริง ในตอนนี้ ไม่ว่าจะโต้เถียงกันอย่างไร ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขาที่จะถามฮิลลารี คลินตันอย่างสุภาพว่าเธอรู้สึกอย่างไร
แล้วรูสเวลต์ล่ะ?
อาจเป็นกรณีเดียวที่ชาวอเมริกันยกโทษให้คนที่ตนเลือกเนื่องจากความเจ็บป่วยทางกายคือกรณีของประธานาธิบดีแฟรงคลิน เดลาโน รูสเวลต์ ซึ่งสามารถเอาชนะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้ มันเป็นความสำเร็จที่แม้แต่รถเข็นก็ดูเหมือนราชบัลลังก์ อย่างไรก็ตาม มีเพียงคนในแวดวงของเขาเท่านั้นที่รู้เกี่ยวกับภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน และโรคปอด
ทัศนคติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งต่อผู้สมัครและประธานาธิบดีที่ป่วย
ประธานาธิบดีคนอื่นๆ ต่างก็ซ่อนอาการป่วยของตนไว้ ซึ่งรวมถึงจอห์น ฟิตซ์เจอรัลด์ เคนเนดี ซึ่งแม้จะอายุยังน้อย แต่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคภัยไข้เจ็บมากมาย จังหวะของวูดโรว์ วิลสันถูกเรียกว่า "อาการป่วยเล็กน้อย" เนื้องอกมะเร็งของ Grover Cleveland ถูกนำออกระหว่าง "การล่องเรือยอร์ชเพื่อความสุข" มีตัวอย่างอื่น ๆ และถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขา และเมื่อความจริงปรากฏ ผลที่ตามมาก็เศร้า ในปี 1972 การเสนอชื่อรองประธานาธิบดีของโธมัส อีเกิลตันถูกปฏิเสธอย่างไร้ความปราณี เมื่อพบว่าเขามีสุขภาพไม่ดี
ทรัมป์สัญญาว่าจะเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดจากเวชระเบียนของเขา
จะเป็นอย่างไรถ้า...
ปัญหาสุขภาพของฮิลลารี คลินตันเกิดขึ้นท่ามกลางการเลือกตั้ง ซึ่งเกือบจะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ทุกคน ไม่ใช่แค่ผู้สมัครรับตำแหน่งสูงสุดในสหรัฐฯ เดินตามพระเจ้า และคงจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจหากสถานการณ์ที่ผู้เข้าร่วมคนใดคนหนึ่งลาออกจากตำแหน่งไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ถือว่าเป็นไปได้ เป็นที่ทราบกันดีว่าคณะกรรมการแห่งชาติของพรรคเดโมแครตจะทำอย่างไรหากความเจ็บป่วยของคลินตันกลายเป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้งที่เป็นไปได้ของเธอ ผู้ที่เข้ามาแทนจะได้รับเลือก ซึ่งอาจเป็นทิม เคน, เบอร์นี แซนเดอร์ส, โจ ไบเดน หรือคนอื่นๆ ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นใครและพรรคเดโมแครตเองก็อ้างว่าไม่รู้เช่นกันเพราะพวกเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ บางทีพวกเขาก็ทำตัวไม่จริงใจนิดหน่อย
สำหรับพรรครีพับลิกัน พวกเขาก็มีกลไกฉุกเฉินเช่นกัน คุณสามารถเลือกผู้สมัครใหม่ในคณะกรรมการแห่งชาติหรือเรียกประชุมสภาพรรคและแก้ไขปัญหานี้ที่นั่น
สิ่งพิมพ์ออนไลน์ของอเมริกา The Huffington Post บล็อกบัญชีของผู้เขียน David Seaman และลบบทความของเขาที่นักข่าวพูดถึงสุขภาพของฮิลลารีคลินตันออกจากไซต์
“เราอยู่จีนเหรอ? คนของเราไม่ได้รับการคุ้มครองโดยการแก้ไขครั้งแรกใช่ไหม” - นาวิกโยธินเขียนโดยอ้างถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาที่รับประกันเสรีภาพในการพูดและสื่อโดยเฉพาะ
ส่วนบทความอื้อฉาวเองก็ถูกเรียกว่า “ฮิลลารี สุขภาพดีมาก ยกเว้นอาการชัก แผลเปื่อย อะดรีนาลีนพุ่ง” และ “โดนัลด์” ทรัมป์ท้าดวลกับฮิลลารี คลินตัน [เพื่อชี้แจงปัญหา] พร้อมบันทึกการรักษาของเธอ”- ในนั้น นักข่าวกล่าวถึง ดร.ดรูว์ พินสกี ซึ่งรายการวิทยุของเขาถูกยกเลิกหลังจากพูดคุยเรื่องสุขภาพของคลินตัน พินสกีกล่าวขณะออกอากาศสดว่า มีเหตุผลร้ายแรงที่ทำให้สงสัยในความเป็นอยู่ของอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และเหนือสิ่งอื่นใด ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมแปลกๆ ของฮิลลารีในระหว่างการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว เมื่อเธอเริ่มสั่นไหวกะทันหัน วิดีโอส่วนหนึ่งของการสัมภาษณ์นี้ถูกโพสต์ทางออนไลน์และมีผู้เข้าชมมากกว่า 3.5 ล้านครั้ง ซีแมน การเคลื่อนไหวที่กระตุกของคลินตันอาจบ่งบอกถึงอาการปวดหัวหรือปัญหาสุขภาพที่รุนแรงมากขึ้น
นักข่าวยังเตือนผู้อ่านถึงรูปถ่ายที่แสดงผู้ช่วยอดีตหัวหน้ากระทรวงการต่างประเทศกำลังถือวัตถุที่คล้ายกับ ปากกาเข็มฉีดยา รวมถึงรูปถ่ายจำนวนมากที่ชัดเจนว่าฮิลลารีดูเหนื่อยมากและเอาหมอนหนุนไว้ใต้หลังของเธอ และถามคำถามเชิงวาทศิลป์: นี่ไม่ใช่เหตุผลที่จะสงสัยในสุขภาพของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีหรือไม่?
การโจมตีของซีแมนส่งผลถึงมือฝ่ายตรงข้ามคนสำคัญของฮิลลารีในการเลือกตั้งอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ซึ่งกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าคลินตันมีร่างกายไม่แข็งแรงพอที่จะเป็นประธานาธิบดีและ “ซ่อนตัวจากผู้สมัครของเธอมากเกินไป” “ฉันเชื่อว่าผู้สมัครทั้งสองคน ฮิลลารีและฉัน ควรเปิดเผยเวชระเบียนของพวกเขาต่อสาธารณะ ฉันไม่มีปัญหากับเรื่องนี้! ฮิลลารี? - ทรัมป์เขียนลงในบัญชีโซเชียลมีเดียของเขา
อย่างไรก็ตาม คลินตันไม่ยอมจำนนต่อการยั่วยุและไม่ตอบสนองต่อคำเรียกร้องของทรัมป์ และเพื่อยืนยันสุขภาพที่ดีของเธอ เธอเองก็เปิดขวดแตงกวาสดในรายการโทรทัศน์ช่วงเย็นของจิมมี่ คิมเมล
สำหรับ Seaman ซึ่งตีพิมพ์บทความอื้อฉาวหลายชุด เขาได้พูดคุยกับผู้อ่านบน YouTube โดยกล่าวว่าสิทธิ์ของเขาในฐานะนักข่าวถูก “ละเมิดอย่างร้ายแรง” นอกจากนี้ อดีตพนักงาน HuffPost ยังบอกเป็นนัยว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา มันจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป
“ตลอดหลายปีที่ผ่านมาในวงการสื่อสารมวลชน ฉันได้เขียนผลงานหลายร้อยชิ้น และไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ดังนั้นหากในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฉันลื่นล้มในห้องอาบน้ำ หรือมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นกับฉัน ฉันจะต้องหันไปหาทฤษฎีและสถิติความน่าจะเป็น เพราะฉันไม่ได้ซุ่มซ่ามเป็นพิเศษและไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า” นักข่าวเน้นย้ำ
บทวิจารณ์ของผู้สังเกตการณ์ Realnoe Vremya เกี่ยวกับหนึ่งในหนังสือขายดีทางปัญญาหลักในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาชีวประวัติของนักคณิตศาสตร์ที่เก่งกาจ
มีหนังสือหลายเล่มที่น่าทึ่งมากในการบรรยายว่าจิตใจมนุษย์สามารถขึ้นลงและเกิดใหม่อีกครั้งได้อย่างไร เรื่องราวของ John Nash นักคณิตศาสตร์ผู้เก่งกาจและผู้ชนะรางวัลโนเบล ซึ่งบรรยายโดยนักเขียนชีวประวัติของเขา Sylvia Nazar ในหนังสือ A Beautiful Mind เป็นเรื่องที่น่าทึ่งและน่าเศร้ามากจนดูเหมือนเขียนโดยนักเขียนบทภาพยนตร์ฮอลลีวูด คอลัมนิสต์เศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์ออนไลน์ Realnoe Vremya Albert Bikbov รอเป็นเวลานานสำหรับการเปิดตัวหนังสือเล่มนี้ในรัสเซียและความคาดหวังของเขานั้นสมเหตุสมผลมากกว่า - นี่เป็นผลงานชิ้นเอกของชีวประวัติสารคดีของหนึ่งในจิตใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างแท้จริง “A Beautiful Mind” คือชื่อหนังสือที่แปลจากภาษาอังกฤษตามตัวอักษร
หนังสือที่เป็นแบบอย่างเกี่ยวกับอัจฉริยะ
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ภาพยนตร์ฮอลลีวูดเรื่อง A Beautiful Mind โดย Ron Howard ซึ่งสร้างจากหนังสือในปี 2001 (แต่มีการบิดเบือนอย่างมาก) พร้อมด้วยการแสดงอันยอดเยี่ยมของนักแสดงรัสเซล โครว์และเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดใน ประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และได้รับรางวัลออสการ์ถึงสี่รางวัล” หลายๆ คนคงเคยดูภาพยนตร์เรื่องนี้มาแล้ว - นี่เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่สวยงามและซาบซึ้งที่สุดของความบ้าคลั่ง การฟื้นตัว การค้นพบ ชื่อเสียง ความไร้ประโยชน์ ความเหงา หากคุณยังไม่ได้ดูมัน ให้สละเวลาก่อน ฉันรับรองได้เลยว่ามันเป็นหนังที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ
หนังสือเล่มนี้อธิบายความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์ของแนชและเรื่องราวส่วนตัวของเขาอย่างละเอียดมากกว่าในภาพยนตร์ และความประหลาดใจมากมายรอผู้อ่าน: ชีวิตเช่นเคยมีความซับซ้อนมากกว่าภาพยนตร์มาก และที่น่าสนใจกว่านั้น...
หนังสือของซิลเวีย นาซาร์ ชื่อว่า “A Beautiful Mind” The Life of Mathematical Genius และผู้ได้รับรางวัลโนเบล John Nash ได้รับการตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาในปี 1998 ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลพูลิตเซอร์ ได้รับการแปลเป็น 30 ภาษา และกลายเป็นหนังสือขายดีระดับนานาชาติ หนังสือเล่มนี้เป็นทั้งตัวอย่างของชีวประวัติทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่และการอ่านที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เป็นสารคดีอเมริกันที่งดงาม เป็นแบบอย่าง (สะดวกและเป็นมิตรกับผู้อ่านมากที่สุด)
หนังสือเล่มนี้เป็นทั้งตัวอย่างของชีวประวัติทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่และเป็นหนังสือที่น่าอ่านอย่างยิ่ง ภาพถ่าย: “meduza.io”
และเพียง 18 ปีต่อมา หนังสือเล่มนี้ก็ได้รับการแปลเป็นภาษารัสเซียในที่สุด และจัดพิมพ์ในเดือนตุลาคม 2559 โดยสำนักพิมพ์ Corpus ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสำนักพิมพ์ AST โดยมียอดจำหน่าย 3,000 เล่ม หนังสือเล่มนี้ค่อนข้างใหญ่ - เพียง 752 หน้า แต่อ่านง่ายมาก ในร้านค้าออนไลน์มีราคาประมาณ 710 รูเบิล
เล็กน้อยเกี่ยวกับผู้แต่งหนังสือ - Sylvia Nazar นักเศรษฐศาสตร์นักเขียนและนักข่าวชาวอเมริกัน ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ด้านวารสารศาสตร์ธุรกิจที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เธอคืออุซเบกทางฝั่งพ่อของเธอ (ซึ่งอุซเบกภูมิใจในตัวเธอมาก) และทางฝั่งแม่เธอเป็นคนเยอรมัน ตั้งแต่ปี 1977 ถึง 1980 เธอทำงานที่สถาบันวิเคราะห์เศรษฐกิจ ซึ่งนำโดย Vasily Leontiev ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งเป็นชาวรัสเซีย ตั้งแต่ปี 1991 เธอทำงานเป็นนักข่าวเศรษฐกิจให้กับ New York Times เธอออกจากหนังสือพิมพ์ในปี 2542 โดยตัดสินใจมุ่งความสนใจไปที่การสอนและการเขียน หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นในช่วงเวลาที่เธออยู่ที่ New York Times ตามที่ซิลเวีย นาซาร์บอก เธอเห็นแนชในรายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1994 รีบไปหาบรรณาธิการพร้อมกับเรื่องราวนี้ - และเรื่องราวก็ทำให้เขาน้ำตาไหล ตลอดระยะเวลาสี่ปีของการทำงาน Sylvia Nazar ศึกษาชีวประวัติของ Nash อย่างจริงจังและเข้าหางานนี้อย่างมีความรับผิดชอบจนเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Nash ด้วยซ้ำ:
“ต้องใช้แหล่งข้อมูลหลายร้อยแห่งเพื่อสร้างเรื่องราวชีวิตทั้งหมดของเขาขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่คนเดียวที่รู้รายละเอียดทั้งหมด ทั้งอลิเซีย (ภรรยาของจอห์น แนช) และลูกชายของแนช
ปรากฎว่าจากเศษชิ้นส่วนและเมล็ดพืชนับพันที่รวบรวมจากการสัมภาษณ์หลายร้อยฉบับ จดหมายหลายสิบฉบับ และเอกสารจำนวนหนึ่ง สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวชีวิตเพียงเรื่องเดียวได้ ส่วนหนึ่งของชุมชนคณิตศาสตร์มีบทบาทที่นี่ ซึ่งเหมือนกับการขับร้องในโรงละครกรีกโบราณ สังเกต แสดงความคิดเห็น จดจำ อธิบาย และสร้างพื้นหลัง
และแน่นอนว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะอลิเซียไม่เคยหยุดเชื่อในปาฏิหาริย์ อลิเซียต้องการให้เล่าเรื่องของจอห์นเพราะอาจเป็นแหล่งความช่วยเหลือสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคทางจิตได้
ตามที่ซิลเวีย นาซาร์บอก เธอเห็นแนชในรายชื่อผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1994 รีบไปหาบรรณาธิการพร้อมกับเรื่องราวนี้ - และเรื่องราวก็ทำให้เขาน้ำตาไหลภาพถ่าย Russian.rt.com
แต่ถึงกระนั้นแนชเองก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับซิลเวีย “เรียนคุณนาซาร์ ฉันได้ตัดสินใจที่จะยึดมั่นในความเป็นกลางของสวิส...” เขาเขียนตามสไตล์ของเขา
เมื่อถ่ายทำภาพยนตร์จากหนังสือของจอห์น แนช จอห์น แนชได้แนะนำผู้กำกับรอน ฮาวเวิร์ดและนักแสดงรัสเซล โครว์ และหลังจากที่รอน ฮาวเวิร์ดแสดงภาพยนตร์เรื่องนี้ให้จอห์นและอลิเซียดู ซิลเวีย นาซาร์ก็เรียกพวกเขาว่า "จอห์น สบายดีไหม" เธอจำคำพูดของเขาไม่ได้แน่ชัด แต่เธอจำได้ดีว่าเขาพูดถึงสามสิ่งที่เขาชอบ ประการแรก มันตลก อย่างที่สอง แอ็กชันพัฒนาแบบไดนามิก และจอห์นเป็นผู้ชื่นชอบภาพยนตร์แอ็กชัน ประการที่สาม... จอห์นพูดว่า: "ฉันคิดว่ารัสเซลล์ โครว์ดูเหมือนฉันนิดหน่อย"
อดัม สมิธ ล้าสมัยแล้ว!
แน่นอนว่า John Nash เป็นที่รู้จักของสาธารณชนในฐานะผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1994 สาขา "การวิเคราะห์สมดุลในทฤษฎีเกมที่ไม่ร่วมมือ" (ร่วมกับ Reinhard Selten และ John Harsanyi) นอกจากนี้ ในปี 2015 จอห์น แนชยังได้รับรางวัล Abel Prize เกียรติสูงสุดในสาขาคณิตศาสตร์ จากการมีส่วนร่วมในทฤษฎีสมการเชิงอนุพันธ์ไม่เชิงเส้น อาเบลในสาขาคณิตศาสตร์และโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ช่างเป็นอัจฉริยะจริงๆ! โดยทั่วไปแล้วแนชมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว: เขาเขียนผลงานน้อยมาก และในแต่ละกรณี งานที่แยกออกมาได้เปลี่ยนความเข้าใจในระเบียบวินัยไปอย่างมาก
ตามที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนกล่าวไว้ เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์จากข้อความเพียงหน้าเดียว! เรากำลังพูดถึงบทความชื่อดังเรื่อง "คะแนนสมดุลในเกม N-person" ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1950 ในรายงานการประชุมของ National Academy of Sciences นี่อาจเป็นการนำเสนอที่สั้นและมีประสิทธิภาพที่สุดและเป็นข้อความที่ได้รับค่าตอบแทนสูงที่สุด (รางวัลโนเบล!) ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ในปี 2015 John Nash ได้รับรางวัล Abel Prize เกียรติสูงสุดในสาขาคณิตศาสตร์ จากการมีส่วนร่วมในทฤษฎีสมการเชิงอนุพันธ์ไม่เชิงเส้น ภาพถ่าย royalcourt.no
ในบทความ Nash ได้กำหนดแนวคิดเรื่องความสมดุลเชิงนามธรรมสำหรับ "เกม" แบบนามธรรม ซึ่งเป็นรูปแบบการโต้ตอบเชิงกลยุทธ์ที่ง่ายที่สุด - สถานการณ์ที่ผลตอบแทนของผู้เข้าร่วมไม่เพียงขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาทำเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่ผู้เข้าร่วมคนอื่นทำด้วย เพื่อความชัดเจน หากเราถือว่าผู้เล่นแต่ละคนทำการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว สิ่งที่ต้องทำก็แค่เมื่อเลือกการเคลื่อนไหวแล้ว ผู้เล่นไม่ต้องการพิจารณาตัวเลือกของเขาอีกครั้งโดยดูที่ตัวเลือกของผู้เล่นคนอื่น จากนั้นชุดการเคลื่อนไหวที่ผู้เล่นทำคือความสมดุลของแนช ความสมดุลนี้ตามที่แนชให้คำจำกัดความไว้ จะมีอยู่เสมอในการโต้ตอบเชิงกลยุทธ์ใดๆ นี่เป็นคุณสมบัติที่สำคัญมาก เนื่องจากแบบจำลองทางเศรษฐกิจที่อธิบายความเป็นจริงจะต้องมี "ความสมดุล" บางอย่างเสมอ ซึ่งเป็นสภาวะที่ตามแบบจำลองนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตหากแบบจำลองนั้นเพียงพอ
ความสมดุลของแนชซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1950 ได้เปลี่ยนแปลงศาสตร์แห่งทฤษฎีเกมรุ่นเยาว์ไปอย่างสิ้นเชิง (วิธีการทางคณิตศาสตร์สำหรับการศึกษากลยุทธ์ที่ดีที่สุดในเกม) ซึ่งตอนนั้นมีอายุเพียงหกขวบเท่านั้น แง่มุมทางคณิตศาสตร์และการประยุกต์ทฤษฎีเกมได้รับการสรุปไว้ในหนังสือคลาสสิกปี 1944 โดย John von Neumann และ Oscar Morgenstern เรื่อง Game Theory and Economic Behavior จอห์น แนช ในวัย 20 ปี เริ่มคุ้นเคยกับหนังสือเล่มนี้ในปี 1948 ได้เห็นทันทีถึงสิ่งที่คนทั่วไปซึ่งกระตือรือร้นเกี่ยวกับลักษณะการปฏิวัติของหนังสือเล่มนี้ ไม่สามารถแยกแยะได้ในตอนแรก เขาประกาศทันทีว่าหนังสือที่มีน้ำหนักเล่มนี้ แม้จะมีนวัตกรรมทางคณิตศาสตร์ทั้งหมด แต่ก็ไม่มีทฤษฎีบทพื้นฐานใหม่ ยกเว้นทฤษฎีบทมินิแม็กซ์ที่น่าทึ่งของฟอน นอยมันน์ เขาได้ข้อสรุปว่าโครงสร้างทางทฤษฎีใหม่ไม่ได้ช่วยฟอนนอยมันน์ในการแก้ปัญหาที่โดดเด่นใดๆ หรือพัฒนาทฤษฎีนั้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับทฤษฎีเกม เกมแบบผลรวมเป็นศูนย์ (ตามสูตรของฟอน นอยมันน์) คือสิ่งที่บลูส์ 12 บาร์สำหรับดนตรีแจ๊ส: เป็นทั้งกรณีสุดโต่งและเป็นจุดเริ่มต้นทางประวัติศาสตร์ ในปี 1949 จอห์น แนชค้นพบ "สมดุลของแนช" ที่ทำให้เขาเป็นอมตะโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ซึ่งไม่เพียงแต่ปฏิวัติทฤษฎีเกมอย่างรุนแรงเท่านั้น แต่ยังปฏิวัติวิทยาศาสตร์เศรษฐศาสตร์ทั้งหมดโดยรวมด้วย ที่ Princeton ขณะที่ยังเป็นนักศึกษาปริญญาโท เขาขอนัดหมายกับศาสตราจารย์ von Neumann อย่างกล้าหาญ ซึ่งในขณะนั้นก็เป็นดาราดังระดับโลก โดยมีส่วนร่วมในโครงการนิวเคลียร์ของอเมริกาและดูแลอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งเกิดใหม่ แนชบอกว่าเขาเพิ่งจะพูดสองสามวลีกับศาสตราจารย์ได้เมื่อฟอน นอยมันน์ขัดจังหวะเขาและประกาศอย่างเฉียบขาดว่า “นี่เป็นเรื่องเล็กน้อย มันเป็นเพียงทฤษฎีบทจุดคงที่" อัจฉริยะฟอนนอยมันน์ไม่เข้าใจอัจฉริยะอีกคนหนึ่ง โดยหยุดไปเพียงครึ่งก้าวจากการสร้างสมดุลอันโด่งดัง!
ในปี 1950 แนชได้กำหนดแปดหน้าในบทความ "ปัญหาการต่อรอง" เพื่อแก้ปัญหา "การแบ่งพาย" อย่างยุติธรรม (ปัญหาการแบ่งผลลัพธ์ของธุรกรรม) แต่เศรษฐศาสตร์วิทยาศาสตร์ต่างดิ้นรนกับปัญหานี้มาหลายศตวรรษ แต่ก็ไม่มีประโยชน์! แนวคิดหลักของบทความนี้คือผลลัพธ์ของการทำธุรกรรมขึ้นอยู่กับว่าผู้เข้าร่วมจะได้รับอะไรหากธุรกรรมไม่เกิดขึ้น และขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการสรุปธุรกรรม ความก้าวหน้าดังกล่าวทำให้นักคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตันซึ่งแนชศึกษาอยู่ต้องให้ความสำคัญกับนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ความสมดุล" ของเขาอย่างจริงจัง เขาได้รับการแนะนำให้เขียนวิทยานิพนธ์ทางวิทยาศาสตร์ในหัวข้อนี้อย่างเร่งด่วน (เห็นได้ชัดว่าเป็นบทความหน้าเดียว - มันง่ายอย่างน่าอัศจรรย์เกินไป) จอห์น แนช เขียนวิทยานิพนธ์ในปี พ.ศ. 2494 โดยใช้ชื่อว่า "เกมที่ไม่ร่วมมือ" อย่างไม่เต็มใจและมีการเปลี่ยนแปลง 28 หน้า! วิทยานิพนธ์นี้ได้รับการตีพิมพ์ทันทีในรูปแบบของบทความใน Annals of Mathematics หลังจากนั้น โลกก็เปลี่ยนไปในเชิงคุณภาพ
ในที่สุดความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ไม่ได้นำไปสู่สภาวะที่เหมาะสมที่สุด แต่นำไปสู่ความสมดุลของแนชที่ค่อนข้างมั่นคงซึ่งไม่เหมาะสมที่สุดจากมุมมองของสังคม อดัม สมิธ ล้าสมัยแล้ว! ภาพถ่ายประวัติศาสตร์.rf
การค้นพบของ John Nash ถือเป็นการปฏิวัติ อดัม สมิธเชื่อว่าเมื่อสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มกระทำการอย่างเห็นแก่ตัวและแสวงหาผลประโยชน์ของตนเอง สิ่งนี้จะนำไปสู่สภาวะสมดุลที่มีประสิทธิภาพสำหรับกลุ่มนั้น หลักการนี้เรียกว่า “มือที่มองไม่เห็นของตลาด” นี่คือสถานการณ์ที่ทำให้เกิดผลประโยชน์โดยรวมสูงสุด นักเศรษฐศาสตร์มักเรียกสภาวะนี้ว่าสภาวะที่เหมาะสมที่สุดของพาเรโต (สมดุลของพาเรโต) ในความสมดุลของ Pareto การเปลี่ยนแปลงโหมดการกระทำของผู้เล่นคนใดก็ตามจะส่งผลให้ผลลัพธ์โดยรวมแย่ลง อย่างไรก็ตาม เกมที่ผู้เล่นแต่ละคนแสวงหาผลประโยชน์ของตนเองไม่ได้นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของ Pareto พวกเขานำไปสู่ความสมดุลของแนชอย่างไม่สิ้นสุด - สถานการณ์ที่ผู้เล่นคนใดก็ตามจะเปลี่ยนวิธีการกระทำของเขาจะไม่เกิดประโยชน์ จอห์น แนชแสดงให้เห็นว่าเมื่อสมาชิกแต่ละคนของกลุ่มกระทำการเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น สิ่งนี้ไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จของผลประโยชน์สูงสุดของทั้งกลุ่ม
กล่าวอีกนัยหนึ่งความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในท้ายที่สุดไม่ได้นำไปสู่สภาวะที่เหมาะสมที่สุด แต่นำไปสู่ความสมดุลของแนชที่ค่อนข้างมั่นคงซึ่งไม่เหมาะสมที่สุดจากมุมมองของสังคม อดัม สมิธ ล้าสมัยแล้ว!
แต่สิ่งที่ John Nash ทำในสาขาทฤษฎีเกมได้รับการชื่นชมอย่างแท้จริงเฉพาะในยุค 80 เท่านั้น ปัจจุบันทฤษฎีเกมเป็นที่ต้องการอย่างมาก ส่วนใหญ่แล้ววิธีการทฤษฎีเกมจะใช้ในเศรษฐศาสตร์ และน้อยกว่าเล็กน้อยในสังคมศาสตร์อื่นๆ เช่น สังคมวิทยา รัฐศาสตร์ จิตวิทยา จริยธรรม นิติศาสตร์ และอื่นๆ นับตั้งแต่ทศวรรษ 1970 นักชีววิทยาได้นำมาใช้เพื่อศึกษาพฤติกรรมของสัตว์และทฤษฎีวิวัฒนาการ เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับปัญญาประดิษฐ์และไซเบอร์เนติกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความสนใจในตัวแทนอัจฉริยะ
มีความเป็นเลิศ ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “กับดัก: เกิดอะไรขึ้นกับความฝันแห่งอิสรภาพของเรา?”ผลิตโดย BBC, 2550
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาฝ่ายซ้ายมาก แต่ค่อนข้างแม่นยำแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าแนวคิดของแนชมีอิทธิพลต่อโลกทั้งใบมากน้อยเพียงใดและสร้างพื้นฐานของอุดมการณ์ที่เข้มงวด - ลัทธิอนุรักษ์นิยมใหม่ซึ่งครอบงำมาตั้งแต่ประมาณทศวรรษ 1980 ในจิตสำนึกสาธารณะของยุโรปตะวันตก สหรัฐอเมริกา และในสหพันธรัฐรัสเซีย
มีความเห็นพ้องต้องกันเกือบเป็นสากลในโลกคณิตศาสตร์ว่าบทความสั้นที่เขาเขียนเมื่ออายุ 21 ปี ซึ่งเขาได้รับรางวัลโนเบล ถือเป็นความสำเร็จที่น้อยที่สุดของเขา ภาพถ่าย: “math.cnrs.fr”
32 ปีแห่งความบ้าคลั่ง
น่าแปลกที่แทบจะเป็นข้อตกลงสากลในโลกคณิตศาสตร์ว่าบทความสั้นที่เขาเขียนเมื่ออายุ 21 ปี ซึ่งเขาได้รับรางวัลโนเบล ถือเป็นความสำเร็จที่น้อยที่สุดของเขา เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในผู้มีความคิดทางคณิตศาสตร์ที่สร้างสรรค์ที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 หลังจากเขียนหลายหน้าเกี่ยวกับทฤษฎีเกม (ซึ่งอธิบายไว้ข้างต้น) เขาก็หมดความสนใจในหัวข้อนี้และเปลี่ยนมาใช้คณิตศาสตร์ล้วนๆ
ในช่วงทศวรรษที่ 50 John Nash สามารถสร้างความก้าวหน้าขั้นพื้นฐานในด้านคณิตศาสตร์บริสุทธิ์ได้ เขาคิดค้นและพิสูจน์สิ่งที่เรียกว่า "ทฤษฎีบทแนช" ซึ่งเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์สองสาขาที่แตกต่างกัน - เรขาคณิตพีชคณิตและเรขาคณิตเชิงอนุพันธ์ ผลลัพธ์นี้เรียกว่าทฤษฎีบทการฝังของแนช สำหรับงานของเขา เขาใช้การวิเคราะห์สมการเชิงอนุพันธ์ย่อยที่เกิดขึ้นจากปัญหาดังกล่าว ก่อนหน้าเขา ระบบเหล่านี้ถือว่าซับซ้อนเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่พยายามวิเคราะห์ด้วยซ้ำ ความคิดของแนชที่ว่าความหลากหลายใดๆ สามารถอธิบายได้ด้วยสมการพหุนามนั้นเหลือเชื่อในตัวมันเอง อย่างน้อยก็เพราะดูไม่น่าเชื่อเลยที่วัตถุที่หลากหลายจำนวนนับไม่ถ้วนสามารถอธิบายด้วยวิธีที่ค่อนข้างง่ายเช่นนี้ งานนี้ทำให้เขาได้รับรางวัล Abel Prize (เทียบเท่าทางคณิตศาสตร์ของรางวัลโนเบล) ในปี 2558
ความง่ายดายในการที่แนช "ไข" ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ยากลำบากในที่สุดก็เข้ามาในหัวของเขา และเมื่ออายุ 30 ปี เขาก็มุ่งเป้าไปที่ "จอกศักดิ์สิทธิ์" ของคณิตศาสตร์บริสุทธิ์ - สมมติฐานของรีมันน์ สมมติฐานของรีมันน์เป็นหนึ่งในเจ็ด "ปัญหาแห่งสหัสวรรษ" ในทางคณิตศาสตร์ ซึ่งแต่ละปัญหาจะได้รับรางวัล 1 ล้านดอลลาร์จากสถาบันคณิตศาสตร์เคลย์ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ในกรณีที่มีการตีพิมพ์ตัวอย่างแย้งของสมมติฐานของรีมันน์ สภาวิทยาศาสตร์ของสถาบัน Clay Institute มีสิทธิที่จะตัดสินใจว่าตัวอย่างแย้งนี้ถือได้ว่าเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาขั้นสุดท้ายหรือไม่ หรือสามารถกำหนดรูปแบบปัญหาใหม่ในรูปแบบที่แคบลงได้หรือไม่ และเปิดทิ้งไว้ (ในกรณีหลังอาจจ่ายรางวัลส่วนน้อยให้กับผู้เขียนตัวอย่างแย้ง)
สิ่งที่น่าสนใจคือในปี 2559 มีเพียงหนึ่งในเจ็ดปัญหาแห่งสหัสวรรษ (การคาดเดาของPoincaré) เท่านั้นที่ได้รับการแก้ไข (เหรียญ Fields สำหรับการแก้ปัญหานี้มอบให้กับ Grigory Perelman ชาวรัสเซียผู้ปฏิเสธที่จะยอมรับ)
ปัญหาเพียงหนึ่งในเจ็ดของสหัสวรรษ (การคาดเดาของPoincaré) ได้รับการแก้ไขแล้ว: เหรียญ Fields สำหรับการแก้ปัญหานี้ตกเป็นของ Grigory Perelman ชาวรัสเซีย ภาพถ่าย lenta.co
สมมติฐานของรีมันน์ (รวมกับปัญหาส่วนตัวหลายประการที่อธิบายไว้ในหนังสือ) ทำให้แนชพังทลาย เขากำลังทำงานกับปัญหาบางอย่างในทฤษฎีควอนตัมไปพร้อมๆ กัน และภาระงานก็กลายเป็นเรื่องเหลือทน แนช - อัจฉริยะหนุ่มผู้แปลกประหลาด คู่สนทนาของไอน์สไตน์และฟอนนอยมันน์ สามีที่มีความสุขและคุณพ่อยังสาว กะเทยผู้กล้าหาญในยุคของการกลัวคนรักร่วมเพศโดยสิ้นเชิงและเป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่มีแนวโน้มมากที่สุดในรุ่นของเขา - เมื่ออายุ 30 ปีเขาคลั่งไคล้ และในอีกสามทศวรรษข้างหน้าก็จมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของโรคจิตเภทและความหวาดระแวง
การวินิจฉัยที่รุนแรงที่สุดคือโรคจิตเภทแบบหวาดระแวง เขาเร่ร่อนและขอร้อง รับและถอดรหัส "ข้อความจากมนุษย์ต่างดาว" ซ่อนตัวจากหน่วยข่าวกรองที่คาดว่าจะสอดแนมเขา พยายามสถาปนา (และเป็นผู้นำ) รัฐบาลโลก และเร่ร่อนราวกับผีร้ายรอบ ๆ วิทยาเขตของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน เขาเข้าไปในร้านอาหารด้วยเท้าเปล่า เขามีผมสีเข้มยาวประบ่าและมีเคราหนา ใบหน้าของเขาดูตายตัวและตายไป ผู้หญิงรู้สึกหวาดกลัวเป็นพิเศษกับสิ่งนี้ เขามักจะคุยกับเงา และเอาหัวโขกกำแพงเป็นบางครั้ง
นี่คือวิธีที่ Sylvia Nazar อธิบายสภาพของเขาในหนังสือ:
โรงพยาบาล. การรักษาด้วยยาอย่างรุนแรง (การรักษาด้วยอินซูลินที่ทรมานและการฉีด Thorazine) การเร่ร่อนและสถานะของ "มนุษย์ซอมบี้" - ทั้งหมดนี้คือชีวิตของแนชเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามสิบสองปี! 32 ปีแห่งนรกอันบริสุทธิ์สำหรับหนึ่งในจิตใจที่สวยงามที่สุดในโลก แต่โลกวิทยาศาสตร์ไม่ได้หันเหไปจากเขา เขาได้รับโอกาส "ทำงาน" ภายในกำแพงมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน พวกนักศึกษาหัวเราะคิกคักเขา เรียกเขาว่า "ปีศาจ" ที่เร่ร่อนอย่างไร้เหตุผลราวกับผีในกำแพงมหาวิทยาลัย
แล้วปาฏิหาริย์ที่แท้จริงก็เกิดขึ้น
จากหนังสือในปี 2544 ภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Mind โดย Ron Howard พร้อมการแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงรัสเซลล์โครว์และเจนนิเฟอร์คอนเนลลีกลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และได้รับรางวัลออสการ์สี่รางวัล ภาพถ่าย kino-kingdom.com
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา
ในปี 1990 จอห์นแนชกลับมามีสติตามปกติ - เขาผ่านการให้อภัยอย่างน่าทึ่งซึ่งใช้เวลาหลายปี แนชไม่เพียงแต่มีประสบการณ์ด้านสติปัญญาเท่านั้น แต่ยังได้เกิดใหม่ทางจิตวิญญาณด้วย เขากลายเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมมากก่อนที่จะเจ็บป่วย และพยายามสร้างสิ่งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเสียหายหรือถูกทำลายขึ้นมาใหม่อย่างสุดความสามารถ เขาพาผู้หญิงที่เขารักกลับมา อลิเซีย ภรรยาของเขา
รางวัลโนเบลในปี 1994 ภาพยนตร์เรื่อง “A Beautiful Mind” และโด่งดังไปทั่วโลก การเกษียณอายุทางวิทยาศาสตร์ที่สมควรได้รับพร้อมการบรรยายกิตติมศักดิ์และรางวัลใหม่สำหรับงานเมื่อครึ่งศตวรรษก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็มีความกังวลกับลูกชายที่บ้าไปแล้วเหมือนกัน
และที่นี่อัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ของเขาแสดงตัวเองอีกครั้ง - เขาเป็นหนี้การให้อภัยโดยปฏิเสธการใช้ยาตามกฎภายในที่กำหนดสูตรเฉพาะไม่เหมือนใครในการต่อสู้กับความคิดจิตเภทในหัวของเขาเอง เขาเพียงแค่ทดสอบพวกเขาเพื่อหาเหตุผลและเรียนรู้ที่จะไม่ใส่ใจพวกเขามากนัก แต่มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขา - เขามักจะพูดซ้ำ ๆ ว่า "เมื่อคุณกลายเป็นปกติ คุณจะสูญเสียการติดต่อกับจักรวาล ดังนั้นฉันจึงไม่พอใจกับการฟื้นตัว"
จอห์น แนช เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2558 (อายุ 86 ปี) พร้อมกับภรรยาของเขา อลิเซีย แนช (อายุ 83 ปี) จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ คนขับแท็กซี่ที่ทั้งคู่กำลังเดินทางสูญเสียการควบคุมขณะแซงจนชนเข้ากับสิ่งกีดขวางตรงกลาง ผู้โดยสารที่ไม่ได้คาดเข็มขัดทั้งสองคนถูกกระแทกกระเด็นออกไป และแพทย์ที่มาถึงก็แจ้งว่าพวกเขาเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ คนขับแท็กซี่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการบาดเจ็บที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ตามที่พวกเขาพูดว่า: "ตายทันทีกับคนที่คุณรัก" เทพนิยาย ไม่ใช่ชีวิต
อัลเบิร์ต บิคโบฟ
ต้นฉบับนำมาจาก โซนิน ใครดีดเหรียญ และใครดีดกีตาร์...
โอ้ นี่เป็นข่าวที่น่าสนใจ จอห์น แนช หนึ่งในผู้มีส่วนสนับสนุนพื้นฐานให้กับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ เป็นคนแรกที่กำหนดแนวคิดศูนย์กลางของดุลยภาพเชิงกลยุทธ์ในรูปแบบทั่วไป และพิสูจน์การดำรงอยู่ของมันในกรณีทั่วไป ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 1994 ได้รับรางวัลมากที่สุด มีชื่อเสียง - มีชื่อเสียงที่สุด? - รางวัลคณิตศาสตร์ - รางวัลอาเบล นี่คือบทสรุปความสำเร็จของแนช (และเพื่อนนักคณิตศาสตร์ หลุยส์ ไนเรนเบิร์ก) ในสาขาสมการเชิงอนุพันธ์ย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการอธิบายบทบาทของ "ทฤษฎีบทการฝังแนช"
ชีวประวัติของแนชที่มีชื่อเสียง - และยังไม่ได้ตีพิมพ์ในภาษารัสเซีย - "The Beautiful Mind" (ภาพยนตร์สารคดีที่สร้างจากหนังสือสารคดีเรียกว่า "A Beautiful Mind" ในการจัดจำหน่ายของรัสเซีย) เล่าว่าเขาไม่ได้รับเหรียญ Fields เมื่ออายุ 32 ปี (แม้ว่าเขาจะเป็นคนโปรดก็ตาม) และสี่ปีต่อมาเขาถูกฝังทั้งเป็นในฐานะนักวิทยาศาสตร์เนื่องจากอาการป่วยทางจิต ในปี 1994 คณะกรรมการโนเบลมีความกังวลเกี่ยวกับอาการของแนช แต่ตัดสินใจให้รางวัลนี้ และโดยทั่วไปแล้วยี่สิบปีที่ผ่านมาก็ผ่านไปด้วยดี (ฉันเข้าร่วมรายงานของเขาสามฉบับ - เป็นที่ยอมรับ รายงานที่ไม่ชัดเจน - และพูดคุยกับเขาสามครั้งในช่วงเวลานี้ ครั้งหนึ่งเป็นเวลานาน...) แต่คณะกรรมการอาเบลนั้นเจ๋งกว่า - ไม่ดีเลยหรือที่เมื่อพบรางวัล ฮีโร่ครึ่งศตวรรษหลังจากความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์?
________________________________________ ________________________________________ ________
ความคิดเห็นการสะกด:
แน่นอนว่าจอห์น แนชและลูกชายของเขาคือความสุขและความภาคภูมิใจของชนเผ่าสคิซอยด์ของเรา!
(^____^)
และมันก็เจ๋งมากที่เขาสามารถฟื้นจิตใจขึ้นมาได้เพื่อ "รวมตัว" ตัวเองอีกครั้งหลังจากการเดินทางที่ดื้อรั้นไปสู่ศาสตร์แห่งตัวเลขและการเมือง
บางทีเขาอาจมีอินเตอร์นิวรอนส่วนเกินโดยธรรมชาติ และสิ่งนี้ช่วยให้เขาได้รับการชดเชยน้อยลง
นักประสาทวิทยาที่ศึกษาโรคจิตเภทและผลที่ตามมาบางครั้งก็พูดถึงบทบาทที่สำคัญของสสารสีเทาในภูมิภาคส่วนหน้า - โรคจิตเภทโดยทั่วไปทำให้ความสามารถในการสรุปข้อสรุปที่สมดุลถูกต้องและประหยัดเกี่ยวกับการดำรงอยู่ลดลง แต่หากมีเซลล์ประสาทเพียงพอก็จะมี โอกาสน้อยมากที่จะคลานกลับสู่สภาวะปกติ เนื่องจากจิตตานุภาพที่สร้างโดยส่วนหน้า
พ.ศ. 2501 กลายเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับนักวิทยาศาสตร์คนนี้ เนื่องจากอายุ 30 ปีถือเป็นปีที่สำคัญสำหรับนักคณิตศาสตร์ทุกคน นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้ค้นพบสิ่งสำคัญก่อนอายุ 30 ปี และจอห์น แนช แม้ว่านิตยสาร Fortune จะเรียกเขาว่า “ดาวรุ่ง” ของสหรัฐอเมริกาในสาขาคณิตศาสตร์ ล้มเหลวในความพยายามที่จะพิสูจน์ทฤษฎีบทของรีมันน์ การตั้งครรภ์ของภรรยาผมก็เป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นกัน เพื่อนร่วมงานของแนชสังเกตเห็นสิ่งแปลกประหลาดครั้งแรกในงานปาร์ตี้ปีใหม่ นักคณิตศาสตร์คนนี้แต่งตัวเหมือนเด็กทารก ความคิดหลงผิดเกี่ยวกับการข่มเหงและความยิ่งใหญ่เริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย และการคิดกลายเป็นสัญลักษณ์ทางพยาธิวิทยา แนชเริ่มรู้สึกว่ากองกำลังจากนอกโลกส่งข้อความถึงเขาผ่านทางหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส เขาเห็นภาพของเขาในภาพเหมือนของสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 23 โดยอธิบายว่า "23" เป็นเลขเฉพาะที่เขาชื่นชอบ
นักวิทยาศาสตร์ปฏิเสธตำแหน่งอันทรงเกียรติที่มหาวิทยาลัยชิคาโกโดยประกาศว่าเขาเป็นจักรพรรดิแห่งแอนตาร์กติกาแล้ว เขาตัดสินใจว่าเขาถูกติดตามโดยมนุษย์ต่างดาวในอวกาศและองค์กรระหว่างประเทศที่พยายามทำลายอาชีพของเขา เขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้เผยพระวจนะที่ถูกเรียกร้องให้ถ่ายทอดข้อความที่เข้ารหัสจากมนุษย์ต่างดาวสู่ผู้คนโดยมองหาพวกเขาในบทความในหนังสือพิมพ์ธรรมดา ในที่สุด ภรรยาของเขาก็ยอมรับเขาที่คลินิกจิตเวชเอกชนใกล้บอสตัน ซึ่งจอห์น แนชได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภทแบบหวาดระแวง และพยายามรักษาเขาด้วยการผสมผสานระหว่างเภสัชบำบัดและจิตวิเคราะห์
นักวิทยาศาสตร์เรียนรู้อย่างรวดเร็วที่จะแยกแยะอาการ และเขาก็ออกจากโรงพยาบาลได้ใน 50 วันต่อมา จอห์นลาออกจากสถาบันทันทีและไปฝรั่งเศสเพื่อค้นหาที่ลี้ภัยทางการเมืองเพราะเขาเชื่อว่ามีการสมรู้ร่วมคิดลับบางอย่างที่รัฐบาลอเมริกันต่อต้านเขา หลังจากท่องเที่ยวไปทั่วยุโรปเป็นเวลา 9 เดือนทางการฝรั่งเศสก็สามารถส่งตัวเขาไปอเมริกาได้พร้อมผู้ช่วยทูตทหารพิเศษ ญาติถูกบังคับให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอีกครั้งเพียง 2 ปีหลังจากพักรักษาตัวในโรงพยาบาลครั้งแรก
แนชใช้เวลาหกเดือนในโรงพยาบาลและรับการรักษาด้วยอินซูลินเป็นเวลา 1.5 เดือน
หลังจากออกจากโรงพยาบาล อาการของนักวิทยาศาสตร์ก็ดีขึ้นในช่วงสั้นๆ และเขาได้เขียนงานทางวิทยาศาสตร์ชิ้นแรกในรอบ 4 ปี ซึ่งอุทิศให้กับพลศาสตร์ของของไหล
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้า จอห์นก็หนีไปยุโรปอีกครั้ง โดยส่งโปสการ์ดจำนวนมากไปยังครอบครัวและเพื่อนร่วมงานของเขา โดยมีข้อความตัวเลขที่เข้าใจยากคลุมเครือ
นักวิทยาศาสตร์เองก็บรรยายช่วงเวลานี้ของชีวิตของเขาดังนี้:“ ฉันก็ได้ยินเสียงเมื่อฉันป่วยด้วย เหมือนอยู่ในความฝัน ตอนแรกฉันมีความคิดที่หลอนประสาท และจากนั้นเสียงเหล่านี้ก็เริ่มตอบความคิดของฉันเอง และสิ่งนี้ดำเนินต่อไปหลายปี ในที่สุดฉันก็ตระหนักว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความคิดของฉัน ซึ่งเป็นผลผลิตของจิตใต้สำนึกหรือกระแสทางเลือกแห่งจิตสำนึก”
อลิเซีย ลาร์ด ภรรยาของนักคณิตศาสตร์คนนี้ เบื่อหน่ายกับการต่อสู้กับผีที่มองไม่เห็นและผู้ไล่ตามที่อยู่รอบตัวสามีของเธอ จึงหย่าขาดจากเขาในปี 2505 โดยยอมแพ้หลังจากเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลครั้งที่สองไม่ได้ทำให้เกิดผลที่มองเห็นได้ของการฟื้นตัว เธอเลี้ยงดูลูกชายของนักวิทยาศาสตร์ในทางปฏิบัติจริง ๆ ซึ่งได้รับการตั้งชื่อตามพ่อของเขา - จอห์นเช่นเดียวกับคนแรกที่ผิดกฎหมาย ลูกชายคนเล็กยังเลือกอาชีพนักคณิตศาสตร์ด้วย และน่าเสียดายที่สืบทอดโรคจิตเภทของพ่อเขา อย่างไรก็ตาม อลิเซียรู้สึกรับผิดชอบต่อสามีของเธออยู่เสมอ และอาจต้องทนทุกข์ทรมานจากความรู้สึกผิดและหน้าที่ จึงได้ให้ที่พักพิงแก่แนชผู้ไร้บ้านในปี 1970 ที่บ้านของเธอ เกือบ 40 ปีหลังจากการหย่าร้าง ในปี 2544 ทั้งคู่ได้แต่งงานกันอีกครั้ง
John Nash มีอาการทุเลาในระยะสั้นเป็นระยะๆ เท่านั้น ในช่วงเวลาเหล่านี้เขาเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และในที่สุดก็ละทิ้งยารักษาโรคจิตในช่วงทศวรรษที่ 70 ในระหว่างการบรรเทาอาการ เพื่อนๆ จัดให้แนชทำงาน และระหว่างปี 1970 ถึง 1980 นักวิทยาศาสตร์ใช้เวลาทั้งหมดเดินไปตามทางเดินและห้องเรียนของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันและทิ้งการคำนวณและสูตรไว้มากมายบนกระดาน นักเรียนตั้งชื่อเล่นให้ชายประหลาดคนนี้ว่าผี เราควรแสดงความเคารพต่อเพื่อนร่วมงานของ John Nash ผู้ที่ให้การสนับสนุนและความเข้าใจ เนื่องจากชุมชนทางคณิตศาสตร์มีความอดทนต่อผู้ที่มีความพิการทางจิตและมีสิ่งแปลกประหลาดมาโดยตลอด จำนิวตันหรือไอน์สไตน์ไว้ได้ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 80 อาการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ได้หายไปแล้ว และสร้างความประหลาดใจให้กับเพื่อนร่วมงานของเขา Nash ค่อยๆ เริ่มกลับไปสู่คณิตศาสตร์ที่ "ยิ่งใหญ่" ตามคำพูดของจอห์นเอง เขาตัดสินใจที่จะไม่ฟังเสียงอีกต่อไปและคิดอย่างมีเหตุผลมากขึ้น
แน่นอนว่าจอห์นแนชไม่ได้เอาชนะความเจ็บป่วยทางจิต แต่เขาทำบางสิ่งที่มากกว่านั้นโดยต้องใช้ความพยายามอย่างมากของแต่ละบุคคล - เขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน
โดยทั่วไปแล้ว การที่เขาปรากฏตัวในชุดเด็กทารกนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ นี่เป็นการย้อนกลับอย่างรุนแรงซึ่งมีลักษณะถดถอยไปสู่ความหลากหลายในมหาสมุทร ทารกมีอันตรายมากกว่าแอกโซลอเติล เนื่องจากพวกมันทำอะไรไม่ถูกมากกว่า พวกมันจึงไม่มีฟันด้วยซ้ำ และไม่มีความสามารถในการงอกอุ้งเท้าขึ้นมาใหม่หากมีอะไรเกิดขึ้น
ฉันมีช่วงเวลาที่หลังจากการหายใจแบบโฮโลโทรปิก ฉันฝันถึงมนุษย์ต่างดาวผสมกับลูกไก่ที่ตายแล้วและทารกที่ตายแล้วซึ่งมีระดับการทำแท้งต่างกัน คุณสามารถหาโพสต์นี้ได้จากที่ไหนสักแห่งใน LiveJournal
มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิต การเรียนทำให้ฉันกดดันมาก
จิตใจต้องการถดถอยจริงๆ เพิ่ม RAM ที่ไม่เพียงพอ การตั้งค่า "รีเซ็ต" และ "ล้างคุกกี้" :)
สัญลักษณ์และตำนานบางทีอาจเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับเราที่เป็นโรคจิตเภทเพราะมันช่วยให้เราดูดซับข้อมูลจำนวนมาก (สำคัญ) แต่ในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงความสับสนในหัวโครงสร้างความสับสนวุ่นวาย (คนทั่วไปไม่ชอบความสุ่ม มากเกินไป และอาการจิตเภทมักจะเป็นโรคจิตเภท พวกเขา "เห็นความเชื่อมโยงที่ไม่มีเลย" สถิติและทฤษฎีความน่าจะเป็นช่วยเราได้ พวกมันทำให้เรายอมรับการสุ่มและความโกลาหลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของลำดับที่สูงกว่า แม้ว่าด้วยเหตุผลบางประการก็ตาม ไม่ช่วยแนชนักคณิตศาสตร์ เนื่องจากการพิจารณาผิดวิสัยส่วนบุคคลบางอย่าง)
เราเป็นคนโบราณมากในบางสิ่งบางอย่าง เมื่อพูดถึง "ผู้หญิงฉลาดดึกดำบรรพ์" Drobyshevsky อธิบายวิธีการทำงานร่วมกับโลกดังนี้:
ชีวิตสมัยใหม่แตกต่างอย่างมากจากชีวิตยุคหินเก่า ตอนนี้คนเราจะได้รับทุกสิ่งที่พร้อมแล้ว ทั้งอาหาร สิ่งของ และข้อมูล คนที่มีอารยธรรมสมัยใหม่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสร้างเครื่องมือจากวัสดุธรรมชาติได้ ในกรณีที่ดีที่สุด บุคคลจะรวมองค์ประกอบสำเร็จรูปเข้าด้วยกัน เช่น การติดใบขวานเข้ากับด้ามขวาน แต่เขาไม่ได้ทำขวานตั้งแต่แรกเริ่ม - จากการขุดแร่และตัดไม้สำหรับด้ามขวาน (ตัดน้อยลงด้วยเครื่องมือที่ทำขึ้นเอง) คนสมัยใหม่ไม่ถือฟืน ไม่เห็นฟืน ไม่ขุดแร่ ไม่ตีเหล็ก ดังนั้นเขาจึงไม่มีอะไรเลยในแง่ของสมอง
ความเชี่ยวชาญไม่ใช่ปัญหาของศตวรรษที่ 20 อย่างที่ใครๆ ได้ยินกันบ่อยๆ ปรากฏในช่วงต้นยุคหินใหม่ โดยมีการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ครั้งแรก ซึ่งทำให้สามารถเลี้ยงผู้ที่มีส่วนร่วมในอย่างอื่นนอกเหนือจากการผลิตอาหารได้
ช่างปั้นหม้อ ช่างทอผ้า อาลักษณ์ นักเล่าเรื่อง และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ปรากฏตัวขึ้น บางคนเริ่มรู้วิธีสับฟืน บางคนเริ่มรู้วิธีจุดไฟ และอื่นๆ บางคนทำโจ๊ก
อารยธรรมได้ก้าวกระโดดอย่างทรงพลังและปริมาณข้อมูลทั่วไปก็เพิ่มขึ้นอย่างเหลือเชื่อ แต่ความรู้ในหัวของแต่ละคนลดลงอย่างเห็นได้ชัด
อารยธรรมมีความซับซ้อนมาก โดยหลักการแล้วบุคคลหนึ่งคนไม่สามารถใส่ข้อมูลทั่วไปลงในหัวได้แม้แต่น้อย โดยปกติแล้วเขาไม่พยายาม เขาไม่จำเป็นต้องพยายาม
ความขัดแย้งที่ Drobyshevsky ระบุไว้นั้นน่าสังเกต: ยิ่งมีเซลล์ประสาทสวิตช์มากเท่าใด การเชื่อมต่อก็จะยิ่งมากขึ้น สัญญาณก็จะยิ่งเคลื่อนที่ช้าลงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ยิ่งสัญญาณช้าลงเท่าใด บุคคลก็ยิ่ง "ช้าลง" ในการสรุปมากขึ้นเท่านั้น ข้อสรุปเหล่านี้ก็จะยิ่งแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น
หากเราใช้มันในลักษณะโรคจิตเภท การวิเคราะห์พฤติกรรมอย่างรวดเร็วจากนั้นสถานการณ์ก็ตรงกันข้าม - การเชื่อมต่อจำนวนเล็กน้อยช่วยให้คุณ "กระโดด" จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็วโดยผ่าน "จุดควบคุม" ระดับกลางและระบบราชการที่น่าเบื่อและน่าเบื่อของมโนธรรม
และอีกจุดสำคัญ ตำนาน มันเป็นตำนานอย่างแม่นยำ บางทีด้วยตัวเลข โหราศาสตร์ และภาษาเชิงสัญลักษณ์ ที่มีบทบาทในการช่วยจำในการจดจำข้อมูลจำนวนมาก และกระตือรือร้นที่จะชดเชยการขาดความแม่นยำ
7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7 สีรุ้ง Ennead of the Gods ของอียิปต์ ไตรแกรมและหกเหลี่ยม
ตอนนี้เป็นโรคจิตเภท
และแล้ว(บางที)ก็เป็นเพียงเครื่องช่วยจำ
อย่างแน่นอน เรื่องเล่าในตำนานทำให้สามารถจัดโครงสร้างข้อมูลเกี่ยวกับโลกได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้โลกยังมีชีวิตชีวาและมีชีวิตชีวา - และค่อนข้างก้าวร้าวอย่างโปร่งใส
โรคจิตเภทที่หวาดระแวงไม่สามารถป้องกันมนุษย์ดึกดำบรรพ์จากการมีชีวิตรอดในสภาพที่เขาเกิดได้
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเหตุผลที่เชื่อได้ว่าในช่วงเวลาใกล้ชามานิก เธอสามารถช่วยจัดระเบียบการเชื่อมต่อทางสังคมและจดจำความสัมพันธ์ในครอบครัวผ่านโทเท็มของบรรพบุรุษ โดยหลีกเลี่ยงการร่วมประเวณีระหว่างพี่น้องโดยสายเลือดของมารดา หากเป็นไปได้
ฉันมีความสงสัยว่าถึงแม้ตอนนี้สำหรับบางคน สิ่งนี้ "ไม่หรูหรา แต่เป็นสิ่งจำเป็น"
อย่างไรก็ตาม แนวคิดที่คล้ายกันนี้มักแสดงออกมาโดยนักจิตวิเคราะห์ของ Lacanian ที่อยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า
ตัวอย่างเช่น Dmitry Olshansky ชื่นชมอย่างมากถึงความสำคัญของความเพ้อในการจัดโครงสร้างภาพทางจิตของโลกที่ "อธิบายได้ทั้งหมด" ที่ซึ่งคำพูดและความเป็นจริงเกิดขึ้นพร้อมกัน - และไม่มี "ความเป็นจริง - อุบัติเหตุความเป็นจริงเกินขอบเขตของภาษา" ”