ดินปืนถูกประดิษฐ์ขึ้นที่ไหนและเมื่อไหร่? ผงไร้ควัน: ประวัติความเป็นมาของการประดิษฐ์ องค์ประกอบ การใช้
ไม่ไกลจาก ชายฝั่งตะวันออกมีหุบเขาใต้น้ำในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ มันลึกมากจนคุณสามารถใส่ยอดเขาเอเวอเรสต์เข้าไปได้ และยังมีเวลาเหลืออีกประมาณสามกิโลเมตร ความมืดที่ไม่อาจทะลุทะลวงได้ปกคลุมอยู่ที่นั่นและกระทำการ ความแข็งแกร่งที่เหลือเชื่อกดดัน ดังนั้นใครๆ ก็สามารถจินตนาการได้อย่างง่ายดายว่าร่องลึกบาดาลมาเรียนาเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ไม่เป็นมิตรมากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม แม้จะทั้งหมดนี้ ชีวิตก็ยังคงดำรงอยู่ที่นั่น - และไม่ใช่แค่แทบจะไม่รอดเท่านั้น แต่ยังเจริญรุ่งเรืองอีกด้วย ต้องขอบคุณระบบนิเวศที่เต็มเปี่ยมได้ปรากฏขึ้นที่นั่น
ชีวิตในระดับความลึกนั้นยากมาก - ความหนาวเย็นชั่วนิรันดร์ ความมืดที่ไม่อาจเจาะเข้าไปได้ และความกดดันมหาศาลจะไม่ยอมให้คุณอยู่ในความสงบ สิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่น ปลาตกเบ็ด จะสร้างแสงขึ้นมาเองเพื่อดึงดูดเหยื่อหรือคู่ผสม วัตถุอื่นๆ เช่น หัวค้อน ได้พัฒนาดวงตาขนาดใหญ่เพื่อจับแสงได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเข้าถึงระดับความลึกอันเหลือเชื่อ สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ พยายามซ่อนตัวจากทุกคนและเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้พวกมันจึงกลายเป็นโปร่งแสงหรือสีแดง (สีแดงดูดซับแสงสีน้ำเงินทั้งหมดที่พยายามหาทางไปที่ด้านล่างของโพรง)
ป้องกันความเย็น
นอกจากนี้ยังเป็นที่น่าสังเกตว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดอาศัยอยู่ที่ด้านล่าง ร่องลึกบาดาลมาเรียนาจำเป็นต้องรับมือกับความหนาวเย็นและความกดดัน การป้องกันจากความเย็นนั้นมาจากไขมันที่สร้างชั้นเซลล์ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต หากไม่ตรวจสอบกระบวนการนี้ เยื่อหุ้มเซลล์อาจแตกและหยุดการปกป้องร่างกาย เพื่อต่อสู้กับสิ่งนี้ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ได้รับไขมันไม่อิ่มตัวจำนวนมหาศาลในเยื่อหุ้มของพวกมัน ด้วยความช่วยเหลือของไขมันเหล่านี้เมมเบรนจะยังคงอยู่ในสถานะของเหลวเสมอและไม่แตก แต่นี่จะเพียงพอที่จะเอาชีวิตรอดในหนึ่งในสถานที่ที่ลึกที่สุดในโลกหรือไม่?
ร่องลึกบาดาลมาเรียนาเป็นอย่างไร
ร่องลึกบาดาลมาเรียนามีรูปร่างเหมือนเกือกม้าและมีความยาว 2,550 กิโลเมตร ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก มหาสมุทรแปซิฟิกและมีความกว้างประมาณ 69 กิโลเมตร จุดที่ลึกที่สุดของความหดหู่ถูกค้นพบใกล้กับทางใต้สุดของหุบเขาในปี พ.ศ. 2418 - ความลึกอยู่ที่ 8184 เมตร เวลาผ่านไปนานมากแล้วและด้วยความช่วยเหลือของเครื่องสะท้อนเสียงก้องได้รับข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้น: ปรากฎว่าจุดที่ลึกที่สุดยังคงมีอยู่ ความลึกที่มากขึ้น, 10994 เมตร. มันถูกตั้งชื่อว่า "Challenger Deep" เพื่อเป็นเกียรติแก่เรือที่ทำการวัดครั้งแรก
การแช่ตัวของมนุษย์
อย่างไรก็ตามเวลาผ่านไปประมาณ 100 ปีนับตั้งแต่ช่วงเวลานั้น - และเป็นครั้งแรกเท่านั้นที่คน ๆ หนึ่งจมดิ่งลงสู่ความลึกเช่นนี้ ในปี 1960 Jacques Piccard และ Don Walsh ออกเดินทางในตึกระฟ้า Trieste เพื่อพิชิตความลึกของร่องลึกบาดาลมาเรียนา ตรีเอสเตใช้น้ำมันเบนซินเป็นเชื้อเพลิงและโครงสร้างเหล็กเป็นบัลลาสต์ ตึกใต้น้ำใช้เวลา 4 ชั่วโมง 47 นาที ลึกถึง 10,916 เมตร ตอนนั้นเองที่ความจริงที่ว่าชีวิตยังคงมีอยู่ในระดับความลึกดังกล่าวได้รับการยืนยันเป็นครั้งแรก พิการ์ดรายงานว่าเขาเห็นแล้ว” ปลาแบน” แม้ว่าในความเป็นจริงปรากฎว่าเขาสังเกตเห็นปลิงทะเลเท่านั้น
ใครอาศัยอยู่ที่ก้นมหาสมุทร?
อย่างไรก็ตามไม่เพียงเท่านั้น ปลิงทะเลจะอยู่ที่ด้านล่างของภาวะซึมเศร้า สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดใหญ่ที่อาศัยอยู่ร่วมกับพวกมันเรียกว่า foraminifera พวกมันคืออะมีบาขนาดยักษ์ที่สามารถเติบโตได้ยาวได้ถึง 10 เซนติเมตร ภายใต้สภาวะปกติ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะสร้างเปลือกแคลเซียมคาร์บอเนต แต่ที่ด้านล่างของร่องลึกบาดาลมาเรียนา ซึ่งมีความดันมากกว่าบนพื้นผิวหลายพันเท่า แคลเซียมคาร์บอเนตจะละลาย ซึ่งหมายความว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต้องใช้โปรตีน โพลีเมอร์อินทรีย์ และทรายเพื่อสร้างเปลือกของพวกมัน นอกจากนี้ ที่ด้านล่างของร่องลึกบาดาลมาเรียนายังมีกุ้งและสัตว์จำพวกครัสเตเชียนอื่นๆ ที่รู้จักกันในชื่อแอมฟิพอดอีกด้วย แอมฟิพอดที่ใหญ่ที่สุดมีลักษณะเหมือนเผือกเผือกขนาดยักษ์ และสามารถพบได้ในชาเลนเจอร์ดีพ
อาหารที่อยู่ด้านล่าง
เมื่อพิจารณาว่าแสงแดดส่องไม่ถึงก้นร่องลึกบาดาลมาเรียนา จึงเกิดคำถามขึ้นอีกว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้กินอะไรเป็นอาหาร? แบคทีเรียสามารถอยู่รอดได้ในระดับความลึกดังกล่าวเนื่องจากพวกมันกินมีเทนและซัลเฟอร์ที่โผล่ออกมาจากเปลือกโลก และสิ่งมีชีวิตบางชนิดกินแบคทีเรียเหล่านี้ แต่หลายคนพึ่งพาสิ่งที่เรียกว่า "หิมะทะเล" ซึ่งเป็นเศษซากเล็กๆ ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นผิวด้านล่าง หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุดและแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดคือซากวาฬที่ตายแล้ว ซึ่งสุดท้ายก็ไปจบลงที่พื้นมหาสมุทร
ปลาในร่องลึก
แต่แล้วปลาล่ะ? ปลาที่ลึกที่สุดในร่องลึกบาดาลมาเรียนาถูกค้นพบในปี 2014 ที่ระดับความลึก 8143 เมตรเท่านั้น ชนิดย่อยสีขาวน่ากลัวที่ไม่รู้จักของ Liparidae ที่มีครีบเหมือนปีกกว้างและหางเหมือนปลาไหลถูกบันทึกหลายครั้งด้วยกล้องที่พุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของที่ลุ่ม อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าความลึกนี้น่าจะเป็นขีดจำกัดของบริเวณที่ปลาสามารถอยู่รอดได้ ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีปลาอยู่ที่ก้นร่องลึกบาดาลมาเรียนา เนื่องจากสภาพที่นั่นไม่สอดคล้องกับโครงสร้างร่างกายของสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดต่างๆ
ดินปืนเป็นส่วนผสมที่เป็นของแข็งที่ระเบิดได้ของเศษถ่านหิน กำมะถัน และดินประสิว เมื่อส่วนผสมได้รับความร้อน ซัลเฟอร์จะติดไฟก่อน (ที่ 250 องศา) จากนั้นจึงจุดไฟดินประสิว ที่อุณหภูมิประมาณ 300 องศาดินประสิวเริ่มปล่อยออกซิเจนเนื่องจากเกิดกระบวนการออกซิเดชั่นและการเผาไหม้ของสารที่ผสมอยู่ ถ่านหินเป็นตัวแทนของเชื้อเพลิงที่ส่งมอบ จำนวนมากก๊าซอุณหภูมิสูง ก๊าซเริ่มขยายตัวด้วยแรงมหาศาลไปในทิศทางต่างๆ ทำให้เกิดแรงกดดันอย่างมากและทำให้เกิดการระเบิด ชาวจีนเป็นคนแรกที่ประดิษฐ์ดินปืน มีข้อสันนิษฐานว่าพวกเขาและชาวฮินดูค้นพบดินปืนเมื่อ 1.5 พันปีก่อนการประสูติของพระคริสต์ ส่วนประกอบหลักของดินปืนคือดินประสิวซึ่งมีเพียงพอค่ะ จีนโบราณ- ในพื้นที่ที่อุดมไปด้วยด่าง จะพบในรูปแบบดั้งเดิมและดูเหมือนเกล็ดหิมะที่ตกลงมา ดินประสิวมักใช้แทนเกลือ เมื่อเผาดินประสิวด้วยถ่านหิน ชาวจีนมักจะสังเกตเห็นแสงวาบ แพทย์ชาวจีน Tao Hung-ching ซึ่งอาศัยอยู่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 5 - ต้นศตวรรษที่ 6 ได้บรรยายถึงคุณสมบัติของดินประสิวเป็นครั้งแรกและเริ่มใช้เป็นยา นักเล่นแร่แปรธาตุมักใช้ดินประสิวในการทดลอง
ตัวอย่างดินปืนตัวอย่างแรกๆ ประดิษฐ์ขึ้นโดยนักเล่นแร่แปรธาตุชาวจีน ซุน ซี่-เหมียว ในศตวรรษที่ 7 หลังจากเตรียมส่วนผสมของดินประสิว กำมะถัน และไม้โลคัส แล้วนำไปอุ่นในเบ้าหลอม เขาก็ได้รับเปลวไฟที่แรงอย่างไม่คาดคิด ดินปืนที่เกิดขึ้นยังไม่มีเอฟเฟกต์การระเบิดมากนัก จากนั้นนักเล่นแร่แปรธาตุคนอื่น ๆ ที่สร้างส่วนประกอบหลักของมันได้รับการปรับปรุงองค์ประกอบของดินปืน: โพแทสเซียมไนเตรต, ซัลเฟอร์และถ่านหิน เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่ดินปืนถูกนำมาใช้เพื่อก่อความไม่สงบ เรียกว่า "โฮเปา" ซึ่งแปลว่า "ลูกไฟ" เครื่องขว้างปากระสุนปืนที่ติดไฟซึ่งเมื่อระเบิดอนุภาคที่ลุกไหม้จะกระจัดกระจาย ชาวจีนประดิษฐ์ประทัดและดอกไม้ไฟ แท่งไม้ไผ่ที่เต็มไปด้วยดินปืนถูกจุดไฟและพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ต่อมาเมื่อคุณภาพของดินปืนดีขึ้นจึงเริ่มถูกนำมาใช้เป็นวัตถุระเบิดในทุ่นระเบิดและ ระเบิดมือแต่ยังคง เป็นเวลานานไม่สามารถทราบได้ว่าจะใช้พลังของก๊าซที่เกิดจากการเผาไหม้ของดินปืนเพื่อขว้างลูกกระสุนปืนใหญ่และกระสุนได้อย่างไร
จากประเทศจีนความลับในการทำดินปืนมาถึงชาวอาหรับและมองโกล เมื่อต้นศตวรรษที่ 13 ชาวอาหรับซึ่งมีทักษะด้านพลุดอกไม้ไฟสูงสุดได้จัดดอกไม้ไฟที่มีความงามอันน่าทึ่ง จากชาวอาหรับ ความลับในการทำดินปืนมาถึงไบแซนเทียมและจากนั้นก็ไปยังส่วนอื่นๆ ของยุโรป ในปี 1220 นักเล่นแร่แปรธาตุชาวยุโรปชื่อ Mark the Greek ได้เขียนสูตรดินปืนไว้ในบทความของเขา ต่อมา Roger Bacon ได้เขียนเกี่ยวกับองค์ประกอบของดินปืนค่อนข้างแม่นยำ เขาเป็นคนแรกที่กล่าวถึงดินปืน แหล่งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยุโรป. อย่างไรก็ตามอีก 100 ปีผ่านไปจนกระทั่งสูตรดินปืนไม่เป็นความลับอีกต่อไป
ตำนานเชื่อมโยงการค้นพบดินปืนครั้งที่สองกับชื่อของพระสงฆ์ Berthold Schwartz ในปี 1320 นักเล่นแร่แปรธาตุในขณะที่ทำการทดลองถูกกล่าวหาว่าผสมดินประสิว ถ่านหิน และกำมะถันโดยไม่ได้ตั้งใจ และเริ่มทุบมันในครก และประกายไฟที่ลอยมาจากเตากระทบกับปูนทำให้เกิดการระเบิดซึ่งก็คือ การค้นพบดินปืน Berthold Schwarz ให้เครดิตกับแนวคิดในการใช้ผงก๊าซเพื่อขว้างก้อนหินและประดิษฐ์หนึ่งในกลุ่มแรกในยุโรป ชิ้นส่วนปืนใหญ่- อย่างไรก็ตามเรื่องราวของพระภิกษุนั้นน่าจะเป็นเพียงตำนานเท่านั้น ในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 มีถังทรงกระบอกปรากฏขึ้นเพื่อยิงกระสุนและลูกกระสุนปืนใหญ่ อาวุธแบ่งออกเป็นปืนพกและปืนใหญ่ ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 14 ถังลำกล้องขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นจากเหล็กโดยมีจุดประสงค์เพื่อยิงลูกกระสุนปืนใหญ่หิน และปืนใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดที่เรียกว่าปืนใหญ่ก็หล่อจากทองสัมฤทธิ์
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 14 มีถังทรงกระบอกปรากฏขึ้นเพื่อยิงกระสุนและลูกกระสุนปืนใหญ่ อาวุธแบ่งออกเป็นปืนพกและปืนใหญ่ ในตอนท้ายของศตวรรษที่ 14 ถังลำกล้องขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นจากเหล็กโดยมีจุดประสงค์เพื่อยิงกระสุนปืนใหญ่หิน และปืนใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดที่เรียกว่าปืนใหญ่ก็หล่อจากทองสัมฤทธิ์
แม้ว่าดินปืนจะถูกประดิษฐ์ขึ้นในยุโรปในเวลาต่อมา แต่ก็เป็นชาวยุโรปที่สามารถได้รับประโยชน์สูงสุดจากการค้นพบนี้ ผลที่ตามมาของการแพร่กระจายของดินปืนไม่เพียงแต่การพัฒนาอย่างรวดเร็วของกิจการทหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความก้าวหน้าในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย ความรู้ของมนุษย์และในสาขากิจกรรมของมนุษย์ เช่น เหมืองแร่ อุตสาหกรรม วิศวกรรมเครื่องกล เคมี ขีปนาวุธ และอื่นๆ อีกมากมาย ปัจจุบัน การค้นพบนี้ถูกนำมาใช้ในเทคโนโลยีจรวด ซึ่งใช้ดินปืนเป็นเชื้อเพลิง พูดได้อย่างปลอดภัยว่าการประดิษฐ์ดินปืนถือเป็นความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติ
ผง
แม้ว่าตัวอาวุธเองจะเป็นเครื่องมือในการทำสงคราม แต่ความเสียหายที่แท้จริงนั้นเกิดจากกระสุน การปรับปรุงของพวกเขานำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในการออกแบบอาวุธปืนดังนั้นจึงจะมีประโยชน์ที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้โดยย่อ
คำว่า "กระสุน" หรือในภาษาอังกฤษ - "กระสุน" สามารถทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่น่าตื่นเต้นมากกว่าความหมายดั้งเดิมโดยนัย คำนี้เป็นภาษาฝรั่งเศส "Fammunity" หรือ "la munition" และรากศัพท์ภาษาละตินที่มาจากคำว่า "munire" แปลว่า "จัดหา" ในตอนแรกคำนี้ใช้กับหุ้นใดๆ แต่ขอบเขตของหุ้นก็ลดลงในไม่ช้า วัตถุถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มหลัก: จรวด, กระสุนปืน และสุดท้ายคือวิธีการจุดชนวนประจุ
สิ่งประดิษฐ์ที่จุดประกายการค้นพบอันยิ่งใหญ่ในด้านอาวุธปืนก็คือดินปืน ก่อนที่จะมาถึง ขีปนาวุธทั้งหมดถูกขว้างโดยใช้เครื่องมือกล เช่น เครื่องถ่วง สปริง หรือเชือกบิด และมีเพียงความสามารถในการยิงขีปนาวุธโดยใช้ สารเคมีเปิดช่องทางใหม่สำหรับการวิจัย ปัจจุบัน ดินปืนเป็นเพียงวิธีหนึ่งในการเคลื่อนที่โดยใช้ก๊าซขยายตัวเท่านั้น แต่ครั้งหนึ่งเมื่อสร้างอาวุธปืน ส่วนผสมที่ค่อนข้างง่ายก็เพียงพอต่อความต้องการเร่งด่วนทั้งหมด เช่นเดียวกับที่มักเกิดขึ้น ด้วยการพัฒนาแนวคิดที่ช้า ผู้ประดิษฐ์ดินปืนก็สูญหายไปพร้อมกับหลักฐานที่ขัดแย้งกันมากมาย
เป็นเวลาหลายปีที่ชาวจีนได้รับเครดิตในการประดิษฐ์ดินปืน โดยส่วนใหญ่อิงตามคำกล่าวอ้างของมิชชันนารีนิกายเยซูอิตในศตวรรษที่ 17 และ 18 คนเหล่านี้มีความเคารพอย่างมากต่อโบราณวัตถุของวัฒนธรรมจีน แต่มีความรู้ที่แท้จริงน้อยมากในด้านที่อยู่ระหว่างการพิจารณา
การแปลหลักฐานตามตัวอักษรพูดถึงฟ้าร้องและฟ้าผ่าที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่คำอธิบายที่เกินจริงเหล่านี้พบได้ดีที่สุดโดยใช้ "ไฟกรีก" และส่วนผสมของเพลิงไหม้ที่คล้ายกัน ถ้าดินปืนเป็นที่รู้จักในประเทศจีนในคริสตศักราช 85 e. ตามที่ Müller ผู้เขียน “บทความเกี่ยวกับปืนใหญ่” ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1780 กล่าวไว้ ยังไม่ชัดเจนว่าทำไมจึงไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดอีกต่อไปเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้ในแหล่งที่มาของยุคนั้น ในปี 1246 ในช่วงสงครามอันยาวนานระหว่างจีนและมองโกล Giovanni de Plan Carin คนหนึ่งส่งไปยังสถานทูตไปยัง Great Khan อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับอาวุธที่ใช้ในเวลานั้น (เขาพูดถึงเครื่องจักรกล "ปืนใหญ่" เช่น ballistas และสลิงขนาดยักษ์เกี่ยวกับ "ไฟกรีก" และอื่น ๆ ) แต่ไม่ได้พูดอะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่ดูเหมือนดินปืน นักเดินทางคนอื่นๆ เช่น มาร์โค โปโล ก็ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน
ชาวอาหรับยังได้รับการยกย่องในเรื่องการใช้ดินปืนก่อนชาวยุโรปมาก่อน แต่พันเอกไฮม์ในหนังสือของเขาเรื่อง The Origin of Artillery ได้เล่าถึงต้นกำเนิดของนิทานเรื่องนี้ถึงไมเคิล แคสซิล บรรณารักษ์ชาวสเปนในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่ Escurial ผู้แปลต้นฉบับแบบตะวันออก ส่วนซึ่งปัจจุบันแปลว่า " รถใหญ่โดยปล่อยลูกบอลน้ำมันเข้าไปในหอคอย” Kassil อ่านดังนี้: “เครื่องจักรที่หลังจากพ่นไฟ ก็ได้ดึงน้ำมันและลูกกระสุนปืนใหญ่ลงมาบนหอคอย” ในกรณีหลังนี้ มีการใช้ปืนใหญ่โดยนัย แต่ต้นฉบับหมายถึงเฉพาะปืนใหญ่กลที่ขว้างลูกบอลที่ทำด้วยวัตถุก่อความไม่สงบ
ส่วนผสมหลักสามประการของดินปืนเป็นที่รู้จักมานานแล้วและแม้กระทั่งใช้ในส่วนผสมด้วยซ้ำ แต่หลังจากเชี่ยวชาญกระบวนการกลั่นดินปืนแล้วเท่านั้น ส่วนผสมนี้จึงได้รับแรงระเบิดที่จำเป็นในการขว้างกระสุนปืน ดินปืนดูเหมือนจะไม่ได้เป็นผลมาจากการประดิษฐ์ที่เฉพาะเจาะจง แต่เป็นกระบวนการที่ยาวนาน ไฟรูปแบบต่างๆ ที่ใช้ในการสู้รบเป็นผลมาจากการทดลองกับส่วนผสมต่างๆ มากมาย ซึ่งในจำนวนนี้เกือบจะมีถ่านและกำมะถันอยู่ด้วย เป็นเรื่องแปลกมากที่ไม่มีการเอ่ยถึงดินประสิวในช่วงก่อนศตวรรษที่ 13
สูตรอาหารมากมายยังคงอยู่ทั้งจากยุคกรีกและจากสูตรต่อๆ ไป แต่สูตรอาหารเหล่านี้ล้วนละเลยดินประสิว หากกล่าวถึงเลยก็จะมีเฉพาะในสารผสมที่มีพลังการระเบิดน้อยเท่านั้น ดินประสิวไม่มีคุณค่าในบริเวณนี้จนกว่าจะสามารถปรับปรุงคุณภาพได้ อย่างไรก็ตาม ประมาณกลางศตวรรษที่ 13 โรเจอร์ เบคอน เสนอวิธีการทำให้สารนี้บริสุทธิ์ ในบทความของเขา “Epistolae de Secretis Operibus”1 ซึ่งอุทิศให้กับบิชอปแห่งปารีส วิลเลียมแห่งโอแวร์ญ เขาบรรยายถึงกระบวนการผสมดินประสิวและกำมะถันกับสารอื่น เพื่อว่าเมื่อส่วนผสมนี้ถูกจุดไฟ “toniruum et coruscationem” ( ฟ้าร้องและฟ้าผ่า) สามารถรับได้
เมื่อตระหนักว่าข้อมูลทั้งหมดนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับบุคคลธรรมดา เบคอนจึงเขียนในลักษณะที่ไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับความเข้าใจของผู้ไม่ได้ฝึกหัด ผู้เชี่ยวชาญได้แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วพระภิกษุผู้รอบรู้มีความลับมากมายซึ่งปัจจุบันเป็นที่รู้จักและใช้เพื่อขยายความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ในสมัยแรกๆ ถือเป็นการดีที่สุดที่จะรักษาพลังอันทรงพลังที่เกี่ยวข้องกับความรู้ลับนี้ให้ห่างจากผู้ไม่มีการศึกษาหรือจากผู้ที่อาจใช้มันอย่างไม่ระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม cryptograms ละตินเหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้วและความลับก็ถูกเปิดเผยเรื่องราวที่ชาวจีน กรีก อาหรับ หรืออินเดียรู้จักดินปืนในสมัยโบราณนั้นอาจถูกละเลยเนื่องจากขาดความรู้ในหมู่คนเหล่านี้เกี่ยวกับส่วนผสมที่สำคัญที่สุดของมัน - ดินประสิวบริสุทธิ์ นักเขียนโบราณหลายคนได้รวบรวมรายชื่อสูตรอาหารเพื่อให้ได้มา
ชื่อนี้เป็นเพียงนามแฝงของผู้เขียนเท่านั้น เนื่องจากไม่มีพลเมืองที่แท้จริงของกรีซคนใดเคยเรียกตัวเองว่าชาวกรีก นอกจากนี้ การแก้ไขและการแทรกจำนวนมากในต้นฉบับยังแสดงให้เห็นว่าการแก้ไขนั้นยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เวลานาน.
สันนิษฐานได้ว่าสูตรอาหารเหล่านี้ซึ่งสืบมาจากยุคที่แตกต่างกันสามยุคได้รับการแปลจากภาษาอาหรับโดยชาวสเปนบางคน แต่ต่อมาเสริมด้วยส่วนแทรกที่กล่าวถึงดินประสิวซึ่งไม่ได้มีอายุย้อนกลับไปถึงปี 1225 อันที่จริงสูตรอาหารบางสูตรมีอายุย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 8 แต่มีเพียงสิบสี่สูตรเท่านั้นที่เหมาะสำหรับวัตถุประสงค์ทางทหาร ในจำนวนนี้ 9 ประการเกี่ยวข้องกับเพลิงไหม้ 1 ประการเกี่ยวข้องกับดอกไม้ไฟ และ 4 ประการเกี่ยวกับจรวดและประทัด สี่สูตรสุดท้ายดึงดูดความสนใจ เนื่องจากมีเพียงส่วนประกอบใหม่เท่านั้นคือ ดินประสิว และสองสูตรมีส่วนประกอบของดินปืนทั้งสามอย่าง ได้แก่ ดินประสิว ถ่าน และกำมะถัน
สูตรที่ 33 อธิบายวิธีการยิงจรวด และสูตรที่ 13 อธิบายวิธีทำประทัด กำมะถันหนึ่งส่วน ถ่านสองส่วน และดินประสิวหกส่วนต้องถูกบดรวมกันบนแผ่นหินอ่อน
ตามข้อมูลที่มีอยู่ บราเดอร์เฟอราริอุสหรือเอฟเฟราเรียสซึ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดทางตอนเหนือแห่งหนึ่งของสเปน ก็มีส่วนร่วมในงานดอกไม้ไฟในศตวรรษที่ 13 เช่นกัน ห้องสมุดบอดเลียนมีจดหมายฉบับหนึ่งของเขา ซึ่งมีคำอธิบายการทดลองแปดสิบแปดครั้ง ซึ่งคาดว่าจะแปลเป็นภาษาละตินจากภาษาอาหรับ เหนือสิ่งอื่นใด มันมีสูตรสำหรับ "ไฟบิน" ซึ่งเตรียมจากส่วนหนึ่งของกำมะถัน ถ่านสองส่วนจากต้นวิลโลว์หรือไม้มะนาว และดินประสิวหกส่วนที่เกลี่ยบนพื้นผิวหินอ่อนหรือพอร์ฟีรี
ส่วนผสมที่ได้สามารถใส่ในภาชนะขนาดสั้นและกว้างเพื่อสร้างฟ้าร้อง หรือในภาชนะที่ยาวและแคบเพื่อสร้างจรวด รายละเอียดทั้งหมดคล้ายคลึงกับสูตรของ Mark the Greek มาก ทำให้เกิดการคาดเดาว่าคู่มือทั้งสองเล่มเขียนโดยคนคนเดียวกัน
เป็นเวลาหลายปีที่เรื่องราวในปี 1320 ในเมือง Mentz พระภิกษุชาวเยอรมัน Berthold Schwartz ซึ่งกำลังศึกษาวิชาเคมีได้ผสมกำมะถันจำนวนหนึ่งกับดินประสิวในครกโดยไม่ได้ตั้งใจยังคงได้รับความนิยม เมื่อเขาเอาหินมาคลุมเจดีย์ไว้ องค์ประกอบนั้นก็ติดไฟโดยไม่ได้ตั้งใจและโยนหินออกไปเป็นระยะทางไกลมาก อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่าดินปืนนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในศตวรรษก่อน ดังนั้นเราควรมองหาการกล่าวถึงพระภิกษุองค์นี้ในช่วงแรกๆ เห็นได้ชัดว่าการดำรงอยู่ของชายคนนี้ได้รับการพิสูจน์โดยเอกสารภาษาฝรั่งเศสซึ่งระบุว่าในเดือนพฤษภาคมปี 1354 กษัตริย์ทรงทราบเกี่ยวกับการประดิษฐ์ปืนใหญ่ที่ผลิตในเยอรมนีโดยพระภิกษุชื่อเบิร์ตโฮลด์ชวาร์ซห้ามมิให้ส่งออกทองแดงจากฝรั่งเศสจนกว่าจะมีการตัดสินใจ จะทำเกี่ยวกับการสร้างปืนใหญ่ฝรั่งเศส Sebald Scott อ้างว่าเอกสารนี้ซึ่งอยู่ใน Bibliotheque Nationale ในปารีส มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โคห์เลอร์ในหนังสือของเขา "Kriegswesen"1 ให้ข้อความยาวๆ เกี่ยวกับชวาร์ตษ์และเสนอแนะว่าหลักฐานร่วมสมัยที่คาดคะเนของการค้นพบของเขาคือการแทรกแทรกที่เกิดขึ้นเมื่อต้นศตวรรษที่ 16
การทำปืนใหญ่ดูเหมือนเป็นอาชีพที่ไม่เหมาะสมสำหรับพระภิกษุ และการที่ห้ามส่งออกทองแดงนั้นเกิดขึ้นช้ากว่าสมัยก่อนเมื่อเหล็กเป็นโลหะธรรมดา
ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะตัดสินว่าใครเป็นผู้คิดค้นดินปืนเป็นคนแรก สิ่งสำคัญคือมันถูกสร้างขึ้นและพบว่ามีประโยชน์
ตามมาด้วยความพยายามที่จะปรับปรุงคุณภาพโดยการเลือกส่วนประกอบที่ดีที่สุด ดินประสิวหรือโพแทสเซียมไนเตรตเป็นสารประกอบทางเคมีที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของกรดไนตริกกับโปแตช แต่ในสมัยก่อนยังไม่เป็นที่เข้าใจ แม้แต่ในปี 1573 Peter Whitehorn แปลผลงานของ Machiavelli เขียนว่า "ดินประสิวเป็นส่วนผสมของสสารหลายชนิดที่เกิดจากไฟและน้ำจากดินที่แห้งและมีฝุ่น หรือจากดอกไม้ที่ปลูกบนผนังห้องใต้ดินใหม่ หรือจากดิน นอนอยู่ในสุสานอย่างอิสระ” หรือในถ้ำที่ไม่มีคนอาศัย” ในบางพื้นที่ของโลก เช่น อินเดียหรือสเปน จะพบดินประสิวอยู่ในนั้นรูปแบบธรรมชาติ
แต่ตามกฎแล้ว มันถูกทำให้บริสุทธิ์เพื่อให้ได้โปแตชเองและโปแตชไนเตรต ซัลเฟอร์ถูกส่งมาจากสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยภูเขาไฟ โดยส่วนใหญ่มาจากซิซิลีถ่าน ผลิตจากปอดพันธุ์ไม้
หลังจากที่ส่วนผสมถูกบดและผสมอย่างหยาบๆ แล้ว ยังคงต้องบดให้ละเอียดในโรงสีดินปืน ซึ่งต้องใช้เวลาทำงานหนึ่งถึงหกชั่วโมง ผงที่ได้นั้นละเอียดมาก คล้ายกับแป้ง และมักเรียกว่า "เยื่อผง"
องค์ประกอบนี้ทำงานได้ดีในปืนคาบศิลาหรือเมล็ดพืช แต่ไม่เหมาะกับปืนใหญ่มากนัก ดินปืนยิ่งละเอียดก็ยิ่งเผาไหม้ช้าลง ซึ่งหมายความว่าอัตราการขยายตัวของก๊าซหรือการระเบิดจะลดลง แต่ปัญหานี้ก็ได้รับการแก้ไขเช่นกัน
กระบวนการที่เรียกว่า "แกรนูเลชัน" ได้รับการพัฒนาขึ้นในศตวรรษที่ 15 ด้วยความช่วยเหลือ ดินปืนที่บดละเอียดจึงกลายเป็นเมล็ดหรือเม็ดขนาดใหญ่ขึ้น ยิ่งลำกล้องปืนมีขนาดใหญ่ขึ้น เม็ดดินปืนก็จะยิ่งหยาบ และในปี 1598 ดินปืนบางเกรดก็มีเมล็ดขนาดเท่ากับถั่ว เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเมื่อใส่เข้าไปในถังจำเป็นต้องใช้แท่งทำความสะอาดอย่างระมัดระวังอย่างไรก็ตามความปรารถนาที่จะเพิ่มพลังระเบิดของดินปืนทำให้เกิดความคิดที่แปลกใหม่
วิทยาศาสตร์สมัยใหม่
สร้างความไม่สอดคล้องกันโดยสรุปว่าพวกเขาทั้งหมดลดพลังการระเบิดลงเท่านั้น วิธีการเหล่านี้บางวิธีรวมถึงการเติมปรอท 1 ออนซ์ต่อกำมะถัน 1 ปอนด์ การฉีดดินปืนด้วยไวน์หรือแอมโมเนียมคลอไรด์ หรือเติมเมล็ดพริกไทยลงในส่วนผสม
การใช้ดินปืนแบบเม็ดสนองความต้องการของทหารปืนใหญ่มาระยะหนึ่งแล้ว ปัญหาต่อไปที่รอการแก้ไขคือการกำจัดกลุ่มควันขนาดใหญ่ที่กลิ้งไปทั่วสนามรบ ในวันที่ไม่มีลม เมื่อเวลาผ่านไป พวกมันก็ปกคลุมศัตรูมากขึ้นเรื่อยๆ ในปี ค.ศ. 1756 ชาวฝรั่งเศสเสนอดินปืนไร้ควันซึ่งไม่มีกำมะถันเลย แต่ประกอบด้วยดินประสิว 80 เปอร์เซ็นต์และถ่าน 20 เปอร์เซ็นต์
ในตอนแรก นักประดิษฐ์ตัดสินใจว่าคำตอบสำหรับคำถามอยู่ที่การใช้จุดสิ้นสุด ในปี พ.ศ. 2329 Berthollet นักเคมีชาวฝรั่งเศสผู้ผลิตวัตถุระเบิดให้กับนโปเลียนทดลองเกลือเงินได้รับเกลือเงินของกรดระเบิด - ซิลเวอร์ฟูลมิเนต ในตอนแรกการทดลองประสบผลสำเร็จ ระเบิดลูกใหม่กลายเป็นพลังที่ผิดปกติ แต่กระบอกปืนไม่มีกำลังเพียงพอที่จะควบคุมก๊าซที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วไปยังปากกระบอกปืน และพวกมันก็ระเบิดเมื่อเกิดการระเบิด ผงสีดำจะปล่อยก๊าซออกมาค่อนข้างช้า ในขณะที่จุดสุดยอดจะปล่อยก๊าซออกมาเกือบจะในทันที
ระเบิด ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2388 เมื่อ Schonbein บำบัดเซลลูโลสด้วยกรดไนตริก และได้รับสารที่เรียกว่า "กันคอตตอน" ไนโตรเซลลูโลส หรือไพโรซิลิน เซลลูโลส1 ยังถูกบำบัดด้วยกรดซัลฟิวริกอีกด้วย- การผลิตเริ่มต้นในเมือง Feversham ซึ่งมีชื่อเสียงจากโรงงานผลิตดินปืน แต่ในปี 1847 กิจการถูกทำลายด้วยการระเบิดครั้งใหญ่
ในเวลาเดียวกัน ฝรั่งเศสก็ประสบภัยพิบัติคล้าย ๆ กัน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลทั้งสองประเทศละทิ้งการผลิตสารชนิดใหม่
สิบหกปีผ่านไปก่อนที่ความมั่นใจในตัวเขาจะกลับมาอีกครั้งหลังจากความสำเร็จบางส่วนในออสเตรียโดยนายพลฟอน เลงค์ ทรงก่อตั้งการผลิต “ฝ้ายปืน” ในรูปแบบด้ายหรือเส้นด้ายที่พันแน่นบนกระสวย เมื่อใช้วิธีนี้ เกลียวไม่สามารถพันแน่นจนกีดขวางการเข้าถึงอากาศได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นวัตถุระเบิดจึงมีแนวโน้มที่จะลุกไหม้ไม่เสถียร สิ่งนี้ช่วยป้องกันการขยายตัวของผลิตภัณฑ์การเผาไหม้ที่สม่ำเสมอซึ่งจำเป็นสำหรับการยิงที่แม่นยำ
รูขุมขนถูกกำจัดออกอย่างสมบูรณ์เมื่อส่วนผสมได้รับการบำบัดด้วยเจลาตินอย่างสมบูรณ์ วัตถุระเบิดถูกอัด บิด หรือขึ้นรูปเป็นเชือก ซึ่งหลังจากที่ตัวทำละลายแห้งแล้ว ก็จะคงรูปร่างไว้ และหลังจากการจุดไฟก็ถูกเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง ทีละชั้น ในปี พ.ศ. 2429 Viel นักเคมีชาวฝรั่งเศสได้เสนอดินปืน "Poudre "B" ซึ่งผลิตโดยใช้เทคโนโลยีที่คล้ายกัน ซึ่งกลายเป็นดินปืนไร้ควันชนิดแรกที่ใช้ในปืนไรเฟิล Lebel ดังนั้นจึงมีความชัดเจนในการใช้ผงที่มีไนโตรเซลลูโลสทั้งหมด
การพัฒนาอีกแนวหนึ่งในพื้นที่นี้เริ่มต้นในปี 1846 ในเมืองตูรินโดยนักเคมีชาวอิตาลี Sobrero ซึ่งเป็นผู้สังเคราะห์ไนโตรกลีเซอรีนเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ในตอนแรกสารนี้ถูกใช้เป็นยาเท่านั้น
อัลเฟรด โนเบล วิศวกรชาวสวีเดนค้นพบวิธีใช้มันเป็นวัตถุระเบิดในปี 1859 เมื่อวันที่ 15 พ.ศ. 2405 ในสวีเดน เขาได้เชี่ยวชาญการผลิตงานระเบิด เริ่มแรกไนโตรกลีเซอรีนถูกใช้ในรูปของเหลวซึ่งนำไปสู่อุบัติเหตุหลายครั้ง แต่ความยากลำบากนี้ได้รับการแก้ไขเมื่อได้รับวัตถุระเบิดในรูปของแข็ง ในปี พ.ศ. 2410 โนเบลพบวิธีแก้ปัญหานี้โดยการเติมหินตะกอน Kieselguhr1 ลงในไนโตรกลีเซอรีน ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่าไดนาไมต์
ในไม่ช้าโนเบลก็มีความคิดที่จะละลายไนโตรเซลลูโลส 8 เปอร์เซ็นต์ในไนโตรกลีเซอรีน ระเบิดอันทรงพลังที่เกิดขึ้นนั้นเรียกว่า "เยลลี่ระเบิด" นี่คือลักษณะที่ปรากฏของวัตถุระเบิด dibasic แม้ว่าก่อนหน้านี้เชื่อกันว่าส่วนประกอบฐานเดียวก็เพียงพอแล้ว ต่อมาโนเบลได้เพิ่มปริมาณไนโตรกลีเซอรีนเป็นเกือบครึ่งหนึ่ง และใช้การบูรเพื่อรวมวัตถุระเบิดทั้งสองประเภทเข้าด้วยกัน จึงได้สารที่สามารถรีดหรือตัดให้ได้ขนาดและรูปร่างที่ต้องการ ได้รับการจดสิทธิบัตรภายใต้ชื่อ "ballistite"
สหราชอาณาจักรตามหลังการวิจัยนี้อยู่ไม่ไกลนัก มีการจัดตั้งคณะกรรมการวัตถุระเบิดขึ้น และเฟรดเดอริก อาเบล ซึ่งได้เป็นบารอนเน็ตในเวลานั้นได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดี เริ่มการค้นหาวัตถุระเบิดขับเคลื่อนไร้ควันที่สามารถเผาไหม้ได้อย่างเสถียรและคงที่ ลักษณะขีปนาวุธ- การทดลองหลายครั้งส่งผลให้ได้ส่วนผสมไดเบสิกข้างต้นที่บำบัดด้วยอะซิโตน นอกจากนี้เพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการละลายและป้องกันการปนเปื้อนของลำต้นจึงมีการเติมสารละลายแร่เจลาตินบางชนิดซึ่งเมื่อปรากฏออกมาก็ทำให้มั่นใจได้ว่าการเผาไหม้จะมีเสถียรภาพมากขึ้น ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายจะถูกขึ้นรูปเป็นเชือกยาว1 ก่อนที่จะแข็งตัว ซึ่งเป็นเหตุให้สารนี้ถูกเรียกว่า "คอร์ไดต์" การปรากฏตัวของมันมาพร้อมกับคดีความมากมายที่ผงไร้ควันหลากหลายชนิดนี้ได้รับฉายาว่า "ไม่ลงรอยกัน"2
มีการผลิต Cordite หลายประเภท แต่แนวคิดพื้นฐานยังคงเหมือนเดิม ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การขาดแคลนอะซิโตนซึ่งใช้เป็นตัวทำละลาย - พลาสติไซเซอร์ในการผลิตดินปืนนี้นำไปสู่การแทนที่ด้วยส่วนผสมของอีเทอร์และแอลกอฮอล์ส่งผลให้ ผู้เล่นตัวจริงใหม่เรียกว่า "RDB cordite" นอกจากนี้ โรงงานในอังกฤษไม่สามารถผลิต Cordite ได้ในปริมาณที่ต้องการ ซึ่งทำให้จำเป็นต้องใช้ Cordite ที่เทียบเท่าในอเมริกา เป็นผง DuPont No.16 ซึ่งกองทัพอังกฤษรู้จักในชื่อ NC.3
โปรเจ็กไทล์
ในสมัยนั้นเมื่อดินปืนเริ่มถูกนำมาใช้ในอุปกรณ์ทางทหารเมื่อทำการยิงจากกลไก เครื่องขว้างปามีกระสุนที่ใช้งานอยู่ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับอุปกรณ์ทางการทหารสาขาใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม กระสุนปืนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือลูกกระสุนปืนใหญ่ ซึ่งถูกใช้ก่อนการประดิษฐ์อาวุธปืนในเครื่องขว้าง เช่น สลิงขนาดยักษ์และหน้าไม้ มีการใช้ลูกบอลหินกับสลิง และใช้กระสุนตะกั่วหรือลูกบอลขนาดเล็กกับหน้าไม้ เอกสารภาษาฝรั่งเศสเมื่อปี 1345 กล่าวถึงลูกกระสุนปืนใหญ่ Robert de Mildenhall ผู้ดูแลตู้เสื้อผ้าส่วนตัวของ King Edward III ระบุไว้ในรายงานของเขาว่าในวันที่ 1 และ 2 กันยายน ค.ศ. 1346 ลูกบอลตะกั่วขนาดใหญ่เจ็ดสิบสามลูก ลูกเล็กสามสิบเอ็ดลูก และแท่งตะกั่วหกก้อนถูกส่งไปยังกาเลส์ เรารู้ว่าในปี 1346 ที่ตูร์แน ปืนใหญ่ของปีเตอร์แห่งบรูจส์ยิงลูกบอลตะกั่วหนัก 2 ปอนด์ ในปี 1356 ระหว่างการยึด Romorantin ในจังหวัด Berry เจ้าชายผิวดำ1 เพื่อที่จะควันป้อมปราการของเมือง ประสบความสำเร็จในการยิงลูกปืนใหญ่ก่อความไม่สงบ ซึ่งทำให้หลังคาและอาคารไม้ติดไฟ
รายงานสำหรับปี 1373-1374 นำเสนอโดยเลขานุการตู้เสื้อผ้าส่วนตัวของกษัตริย์ John Sleford แสดงให้เห็นว่าการผลิต "กระสุน" สำหรับปืนใหญ่ได้ดำเนินการในหอคอยในเวลานี้
แกนกลางที่ผิดปกตินี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยช่างดีบุกจากเมืองบรูจส์ ในปี ค.ศ. 1346 ผู้เฒ่าในเมืองได้สั่งปืนใหญ่เหล็กหล่อที่มีรูสี่เหลี่ยม โดยลูกปืนใหญ่จะเป็นรูปทรงลูกบาศก์และหนัก 11 ปอนด์ อาวุธดังกล่าวใช้งานได้และค่อนข้างมีประสิทธิภาพในการทำลายกำแพงเมือง
แกนหินก็ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย บันทึกของตู้เสื้อผ้าของราชวงศ์ในช่วงปี 1382-1388 แสดงให้เห็นว่า Ralph de Halton ซื้อลูกบอลหินทรงกลมจาก William Woodward ช่างฝีมือที่ทำงานเฉพาะทางนี้ได้รับค่าจ้าง 6 เพนนีต่อวัน แต่หลังจากผ่านไปสิบปี ค่าจ้างก็เพิ่มขึ้นเป็น 1 ชิลลิงต่อวัน
ลูกปืนใหญ่หิน แม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการผลิตน้อยกว่า แต่ก็มักจะแตกเป็นเสี่ยงเมื่อยิงใส่กำแพงที่แข็งแรง ภายในปี 1350 มีการผลิตลูกปืนใหญ่เหล็กหล่อในอังกฤษแล้ว แต่ลูกกระสุนหินยังคงใช้มาหลายปี ปืนใหญ่ปิดล้อมทำงานได้อย่างสมบูรณ์แบบ - ตัวอย่างเช่นในปี 1464 ระหว่างการล้อมแบมโบโรห์ เมื่อปราสาทแห่งนี้ปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อกษัตริย์เอ็ดเวิร์ด ป้อมปราการของมันก็พังทลายลงไปที่พื้น ปืนใหญ่ปิดล้อมสร้างผลกระทบที่น่าสะพรึงกลัวถึงขนาดมีบันทึกกรณีที่รถไฟปิดล้อมมาถึงก็เพียงพอที่จะบังคับให้กองทหารยอมจำนน
ในปี ค.ศ. 1491 ชาวเวนิสได้ยิงเหล็กหล่อ ทองแดง และลูกปืนใหญ่ตะกั่วใส่ฝรั่งเศสที่สมรภูมิที่แม่น้ำเผือก แต่เมื่อถึงปลายศตวรรษที่ 16 กระสุนเหล็กหล่อก็ถูกนำมาใช้กันทั่วไป ทำการทดลองกับนิวเคลียสหลากหลายรูปแบบ ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามเคลือบแกนหินด้วยตะกั่ว และเลือกใช้เหล็กหล่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รูปแบบต่างๆ- พวกเขาใช้ลูกปืนใหญ่เปล่า (ซีกโลกที่ติดอยู่ทั้งสองด้านกับบล็อกเหล็กหล่อ) และลูกปืนใหญ่แบบโซ่ (ซีกเหล็กหล่อที่เชื่อมต่อกันด้วยโซ่) กับเรือ - แนวคิดคือการขยายขอบเขตการทำงานของกระสุนปืนและรื้อถอนเสื้อผ้าและเสากระโดงเรือ .
ลูกกระสุนปืนใหญ่ทรงกลมถูกนำมาใช้จนถึงปี พ.ศ. 2418 แต่ก่อนหน้านั้น การทดลองกับกระสุนปืนแบบยาวได้เริ่มขึ้นแล้ว เมื่อจดจำรูปร่างทรงกระบอกได้ ไม่นานก็ตระหนักว่าจมูกแหลมช่วยให้บินได้ เมื่อถึงช่วงสงครามไครเมีย ปืนของอาร์มสตรองใช้กระสุนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีพื้นผิวเคลือบด้วยตะกั่ว สารเคลือบแบบอ่อนนี้ยึดติดเข้ากับร่องปืนไรเฟิลของลำกล้องได้ดี ในเวลาเดียวกันปืน Whitworth มีรูแปดเหลี่ยมซึ่งบังคับให้ใช้กระสุนปืนที่มีรูปร่างผิดปกติซึ่งมีพื้นผิวโค้งที่จะพอดีกับลำกล้องดังกล่าว
ปืนกลายเป็นปืนไรเฟิลไปทุกหนทุกแห่ง และมีการตัดสินใจที่จะลดจำนวนร่องให้เหลือสาม เพื่อให้แน่ใจว่ากระสุนปืนเข้าปะทะปืนไรเฟิลและทำให้มันหมุน พวกเขาจึงพยายามวางแผ่นที่ยื่นออกมาเป็นพิเศษบนพื้นผิวของมัน พบว่าการเคลือบตะกั่วมีแนวโน้มที่จะ "ลอกออก" ภายในถังซึ่งหลังจากนั้นไม่นานก็ทำให้เกิดการอุดตัน กระสุนปืนที่มีรอยเปื้อนช่วยแก้ปัญหานี้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ในไม่ช้าก็ชัดเจนว่าในกรณีนี้มีการรั่วไหลของก๊าซซึ่งส่งผลให้ไม่ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ จากนั้นในปี พ.ศ. 2421 ได้มีการนำปลั๊กแก๊สมาใช้ ประกอบด้วยแผ่นทองแดงที่ติดอยู่ที่ด้านล่างของกระสุนปืน ก๊าซที่ขยายตัวทำให้ทองแดงแบน ซึ่งเติมเต็มร่องโดยไม่สร้างความเสียหายมากเท่ากับตะกั่ว ความคิดเหล่านี้ถูกละทิ้งในเวลาต่อมา เนื่องจากหลังจากการแนะนำการบรรทุกก้น เข็มขัดทองแดง Vavasseur ก็เข้ามาใช้ ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของเข็มขัดนำทางที่ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน ในช่วงเวลานี้ เปลือกหอยเริ่มทำจากเหล็กแทนเหล็กหล่อซึ่งใช้กันมานานในการผลิตนี้
ขั้นตอนต่อไปคือการรวมโพรเจกไทล์และประจุเข้าเป็นหนึ่งเดียวดังที่เคยเกิดขึ้นแล้วในด้านอาวุธมือ Cordite ซึ่งปรากฏราวปี พ.ศ. 2433 เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทำให้สามารถสร้างโพรเจกไทล์ที่บรรจุกระสุนเร็วแบบรวมได้ แต่ก็ชัดเจนอย่างรวดเร็วว่าไม่จำเป็นต้องชาร์จพลังงานคงที่เสมอไป ดังนั้นในกรณีที่จำเป็น ช่วงที่เพิ่มขึ้นมีการยิงและมีการโหลดกล่องแยกต่างหาก ซึ่งทำให้สามารถเพิ่มประจุได้เนื่องจากมีระเบิดในผ้าไหมหรือบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ เพิ่มเติมที่วางอยู่ในห้องชาร์จ
ความคิดในการยิงกระสุนนัดเดียวจากปืนสำหรับนักประดิษฐ์บางคนดูเหมือนจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่เกิดผลดังนั้นจึงมีการลองทางเลือกอื่น - การยิงกระสุนหลายนัดพร้อมกันหินก้อนเล็ก ๆ หรือชิ้นส่วนโลหะหรืออีกนัยหนึ่ง - กระสุนปืน กระสุนที่ไม่ได้เชื่อมต่อกันไม่สามารถบินได้ไกลเมื่อถูกยิง แต่เมื่อวางไว้ในขวดหรือกระป๋อง พวกมันสามารถครอบคลุมระยะทางได้มากก่อนที่จะสลายไป ในบางกรณี - บรรจุในขวดหรือ "หมวก" - บัคช็อตจึงใช้เศษหินเหล็กไฟ การมีอยู่ของปืนใหญ่ที่ยิงองุ่นแบบ "กระป๋อง" ได้รับการสังเกตในปี 1410 เช่นเดียวกับการล้อมกรุงเบลเกรดในปี 1439 และกรุงคอนสแตนติโนเปิลในปี 1453 กระสุนนี้ประกอบด้วยกระสุนตะกั่วขนาดเล็กจำนวนมากวางอยู่ในกล่องดีบุกหรือกล่องไม้ อย่างไรก็ตาม กระสุนดังกล่าวสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้โดยไม่แตกสลาย เพื่อเอาชนะข้อเสียเปรียบนี้ จึงได้คิดค้น buckshot แบบ "ถัก" แท่งไม้ตรงกลางติดอยู่กับแผ่นไม้หรือโลหะ โดยมีกระสุนเหล็กหล่อขนาดเล็กติดอยู่ด้วยเชือก หรือใช้ปลอกผ้าด้านนอก การรวมกันของกระสุนขนาดเล็กเข้าเป็นกลุ่มก้อนทำให้เกิดมัน ชื่อภาษาอังกฤษ- “เกรปช็อต” (“องุ่น” บัคช็อต) เมื่อถูกยิง ก๊าซที่เป็นผงจะจุดชนวนเปลือกหุ้มซึ่งถูกเผาไหม้ขณะบิน หลังจากนั้นกระสุนแต่ละนัดก็กระจัดกระจายไปทุกทิศทาง ในป้อมปราการแห่งหนึ่งของสเปนในปี 1740 มีการเก็บองุ่นช็อตไว้ 2,000 ถุง การผลิต buckshot แบบ "ถัก" ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงปี 1868
ก้าวไปข้างหน้าอย่างสมเหตุสมผลจากกระสุนนัดเดียวกันที่ฝังอยู่ในเทปคาสเซ็ตคือกระสุนและระเบิดกระสุนด้วยท่อระยะไกล แต่ก่อนที่จะพิจารณาต่อไป เราต้องติดตามการพัฒนาของกระสุนเพลิงไหม้และกระสุนระเบิด
แนวคิดของแกนเสาหินที่ทะลุผ่านสิ่งกีดขวางนั้นเรียบง่ายและไม่ทำให้เกิดปัญหาในการใช้งาน แต่วิธีการอื่นที่ไม่เหมือนกับวิธีนี้ไม่เพียงแต่ได้รับการทดสอบ แต่ยังพบว่ามีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย เริ่มมีการใช้ลูกปืนใหญ่ร้อนกับเรือและเป้าหมายที่ติดไฟได้อื่นๆ แม้แต่ชาวอังกฤษโบราณในช่วงการรุกรานของซีซาร์ครั้งที่สองเมื่อ 54 ปีก่อนคริสตกาล จ. พวกเขาจุดไฟเผาเต็นท์ของชาวโรมันโดยขว้างลูกบอลดินเหนียวสีแดงเพลิงใส่พวกเขา
วิธีการนี้ถูกนำมาใช้อีกครั้งในปี 1575 โดยกษัตริย์สเตฟาน บาโตรีแห่งโปแลนด์ ซึ่งใช้ลูกกระสุนปืนใหญ่ร้อนแดงระหว่างการล้อมเมืองดานซิก
อันตรายจากการจุดติดไฟได้รับการแก้ไขโดยการใช้สองก้อน - แห้งด้านผงและเปียก - เพื่อหยุดการเผาไหม้ในถัง ก้อนหญ้าหนาๆ ที่ทำจากหญ้าอาจใช้เป็นวิธีดั้งเดิมในการป้องกันประจุจากความร้อน แต่ในกรณีนี้ จำเป็นต้องยิงอย่างรวดเร็วก่อนที่ความร้อนจะทะลุเข้าไปในห้องได้ การใช้สนามหญ้าเต็มไปด้วยอันตราย ดังที่เห็นได้จากปืนใหญ่หนัก 6 ปอนด์ที่เก็บรักษาไว้ใน Rotunda ปืนนี้ทำหน้าที่ในปี 1783 บนเกาะเซนต์ลูเซียในหมู่เกาะเวสต์อินดีสเพื่อยิงนัดที่ทำให้เกิดการโจมตีในตอนกลางคืน แต่แม้แต่ก้อนที่เปียกก็ไม่สามารถป้องกันการระเบิดได้
ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากการใช้ลูกปืนใหญ่ร้อนเกิดขึ้นโดยปืนใหญ่ของอังกฤษในปี พ.ศ. 2322-2326 ระหว่างการล้อมยิบรอลตาร์ การใช้งานกับเรือสเปนกลับกลายเป็นว่ามีประสิทธิผลมากจนทหารปืนใหญ่ยังได้รับรางวัล "Crimped Core Medal" พิเศษด้วยซ้ำ ด้านหนึ่งเป็นภาพเครื่องทำความร้อน - เตาเผาสำหรับให้ความร้อนเมล็ดพืช ชายสองคนบนเปลโลหะเคลื่อนย้ายลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ร้อนแดงจากเตาไปที่ปืนใหญ่
ลูกกระสุนปืนใหญ่ที่แข็งที่สุดกลายเป็นล้าสมัยเมื่อกองทัพเรือเปลี่ยนจากตัวเรือที่ทำจากไม้มาเป็นเกราะ นอกจากนี้ การใช้แกนร้อนแดงยังมีข้อจำกัด เนื่องจากให้ความร้อนและระบายความร้อนได้เร็วมากได้ยาก มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้มากกว่ามาก เปลือกหอยเพลิง- ภาชนะทรงกลมสมัยแรกเหล่านี้ ซึ่งบรรพบุรุษเคยเป็นหม้อไฟหรือแจกันที่ขว้างด้วยเครื่องยิง อาจมีสารก่อความไม่สงบหรือวัตถุระเบิดได้ พวกเขามักจะถูกไล่ออกจากครก
ในปี 1376 ภายใต้ Giadra ชาวเวนิสใช้ระเบิดปูนดังกล่าวซึ่งประกอบด้วยซีกโลกกลวงสองอันเชื่อมต่อกันด้วยห่วงเหล็ก ระเบิดฟิวส์ยังถูกนำมาใช้ในปี 1421 ในคอร์ซิการะหว่างการล้อมซานโบนิฟาซิโอ
ในปี 1543 ในประเทศอังกฤษ ปีเตอร์ โบดและคอลเลต์ได้สร้างครกที่ยิงกระสุนเหล็กหล่อที่ "อัดแน่นไปด้วยส่วนผสมของไฟ หรือ "ไฟกรีก" ท่อเหล็กติดไฟถูกขันเข้ากับระเบิดดังกล่าวเพื่อ "จุดไฟที่มีส่วนผสมของไฟและฉีกระเบิดนั้นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งชิ้นที่เล็กที่สุดหากโดนใครก็ตามจะฆ่าหรือทำร้ายเขาได้"
ในภาพวาดที่มีชื่อเสียงซึ่งแสดงภาพการล้อมเมืองบูโลญจน์ในปี 1544 เราเห็นทหารกำลังเตรียมระเบิดดังกล่าว ภายในปี 1550 มีการยิงระเบิดจากปืนครกทุกแห่งภาษาอังกฤษคำว่า "shell" เป็น "shell" ที่ได้มาจาก
คำภาษาเยอรมัน
"มาตราส่วน"1 ถูกนำมาใช้กันทั่วไป เพื่อกำหนดความหมายที่แท้จริงให้แม่นยำมากขึ้น
ลูกบอลเพลิงประเภทหนึ่งที่รู้จักกันในชื่อ "เฟรม" ถูกประดิษฐ์ขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อนโดยมือปืนในการให้บริการของอาร์คบิชอปแห่งมุนสเตอร์ คริสโตเฟอร์ ฟาน กาเลน ซึ่งมีชื่อเสียงจากกิจกรรมของเขาใน ทรงกลมทหาร- โครงนั้นมีโครงเหล็กหล่อหนา มักเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและมีรูหลายรูที่ทำให้องค์ประกอบของเพลิงไหม้หลบหนีออกไปได้ ส่วนผสมประกอบด้วยดินประสิว ซัลเฟอร์ เรซินสน น้ำมันสน พลวงซัลไฟด์ และน้ำมันหมู มันเผาไหม้ด้วยความรุนแรงมหาศาลจากสามถึงสิบสองนาที แม้จะอยู่ใต้น้ำก็ตาม แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดับมัน ยกเว้นบางทีโดยการขว้างดินใส่มัน ข้อเสียของเฟรมคือเมื่อผนังบางลงซึ่งทำขึ้นด้วยความปรารถนาที่จะเพิ่มปริมาตรภายในที่เป็นประโยชน์ให้ถึงขีดจำกัดสุดท้าย ร่างกายจะสูญเสียกำลัง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายจากการระเบิดในกระบอกปืน ในระหว่างการปิดล้อมควิเบก การขาดความกระตือรือร้นนี้ถูกเอาชนะด้วยความช่วยเหลือของปลั๊กหรือก้อนที่ทำจาก derp ซึ่งช่วยลดแรงกระแทกจากการยิงอะนาล็อกสมัยใหม่
เฟรมเป็นระเบิดเพลิงที่บรรจุแมกนีเซียม
กรณีแรกของปืนใหญ่ที่ยิงกระสุนระเบิดได้สำเร็จ - ก่อนหน้านี้ใช้เพื่อยิงจากปืนครกหรือปืนครกเท่านั้น - เกิดขึ้นระหว่างการล้อมยิบรอลตาร์ในปี พ.ศ. 2322-2326 ระยะทางจากแบตเตอรี่ของเราไปยังตำแหน่งของสเปนถึง 2,000 หลาและระเบิดปูนไม่มีระยะดังกล่าว จากนั้น ร้อยเอกเมอร์ซิเอร์แห่งกรมทหารราบที่ 39 เสนอให้ยิงระเบิดปูนขนาด 5.5 นิ้วจากปืน 24 ปอนด์
เพื่อชดเชยความเร็วในการบินที่สูง ขอแนะนำให้ใช้ท่อจุดระเบิดที่สั้นกว่าเพื่อให้กระสุนปืนระเบิดในเวลาที่เหมาะสม แนวคิดนี้ได้รับการทดสอบ และกระสุนเริ่มระเบิดใส่หัวทีมงานศัตรู แม้ว่าแคมเปญจะประสบความสำเร็จ แต่แนวคิดนี้ก็ถูกลืมไปในตอนท้าย อย่างไรก็ตาม งานก็ไม่สูญเปล่า เจ้าหน้าที่ปืนใหญ่ Henry Shrapnel เขียนไว้ในปี 1813 ว่าเขาทำการทดลองมาเกือบสามสิบปี ซึ่งนำเขาไปสู่การสร้างกระสุนปืนใหญ่ที่ใช้งานได้จริง ซึ่งเขาเรียกว่า "กล่องทรงกลม" ในช่วงต้นปี 1792 ดยุคแห่งริชมอนด์แนะนำให้ผู้หมวด Shrapnel ทดลองโดยใช้ "ลูกองุ่นบรรจุกล่องและบรรจุกล่อง" และกระสุนระเบิดที่บรรจุลูกปืนคาบศิลาชนิดใหม่
กระสุนถูกนำมาใช้ในปี 1803 และในปีต่อมา Shrapnel ไม่เพียงแต่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ตรวจสอบปืนใหญ่คนแรกเท่านั้น แต่ยังได้รับคำวิจารณ์ที่ดีจากซูรินาเมซึ่งกระสุนใหม่ของเขาถูกใช้ในระหว่างการรุก กล่องทรงกลมที่เต็มไปด้วยกระสุนและสามารถระเบิดได้ในอากาศถูกนำมาใช้กับฝรั่งเศสในยุทธการที่ไวมาร์ในปี 1808
รายละเอียดที่ทำให้สามารถสร้างกระสุนปืนซึ่งเป็นท่อจุดระเบิดระยะไกลได้ก็เป็นข้อเสียเช่นกัน
วิวัฒนาการของฟิวส์มีความสำคัญพอๆ กับวิวัฒนาการในงานศิลปะปืนใหญ่แขนงอื่นๆ กระสุนปืนระเบิดนั้นไม่สามารถจุดชนวนได้ในลักษณะเดียวกับประจุจรวด ในขั้นต้น ฟิวส์ชิ้นหนึ่งถูกวางไว้ในเปลือกกระสุนปืน ซึ่งอาจไหม้ในเวลาที่เหมาะสม แต่ก็สามารถทำได้ง่ายพอ ๆ กันเร็วเกินไปหรือสายเกินไป ในช่วงแรก การสร้างฟิวส์ก็เพียงพอที่จะเกิดการระเบิดเมื่อกระสุนปืนไปถึงเป้าหมาย ในเวลานั้นเชื่อกันว่ากระสุนที่ระเบิดขณะบินนั้นสูญเปล่า แต่การประดิษฐ์กระสุนแบบปิดได้บังคับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิดเหล่านี้ หลอดจุดระเบิดที่ทำจากไม้เริ่มแพร่หลายตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 ในปี ค.ศ. 1850 มีการใช้ท่อสเปเซอร์ที่แตกต่างกัน 19 ท่อ โดย 3 ท่อเป็นโลหะ กัปตันนักมวยจึงเสนอสายชนวนของเขา ซึ่งช่วยขจัดปัญหาต่างๆ มากมาย มันเป็นปลั๊กไม้กลวงที่มีรูเล็กๆ มากมายตามผนังช่องกลางของฟิวส์เต็มไปด้วยผงสีดำซึ่งหลังจากการจุดระเบิดแล้วจะถูกเผาไปยังรูที่เลือกไว้ล่วงหน้าหลังจากนั้นไฟก็ทะลุเข้าไปในประจุระเบิดหลัก ฟิวส์ Boxer มีความน่าเชื่อถือและยังคงใช้งานมาหลายปี แต่ในที่สุดก็เกิดความต้องการฟิวส์แบบสัมผัส (กระแทก) และฟิวส์เฉื่อย ครั้งแรกควรถูกกระตุ้นในขณะที่กระสุนปืนกระทบพื้น ครั้งที่สอง การนับถอยหลังของเวลาที่เหลือจนกระทั่งการกระตุ้นควรจะเริ่มต้นหลังจากการกระแทกที่เกิดจากการระเบิดของประจุจรวด ฟิวส์สัมผัสเบื้องต้นคือฟิวส์ของระเบิดทรงกลมซึ่งตกลงไปในตัวเมื่อกระแทกพื้น แต่สำหรับ
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ในด้านกระสุนปืนใหญ่ มีแนวโน้มที่จะรวมการพัฒนาแนวต่างๆ ให้เป็นแนวคิดเดียว
กระสุนขนาดใหญ่เริ่มถูกทำให้เกิดการระเบิด พวกเขาได้รับความสามารถในการบดขยี้เป้าหมายด้วยน้ำหนักของการระเบิดหรือการระเบิดเมื่อตกลงมา ระเบิดในอากาศหรือในช่วงเวลาที่จำเป็นอื่น ๆ มีการปรับปรุงร่องภายในเปลือกกระสุนปืน ซึ่งทำให้ระเบิดได้ง่ายขึ้น เมื่อกระสุนปืนระเบิด กระสุนตะกั่วมักจะเผาเนื่องจากความร้อน แต่การดูแลตะกั่วแบบพิเศษซึ่งเพิ่มความแข็ง และการใช้ฝุ่นถ่านหินเป็น "น้ำมันหล่อลื่น" ลดอิทธิพลของผลกระทบนี้
ภายในปี พ.ศ. 2439 ผงสีดำได้หยุดถูกนำมาใช้เป็น "ไส้" สำหรับกระสุนระเบิด ในปีพ.ศ. 2434 มีการใช้ Cordite และวัตถุระเบิดที่เรียกว่า lyddite1 ก็ได้รับการยอมรับเช่นกัน ต่อมามีการใช้วัตถุระเบิดเช่น TNT (TNT) และ amatol2ไม่ว่าการพัฒนาในยุคนั้นจะดูซับซ้อนเพียงใด แต่ก็ไม่มีนัยสำคัญเลยเมื่อเทียบกับ
แนวโน้มสมัยใหม่
การพัฒนาในพื้นที่นี้ กระสุนปืนซึ่งครั้งหนึ่งเคยถือว่าจำเป็นสำหรับการยิงวัตถุที่อยู่นิ่งเท่านั้น บัดนี้ได้รับการออกแบบให้ค้นหาเป้าหมายที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วอย่างอิสระ และเมื่อเข้าใกล้เพียงพอ ก็จะระเบิดทำลายล้างทุกสิ่งรอบตัว การจุดระเบิดหมายถึงเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงวิธีการทางเทคนิคอีกประเภทหนึ่งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกระสุนปืนใหญ่นั่นคือกลไกการจุดระเบิดของประจุซึ่งมีกลไกหลังและมาก ขั้นตอนสำคัญอยู่ระหว่างการส่งกระสุนปืนไปยังจุดหมายปลายทาง ในยุคแรก ๆ ของปืนใหญ่ เพื่อที่จะจุดชนวนประจุโดยตรง ก็เพียงพอที่จะสอดแท่งโลหะร้อนแดงหรือลวดเข้าไปในรูจุดไฟของปืน ขั้นตอนต่อไปในการปรับปรุงนั้นได้มาจากวิธีการเทดินปืนจำนวนเล็กน้อยลงบนช่องจุดระเบิดซึ่งทำให้สามารถยิงจากระยะไกลได้ ในเวลาเดียวกัน ก้านนิ้ว - แท่งไส้ตะเกียงที่ปลาย - ค่อนข้างปกป้องมือปืนทำให้เขาสามารถอยู่บนนั้นได้ ระยะทางหนึ่งในปี พ.ศ. 2333 ได้นำหินเหล็กไฟมาใช้อย่างเป็นทางการ
ในปี 1803 Durs Egg ช่างทำปืนชื่อดังได้รับสิทธิบัตรสำหรับปืนพกประเภทฟลิ้นล็อคซึ่งควรจะใช้เป็นไกปืน แต่ความคิดของเขาไม่ได้รับการอนุมัติ กองทัพยังคงใช้ไส้เทียนบนแท่งไม้ต่อไป จนถึงปี ค.ศ. 1820 เมื่อการใช้ fulminates ในปืนพกทำให้เกิดกลไกลูกสูบ กองทัพเรือได้นำเครื่องจุดไฟแบบเพอร์คัชชันมาใช้ แต่กองทัพบกไม่ได้ปฏิบัติตามจนกระทั่งปี 1846
ในปีพ.ศ. 2384 มีการทดสอบเครื่องจุดไฟแบบตะแกรงล็อคที่คิดค้นโดยเจ้าหน้าที่ชาวฮันโนเวอร์ที่เมืองวูลวิช แต่ถูกปฏิเสธ หลักการทำงานของมันคือการใช้แท่งกลวงของขนนกขนาดใหญ่หรือท่อโลหะที่เต็มไปด้วยดินปืนจำนวนเล็กน้อย ท่อดังกล่าวถูกสอดเข้าไปในรูจุดระเบิดและต่อไปยังประจุ จากนั้นใช้เชือกหรือสายไกดึงเครื่องขูดอย่างรวดเร็วซึ่งทำให้เกิดประกายไฟที่จุดชนวนดินปืนในท่อ ในปี พ.ศ. 2394 นาย Totzer ซึ่งทำงานใน Royal Laboratory ได้เสนอท่อถูแบบของเขา ซึ่งสองปีต่อมาได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ เมื่อกระสุนปืนถูกรวมเข้ากับประจุก็เป็นไปได้ที่จะใช้แคปซูลตัวจุดชนวนที่มีองค์ประกอบระเบิดวางอยู่ที่ฐานของกล่องคาร์ทริดจ์ นอกจากนี้ ยังมีการทดสอบวิธีการระเบิดโดยใช้ไฟฟ้า แต่แม้กระทั่งทุกวันนี้ในสนามรบสมัยใหม่ คุณยังสามารถเห็นทหารปืนใหญ่ดึงสายไกปืนด้วยวิธีแบบเก่า
กระสุนสำหรับอาวุธปืนมือ
ประวัติความเป็นมาของกระสุนสำหรับอาวุธมือในทางใดทางหนึ่งเป็นไปตามเส้นทางที่ตัดผ่านโดยปืนใหญ่ "ใหญ่" แต่มีการแนะนำไอเทมใหม่บางอย่างที่นี่เร็วกว่ามาก
ควรจำไว้ว่ามีการใช้ลูกปืนใหญ่หรือลูกตะกั่วในการยิงปืนใหญ่มาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีการคิดค้นการยิง แต่ใช้เพื่อการล่าสัตว์หรือต่อต้านโจรและโจรเป็นหลัก กระสุนตะกั่วถูกหล่อลงในแม่พิมพ์ในปริมาณมาก แต่นักกีฬามือปืนที่มีประสบการณ์ทุกคนต่างก็มีอุปกรณ์ของตัวเองเพื่อจุดประสงค์นี้ เช่น คีมพิเศษ ลำกล้องของปืนมีความหลากหลายมากจนคนที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากช่างทำปืนจะต้องมีแม่พิมพ์หล่อเป็นของตัวเอง แม่พิมพ์ที่ทำเป็นรูปแหนบ มีหัวสองส่วน ข้างในมีช่องสำหรับหล่อกระสุน โลหะส่วนเกินที่ทะลุผ่านรูเติมจะถูกตัดออกด้วยขอบคมของแม่พิมพ์ การยิงครั้งนี้ทำได้โดยการเทโลหะหลอมเหลวผ่านกระชอนหรือตะแกรง โดยถือไว้เหนือถังน้ำ การหยดลงสู่ผิวน้ำเพียงสั้นๆ ก็เพียงพอที่จะทำให้เม็ดเย็นลง เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2325 William Watts ได้จดสิทธิบัตรวิธีการสร้าง "ช็อตช็อตที่สมบูรณ์และมีรูปร่างกลมอย่างสมบูรณ์แบบ" โดยอ้างว่าผู้ประดิษฐ์เห็นกระบวนการนี้ในความฝัน และวิธีการนั้นประกอบด้วยการเทโลหะหลอมเหลวจากระดับความสูง ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดของเม็ดที่ต้องการ สำหรับการถ่ายทำครั้งนี้ จำเป็นต้องมีหอคอยพิเศษ ซึ่งหนึ่งในนั้นสามารถพบเห็นได้บนนั้นชายฝั่งทางใต้
ผู้มาเยือนลอนดอนจำนวนมากในปี พ.ศ. 2494 ในช่วงเทศกาลแห่งบริเตน หอคอยยิงนี้สร้างขึ้นในปี 1826 แต่อาคารทรงสี่เหลี่ยมรุ่นก่อนหน้านั้นถูกสร้างขึ้นในปี 1789
ในช่วงต้นปี 1743 เบนจามิน ร็อบบินส์ สมาชิกของ Royal Society เสนอให้กระสุนมีรูปทรงรีเพื่อขจัดข้อเสียที่มีอยู่ในกระสุนทรงกลม แต่ในศตวรรษที่ 19 เท่านั้นที่มีการนำกระสุนทรงกระบอกทรงกรวยมาใช้กับปืนไรเฟิลขนาดเล็ก การหมุนที่เกิดจากร่องปืนไรเฟิลมีผลกระทบเล็กน้อยต่อความเสถียรของการบินของกระสุนกลม แต่ด้วยเหตุนี้กระสุนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าจึงบินได้อย่างมั่นคงมากขึ้น และแน่นอนว่าส่วนหน้าแหลมของมันตัดผ่านอากาศได้ง่ายกว่าบอลลูนมาก
นอกจากนี้กระสุนขนาดเล็กยังมีฝาเหล็กที่ด้านล่างซึ่งภายใต้แรงกดดันของก๊าซผงผลักโลหะอ่อนออกจากกันแล้วกดเข้ากับผนังของช่องทำให้เกิดหน้าสัมผัสที่แน่นหนาด้วยแก๊ส มันไม่สำคัญว่าประจุจรวดจะขว้างกระสุนได้ไกลหรือแรงแค่ไหนสิ่งสำคัญคือการจุดระเบิดของประจุนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กำหนดอย่างแม่นยำ ในยุคกลาง ลวดร้อนถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจุดไฟดินปืน แต่ทั้งฝนทั้งลมและ.ทำให้การใช้งานค่อนข้างไม่น่าเชื่อถือ การใช้ไส้ตะเกียงกับเมล็ดด้วยมือได้ผลดีกว่าเล็กน้อย เมื่อเริ่มยึดด้วยแคลมป์โลหะหรือไกปืนในศตวรรษที่ 16 อย่างน้อยก็มีความมั่นใจว่ามันจะไปอยู่บนชั้นวางเมล็ดพืช
การใช้แร่ไพไรต์และหินเหล็กไฟในช่วงปลายศตวรรษทำให้มั่นใจได้ว่ามีความพร้อมเสมอสำหรับการยิง โดยไม่ขึ้นกับสภาพอากาศ ซึ่งสามารถเล่นมุขตลกที่แย่ที่สุดโดยใช้ไส้ตะเกียงที่ติดไฟได้ ในบรรดาอาวุธที่อยู่ในรายการคลังแสงของเมืองกราซเมื่อปลายศตวรรษที่ 16 มีปืนหลายกระบอกที่ถูกกำหนดให้เป็น "Radsloss"1 และ "mit Schnapper"2
ชื่อแรกดูเหมือนจะบ่งบอกถึงการใช้ตัวล็อคล้อที่มีไพไรต์ ชื่อที่สอง - เป็นหินเหล็กไฟ ล้อที่หมุนได้ทำให้เกิดประกายไฟ เหมือนกับไฟแช็คสมัยใหม่ สันนิษฐานว่าแนวคิดในการผลิตประกายไฟโดยการฟาดหินเหล็กไฟบนเหล็กมีต้นกำเนิดในปี ค.ศ. 1596 โดย Sebastian Galle ไพไรต์อ่อนเกินกว่าจะโจมตีได้และต้องหลีกทางให้หินเหล็กไฟ ดังนั้น ไพไรต์ ซึ่งทหารโรมันใช้เพื่อจุดไฟในการรณรงค์จึงเลิกใช้งาน
หินเหล็กไฟยังคงเป็นวิธีการมาตรฐานในการจุดชนวนประจุด้วยอาวุธขนาดเล็กจนกระทั่งเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งเกิดจากการนำสารประกอบระเบิดเข้ามาในบริเวณนี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยพยายามใช้เป็นจรวดไม่สำเร็จ ไปป์ย้อนกลับไปในปี 1663 กล่าวถึงการพบกันที่ร้านกาแฟกับดร.อัลเลนคนหนึ่ง สุภาพบุรุษคนนี้เล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับออรัมฟูลมิแนนส์1 ถ้าใส่แล้วช้อนเงิน สารนี้เพียงเม็ดเดียวแล้วกระแทก มันจะระเบิดและเจาะรูในช้อน เขียนไปป์สมาชิกของ Royal Society ยังได้ทดลองกับเกลือระเบิดนี้ด้วย แต่แทบจะไม่ได้ผลในทางปฏิบัติเลยเนื่องจากมีฤทธิ์รุนแรงมาก นักเคมีชาวฝรั่งเศส Berthollet ซึ่งทำงานให้กับนโปเลียนก็พยายามค้นหาการใช้จุดสิ้นสุดของเงินที่เขาได้รับมาแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ฮาวเวิร์ด อิน
สาธุคุณเจ. อเล็กซานเดอร์ ฟอร์ไซธ์แห่งเบเลวีในอเบอร์ดีนเชียร์ทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาการใช้สารฟูลมิเนตเป็นสารระเบิด ในปี ค.ศ. 1805 เขามีกลไกกระตุ้นซึ่งใช้สารปรอทจุดสิ้นสุด สองปีต่อมา นักประดิษฐ์ได้ยื่นขอรับสิทธิบัตร และถึงแม้บางคนจะพยายามพิสูจน์ว่าข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการที่เสนอของเขาเป็นที่รู้จักมาก่อน ศาลก็เข้าข้างเขา ประสบการณ์นี้พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์สำหรับ Forsyth หลายปีต่อมาเขาเข้าไปพัวพันกับคดีความมากมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้โดยเฉพาะ ดูเหมือนว่านักบวชชาวสก็อตผู้นี้จะตัดสินใจใช้ความสามารถของเขากับ กิจกรรมเชิงพาณิชย์เนื่องจากในปี พ.ศ. 2355 บริษัท Forsyth and Co. ซึ่งเป็นผู้ผลิตอาวุธสิทธิบัตร ตั้งใจที่จะก่อตั้งตนเองใน Piccadilly; หกปีต่อมาตั้งอยู่ที่เลขที่ 8 ถนนเลสเตอร์ สำนักงานยังคงอยู่ที่นั่นจนถึงปี 1852 เป็นอย่างน้อย การออกแบบที่คิดค้นโดย Forsythe นั้นมีความเป็นต้นฉบับโดยสมบูรณ์ ประกอบด้วยเครื่องจ่ายขวดผงโลหะที่ทนทาน ซึ่งทำหน้าที่เติมผงระเบิดเข้าไปในรูนำ กลไกนี้ติดอยู่กับก้นและเมื่อพลิกกลับก็ปล่อยผงระเบิดจำนวนเล็กน้อยออกมา พลังระเบิดมหาศาลของฟูลมิเนตจำเป็นต้องมีความแม่นยำสูงมากจากกลไกการเติม
มีการพยายามคัดลอกสิ่งประดิษฐ์ของ Forsythe หลายครั้ง และเขาต้องใช้เงินจำนวนมากในการดำเนินคดีกับผู้ละเมิดสิทธิในสิทธิบัตรของเขา โจเซฟ เมนตัน ช่างทำปืนชาวอังกฤษเสนอแนวคิด "ใหม่" ซึ่งเป็นเพียงการออกแบบปราสาทของฟอร์ไซธ์ใหม่เท่านั้น
สิทธิบัตรของ Forsythe กำลังจะหมดอายุ และหลังจากปี 1821 "นักประดิษฐ์" จำนวนมากได้ผลิตระบบการระเบิดประจุของตนเองขึ้นมา ในขั้นตอนหนึ่งของการพัฒนาแนวคิดมีการเสนอให้วางผงระหว่างชั้นของกระดาษ แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเมื่อเปลี่ยนกระดาษด้วยแผ่นทองแดง จากนั้นผู้ยื่นขอรับสิทธิบัตรจำนวนมากก็มาพร้อมกับคำขอของพวกเขา กัปตันปีเตอร์ ฮอว์เกอร์อ้างว่าประมาณปี 1818 เขาได้เสนอแนวคิดนี้กับช่างปืนโจเซฟ เมนตันเป็นการส่วนตัว ซึ่งส่งผลให้ช่างฝีมือคนดังกล่าวทำหมวกทองแดงจริงๆ โจเซฟ เอ็ก ช่างทำปืนชื่อดังอีกคนหนึ่ง ตั้งชื่อสินค้าของเขาเองว่า "ผู้ประดิษฐ์ลูกสูบระเบิด" ชาวอเมริกันระบุว่า Joshua Shaw จากฟิลาเดลเฟียใช้แคปซูลเหล็กที่มีจุดสิ้นสุดในปี 1814 แต่ไม่ได้จดสิทธิบัตร อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสองปีหลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ เขาผลิตแคปซูลทองแดงแบบใช้แล้วทิ้งซึ่งถูกกระตุ้นโดยเข็มยิงภายนอก
การทดลองทั้งหมดที่กล่าวมานั้นดำเนินการด้วยอาวุธพลเรือน และคณะกรรมการที่วูลวิชได้นำปืนแคปเข้าประจำการกับกองทัพอังกฤษในปี พ.ศ. 2379 เท่านั้น โดยเลือกปืนไรเฟิลบรันสวิกเป็นปืนแคปที่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการครั้งแรกในบริเตนใหญ่ รูจุดระเบิดถูกเปลี่ยนในลักษณะที่กลายเป็นท่อไฟที่แข็งแกร่งยื่นออกมาด้านบน และไกปืนก็ติดตั้งขอบที่ปิดไว้ซึ่งป้องกันการทะลุของก๊าซ พวกเขาเริ่มเตรียมส่วนผสมที่ระเบิดได้จากโพแทสเซียมคลอเรตสามส่วน (เกลือเบอร์ทอลเล็ต) ปรอทฟูลมิเนตสองส่วน และแก้วส่วนหนึ่งบดเป็นผง
เมื่อถึงเวลานั้น gunsmiths ในทวีปไม่พอใจกับการออกแบบที่มีอยู่อีกต่อไปซึ่งมีคาร์ทริดจ์และวิธีการจุดชนวนประจุอยู่ สถานที่ที่แตกต่างกัน- เพาลี ชาวสวิสจากเจนีวา ซึ่งทำงานในปารีสในปี พ.ศ. 2349 ได้ประดิษฐ์ปืนคาบศิลาใส่ก้น และหลังจากนั้นเขาก็ใช้ลูกสูบจุดระเบิดแบบกระดาษในคาร์ทริดจ์ ซึ่งเกิดจากการถูกแทงด้วยเข็ม คำอธิบายของสิ่งประดิษฐ์ในปี 1816 ระบุว่าลูกสูบถูกวางไว้ระหว่างดินปืนและก้นเพื่อจุดชนวนประจุ ในปีพ.ศ. 2374 ช่างทำปืนชาวปารีสอีกคนได้ผลิตกระสุนปืนที่บรรจุผงระเบิดที่ด้านหลัง ซึ่งถูกค้อนทุบจากด้านล่าง ในปีพ.ศ. 2390 ชาวปารีสอีกคนได้จดสิทธิบัตรคาร์ทริดจ์ที่มีแคปซูลโลหะวางอยู่ที่ฐาน โดยมีเข็มยิงฝังอยู่ โดยปลายของเข็มยื่นออกมาผ่านรูในกระบอกปืน อาวุธที่ยิงกระสุนปืนดังกล่าวถูกสาธิตที่นิทรรศการใหญ่ในไฮด์ปาร์ค
ปืนเข็มซึ่งเป็นสิทธิบัตรการออกแบบของอังกฤษซึ่งออกเมื่อปี พ.ศ. 2374 ถูกบรรจุลงจากก้น คาร์ทริดจ์ถูกติดตั้งด้วยตัวจุดชนวนที่ฐานของปลอกคาร์ทริดจ์ การระเบิดที่จำเป็นในการจุดชนวนไพรเมอร์นั้นถูกนำไปใช้กับเข็มของสลักเกลียวทรงกระบอก น่าเสียดายที่สลักเกลียวไม่ได้มีการปิดผนึกและปัญหานี้ได้รับการแก้ไขหลังจากการประดิษฐ์ปลอกทองเหลืองเท่านั้น
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ชาวอเมริกันได้ออกแบบตลับกระสุนทองเหลืองที่มีขอบกว้างซึ่งออกแบบมาให้ดีดออกหลังการยิง แต่มีความสำคัญอย่างยิ่ง องค์ประกอบที่สำคัญกระสุน - ไพรเมอร์ - ยังคงอยู่บนพื้นผิวด้านนอกของอาวุธ ในปี พ.ศ. 2395 Charles Lancaster ได้เปิดตัวคาร์ทริดจ์ไฟกลางโดยมีไพรเมอร์สอดเข้าไปในก้นโลหะของเคส แต่ลำตัวของมันยังคงเปราะบางจนกระทั่งผู้พันนักมวยแห่งห้องทดลองรอยัลวูลวิชได้จดสิทธิบัตรเปลือกที่ทำจากแผ่นทองเหลืองพร้อมก้นเหล็ก กระสุนประสานใหม่นี้ใช้ในปืนไรเฟิลสไนเดอร์ กล่องใส่กระสุนปืนคอแคบถูกเสนอโดยเจ้าหน้าที่บางคนจากกรมสรรพาวุธอเมริกันในปี พ.ศ. 2413 และไม่กี่ปีต่อมาก็มีการนำกล่องทองเหลืองดึงแข็งมาใช้ในบริเตนใหญ่
กระสุนประเภทนี้สำหรับ แขนเล็กเนื่องจากกระสุนเพลิง กระสุนที่มีปลายระเบิด และ "การปรับปรุง" ที่น่ากลัวอื่น ๆ เบี่ยงเบนไปจากเส้นทางหลักของการพัฒนาเพียงเล็กน้อย และไม่สมควรได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ
ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มีสิ่งประดิษฐ์มากมายที่เปลี่ยนแปลงวิถีประวัติศาสตร์ไปอย่างสิ้นเชิง ณ จุดหนึ่งหรืออีกจุดหนึ่ง แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สำคัญ ขนาดดาวเคราะห์- การประดิษฐ์ดินปืนเป็นหนึ่งในการค้นพบที่หายากซึ่งเป็นแรงผลักดันอย่างมากต่อการเกิดขึ้นและการพัฒนาสาขาวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมใหม่ๆ ดังนั้นผู้มีการศึกษาทุกคนควรรู้ว่าดินปืนถูกประดิษฐ์ขึ้นที่ไหนและถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางทหารครั้งแรกในประเทศใด
ความเป็นมาของการปรากฏตัวของดินปืน
เป็นเวลานานที่มีการถกเถียงกันอย่างดุเดือดว่าดินปืนถูกประดิษฐ์ขึ้นเมื่อใด บางคนเชื่อว่าสูตรของสารไวไฟนั้นมาจากชาวจีน บางคนเชื่อว่ามันถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยชาวยุโรป และจากที่นั่นเท่านั้นที่มาถึงเอเชีย เป็นการยากที่จะพูดด้วยความแม่นยำหนึ่งปีเมื่อมีการประดิษฐ์ดินปืน แต่จีนต้องถือเป็นบ้านเกิดของตนอย่างแน่นอน
นักเดินทางหายากที่เดินทางมาประเทศจีนในยุคกลางเฉลิมฉลองความรัก ผู้อยู่อาศัยในท้องถิ่นเพื่อความสนุกสนานที่มีเสียงดังพร้อมกับเสียงระเบิดที่ผิดปกติและดังมาก ชาวจีนเองก็รู้สึกขบขันมากกับการกระทำนี้ แต่ชาวยุโรปทำให้เกิดความกลัวและความสยองขวัญ อันที่จริงมันยังไม่ใช่ดินปืน แต่เป็นเพียงหน่อไม้ที่ถูกโยนเข้ากองไฟ หลังจากให้ความร้อน ก้านจะแตกออกด้วยเสียงที่มีลักษณะเฉพาะซึ่งคล้ายกับฟ้าร้องจากสวรรค์มาก
ผลของการระเบิดหน่อทำให้พระภิกษุชาวจีนเริ่มทำการทดลองเกี่ยวกับการสร้างสารที่คล้ายกันจากส่วนประกอบทางธรรมชาติ
ประวัติความเป็นมาของการประดิษฐ์
เป็นการยากที่จะบอกว่าจีนประดิษฐ์ดินปืนในปีใด แต่มีหลักฐานว่าในศตวรรษที่ 6 ชาวจีนมีความคิดเกี่ยวกับส่วนผสมหลายอย่างที่เผาด้วยเปลวไฟที่สว่างจ้า
ฝ่ามือในการประดิษฐ์ดินปืนเป็นของพระในวัดลัทธิเต๋าอย่างถูกต้อง ในหมู่พวกเขามีนักเล่นแร่แปรธาตุจำนวนมากที่ทำการทดลองอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้าง พวกเขารวมสารต่าง ๆ ในสัดส่วนที่ต่างกัน โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะพบส่วนผสมที่ลงตัว จักรพรรดิ์จีนบางองค์ต้องพึ่งพายาเหล่านี้เป็นอย่างมากซึ่งพวกเขาใฝ่ฝันอยากจะได้รับ ชีวิตนิรันดร์และไม่รังเกียจการใช้สารผสมที่เป็นอันตราย ในช่วงกลางศตวรรษที่ 9 พระภิกษุองค์หนึ่งเขียนบทความซึ่งเขาบรรยายถึงน้ำอมฤตที่รู้จักเกือบทั้งหมดและวิธีการใช้ แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด - บทความหลายบรรทัดกล่าวถึงน้ำอมฤตที่เป็นอันตรายซึ่งทันใดนั้นก็ถูกไฟไหม้ในมือของนักเล่นแร่แปรธาตุทำให้พวกเขาเจ็บปวดอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่สามารถดับไฟได้ และบ้านทั้งหลังก็ถูกไฟไหม้ในเวลาไม่กี่นาที ข้อมูลเหล่านี้สามารถยุติข้อพิพาทเกี่ยวกับดินปืนที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปีใดและที่ไหน
แม้ว่าจนถึงศตวรรษที่ 10 และ 11 ดินปืนยังไม่มีการผลิตจำนวนมากในจีน เมื่อต้นศตวรรษที่ 12 มีบทความทางวิทยาศาสตร์ของจีนหลายบทความปรากฏรายละเอียดเกี่ยวกับส่วนประกอบของดินปืนและความเข้มข้นที่จำเป็นสำหรับการเผาไหม้ ควรชี้แจงให้ชัดเจนว่าเมื่อมีการประดิษฐ์ดินปืนขึ้นจะเป็นสารไวไฟและไม่สามารถระเบิดได้
ส่วนผสมของดินปืน
หลังจากการประดิษฐ์ดินปืน พระสงฆ์ใช้เวลาหลายปีในการกำหนดอัตราส่วนที่เหมาะสมของส่วนผสม หลังจากการลองผิดลองถูกมามาก ส่วนผสมที่เรียกว่า "ยาไฟ" ก็เกิดขึ้น ซึ่งประกอบด้วยถ่านหิน กำมะถัน และดินประสิว มันเป็นองค์ประกอบสุดท้ายที่มีความสำคัญในการสร้างบ้านเกิดของการประดิษฐ์ดินปืน ความจริงก็คือการหาดินประสิวในธรรมชาตินั้นค่อนข้างยาก แต่ในประเทศจีนพบได้มากในดิน มีหลายกรณีที่ยื่นออกมาบนพื้นผิวโลกด้วยการเคลือบสีขาวหนาไม่เกินสามเซนติเมตร พ่อครัวชาวจีนบางคนเติมดินประสิวลงในอาหารเพื่อปรับปรุงรสชาติแทนเกลือ พวกเขาสังเกตอยู่เสมอว่าเมื่อดินประสิวเข้าไปในไฟ ทำให้เกิดแสงวาบวาบและทำให้การเผาไหม้รุนแรงขึ้น
นักลัทธิเต๋ารู้คุณสมบัติของกำมะถันมาเป็นเวลานาน มักใช้เป็นกลอุบายซึ่งพระภิกษุเรียกว่า "เวทมนตร์" องค์ประกอบสุดท้ายของดินปืน ได้แก่ ถ่านหิน มักถูกใช้เพื่อสร้างความร้อนระหว่างการเผาไหม้ จึงไม่น่าแปลกใจที่สารทั้งสามชนิดนี้กลายเป็นพื้นฐานของดินปืน
การใช้ดินปืนอย่างสันติในประเทศจีน
ในช่วงเวลาที่มีการประดิษฐ์ดินปืน ชาวจีนไม่รู้ว่าตนค้นพบได้ยิ่งใหญ่เพียงใด พวกเขาตัดสินใจใช้คุณสมบัติวิเศษของ "ยาไฟ" เพื่อขบวนแห่หลากสีสัน ดินปืนกลายเป็นองค์ประกอบหลักของประทัดและดอกไม้ไฟ ด้วยส่วนผสมที่ลงตัวของส่วนผสม ไฟนับพันดวงจึงลอยขึ้นไปในอากาศ ทำให้ขบวนพาเหรดริมถนนกลายเป็นสิ่งที่พิเศษมาก
แต่ไม่ควรสรุปได้ว่าเมื่อมีสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวชาวจีนไม่เข้าใจถึงความสำคัญของมันในกิจการทหาร แม้ว่าจีนจะไม่ใช่ผู้รุกรานในยุคกลาง แต่ก็อยู่ในสถานะที่มีการป้องกันพรมแดนอย่างต่อเนื่อง ชนเผ่าเร่ร่อนที่อยู่ใกล้เคียงได้บุกเข้าไปในมณฑลชายแดนของจีนเป็นระยะและการประดิษฐ์ดินปืนไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาที่ดีกว่านี้ ด้วยความช่วยเหลือนี้ ชาวจีนจึงรวมตำแหน่งของตนในภูมิภาคเอเชียมาเป็นเวลานาน
ดินปืน: การใช้ทางทหารครั้งแรกของชาวจีน
ชาวยุโรปเชื่อมานานแล้วว่าชาวจีนไม่ได้ใช้ดินปืนเพื่อจุดประสงค์ทางทหาร แต่ในความเป็นจริงแล้วข้อมูลเหล่านี้มีข้อผิดพลาด มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรว่าย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 3 ผู้บัญชาการชาวจีนผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งสามารถเอาชนะชนเผ่าเร่ร่อนได้ด้วยความช่วยเหลือจากดินปืน เขาล่อศัตรูเข้าไปในหุบเขาแคบๆ ที่เคยฝังประจุไว้ก่อนหน้านี้ พวกมันเป็นหม้อดินแคบๆ ที่เต็มไปด้วยดินปืนและโลหะ ท่อไม้ไผ่ที่มีสายไฟแช่อยู่ในกำมะถันนำไปสู่พวกเขา เมื่อชาวจีนจุดไฟก็เกิดฟ้าร้องซึ่งสะท้อนอยู่หลายครั้งที่ผนังช่องเขา ก้อนดิน หิน และชิ้นส่วนโลหะบินออกมาจากใต้เท้าของคนเร่ร่อน เหตุการณ์เลวร้ายดังกล่าวทำให้ผู้รุกรานต้องออกจากจังหวัดชายแดนของจีนเป็นเวลานาน
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ถึงศตวรรษที่ 13 ชาวจีนได้พัฒนาขีดความสามารถทางการทหารด้วยการใช้ดินปืน พวกเขาคิดค้นอาวุธประเภทใหม่ ศัตรูถูกโจมตีด้วยกระสุนที่ยิงจากท่อไม้ไผ่และปืนที่ยิงจากหนังสติ๊ก ต้องขอบคุณ "ยาเพลิง" ที่ทำให้ชาวจีนได้รับชัยชนะในการต่อสู้เกือบทั้งหมด และชื่อเสียงของสารที่ไม่ธรรมดาก็แพร่กระจายไปทั่วโลก
ดินปืนออกจากจีน: ชาวอาหรับและมองโกลเริ่มทำดินปืน
ประมาณศตวรรษที่ 13 สูตรดินปืนตกไปอยู่ในมือของชาวอาหรับและมองโกล ตามตำนานหนึ่ง ชาวอาหรับขโมยบทความที่มีคำอธิบายโดยละเอียดเกี่ยวกับสัดส่วนของถ่านหิน กำมะถัน และดินประสิวที่จำเป็นสำหรับส่วนผสมในอุดมคติ เพื่อให้ได้แหล่งข้อมูลอันล้ำค่านี้ ชาวอาหรับได้ทำลายอารามบนภูเขาทั้งหมด
ไม่มีใครรู้ว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่ แต่ในศตวรรษเดียวกันนั้นชาวอาหรับได้ออกแบบปืนใหญ่ลำแรกที่มีเปลือกดินปืน มันค่อนข้างไม่สมบูรณ์และมักจะทำให้ทหารพิการ แต่ผลกระทบของอาวุธนั้นครอบคลุมการสูญเสียของมนุษย์อย่างชัดเจน
"ไฟกรีก": ดินปืนไบเซนไทน์
ตามแหล่งประวัติศาสตร์สูตรดินปืนมาจากชาวอาหรับถึงไบแซนเทียม นักเล่นแร่แปรธาตุในท้องถิ่นได้ทำงานเล็กๆ น้อยๆ ในการจัดองค์ประกอบและเริ่มใช้ส่วนผสมที่ติดไฟได้ที่เรียกว่า "ไฟกรีก" มันแสดงให้เห็นว่าตัวเองประสบความสำเร็จในระหว่างการป้องกันเมืองเมื่อไฟจากท่อเผากองเรือศัตรูเกือบทั้งหมด
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีอะไรรวมอยู่ใน "ไฟกรีก" สูตรของเขาถูกเก็บเป็นความลับอย่างเข้มงวดที่สุด แต่นักวิทยาศาสตร์แนะนำว่าชาวไบแซนไทน์ใช้กำมะถัน น้ำมัน ดินประสิว เรซิน และน้ำมัน
ดินปืนในยุโรป: ใครเป็นคนคิดค้นมัน?
เป็นเวลานานที่ Roger Bacon ถือเป็นผู้กระทำผิดที่อยู่เบื้องหลังการปรากฏตัวของดินปืนในยุโรป ในช่วงกลางศตวรรษที่ 13 เขากลายเป็นชาวยุโรปคนแรกที่อธิบายสูตรการทำดินปืนในหนังสือ แต่หนังสือเล่มนี้ถูกเข้ารหัส และไม่สามารถใช้งานได้ อยากรู้ว่าใครเป็นผู้คิดค้นดินปืนในยุโรป ประวัติศาสตร์คือคำตอบ
เขาเป็นพระภิกษุและฝึกฝนการเล่นแร่แปรธาตุเพื่อประโยชน์ของเขา ในตอนต้นของศตวรรษที่ 14 เขาทำงานเพื่อกำหนดสัดส่วนของสารจากถ่านหิน กำมะถัน และดินประสิว หลังจากการทดลองมาหลายครั้ง เขาก็สามารถบดส่วนประกอบที่จำเป็นในครกได้ในสัดส่วนที่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการระเบิดได้ คลื่นระเบิดเกือบส่งพระไปโลกหน้า แต่สิ่งประดิษฐ์ของเขาถือเป็นจุดเริ่มต้น ยุคใหม่ในยุโรป - ยุคของอาวุธปืน
"ปูนยิง" รุ่นแรกได้รับการพัฒนาโดยชวาร์ตษ์คนเดียวกันซึ่งเขาถูกส่งตัวเข้าคุกเพื่อไม่ให้เปิดเผยความลับ แต่พระรูปนี้ถูกลักพาตัวและถูกส่งตัวไปยังเยอรมนีอย่างลับๆ เพื่อทดลองปรับปรุงอาวุธปืนต่อไป พระภิกษุผู้อยากรู้อยากเห็นจบชีวิตของเขาอย่างไรยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ตามฉบับหนึ่งเขาถูกระเบิดบนถังดินปืน ตามที่อีกฉบับหนึ่งเขาเสียชีวิตอย่างปลอดภัยเมื่ออายุมาก อาจเป็นไปได้ว่าดินปืนให้โอกาสที่ดีแก่ชาวยุโรปซึ่งพวกเขาไม่ได้ล้มเหลวในการใช้ประโยชน์
การปรากฏตัวของดินปืนในมาตุภูมิ
น่าเสียดายที่ไม่มีแหล่งข้อมูลรอดที่จะให้ความกระจ่างเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการปรากฏตัวของดินปืนในมาตุภูมิ รุ่นที่ได้รับความนิยมมากที่สุดถือเป็นการยืมสูตรจากไบเซนไทน์ ไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ แต่ดินปืนใน Rus เรียกว่า "ยา" และมีความคงตัวของผง เป็นครั้งแรก อาวุธปืนใช้เมื่อปลายศตวรรษที่ 14 ระหว่างการล้อมกรุงมอสโก เป็นที่น่าสังเกตว่าปืนไม่มีอำนาจทำลายล้างมากนัก พวกมันถูกใช้เพื่อข่มขู่ศัตรูและม้าซึ่งเนื่องจากควันและเสียงคำรามทำให้สูญเสียทิศทางในอวกาศซึ่งทำให้ผู้โจมตีตื่นตระหนก
เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 ดินปืนได้แพร่กระจายไปทั่ว แต่ปี "ทอง" ของมันยังคงอยู่ข้างหน้า
สูตรแป้งไร้ควัน ใครเป็นคนคิดค้น?
ปลายศตวรรษที่ 19 มีการคิดค้นการดัดแปลงดินปืนแบบใหม่ ควรชี้แจงว่าเป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่นักประดิษฐ์พยายามปรับปรุงส่วนผสมที่ติดไฟได้ แล้วดินปืนไร้ควันถูกประดิษฐ์ขึ้นในประเทศใด นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าอยู่ในฝรั่งเศส นักประดิษฐ์ Viel จัดการเพื่อให้ได้ดินปืนไพโรซิลินซึ่งมีโครงสร้างที่มั่นคง การทดสอบของเขาสร้างความฮือฮา โดยกองทัพสังเกตเห็นข้อดีของสารใหม่นี้ทันที ผงไร้ควันที่เรียกว่ามี พลังมหาศาล,ไม่ทิ้งเขม่าและเผาไหม้สม่ำเสมอ ในรัสเซียได้รับช้ากว่าในฝรั่งเศสสามปี นอกจากนี้นักประดิษฐ์ยังทำงานแยกจากกัน
ไม่กี่ปีต่อมาเขาเสนอให้ใช้ดินปืนไนโตรกลีเซอรีนซึ่งมีลักษณะใหม่โดยสิ้นเชิงในการผลิตขีปนาวุธ ต่อมาในประวัติศาสตร์ของดินปืน มีการดัดแปลงและปรับปรุงมากมาย แต่แต่ละอย่างได้รับการออกแบบมาเพื่อกระจายความตายไปในระยะทางอันกว้างใหญ่
จนถึงทุกวันนี้ นักประดิษฐ์ทางทหารกำลังทำงานอย่างจริงจังเพื่อสร้างดินปืนชนิดใหม่ที่สมบูรณ์ ใครจะรู้บางทีด้วยความช่วยเหลือในอนาคตพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติอย่างรุนแรงมากกว่าหนึ่งครั้ง